การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 157
ตอนที่ 157
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ บักหยูนกิวอธิบายคลายข้อสงสัยให้แก่ซูฮยอนหลายหัวข้อ
“ในปัจจุบันสํานักงานแห่งประเทศเกาหลี มีอิทธิพลน้อยกว่าทางสมาคม”
บักหยุนกิวจะพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบแล้ว เขาจึงตัดสินใจมาเยี่ยมเยียนซูฮยอนถึงที่บ้านเพื่อบอกกล่าวเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นการส่วนตัว
เรื่องที่บักหยุนกิวบอกเล่าให้ซูฮยอนฟังมี่ยละเอียดเยอะมาก ไม่ว่าจะเรื่องของสมาคม สํานักงานผู้ตื่นขึ้นกิลด์ หรือแม้กระทั่งผู้ตื่นขึ้นที่มีความแข็งแกร่งแต่รักสันโดษ บักหยูนกิวเล่าหมดเปลือกโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
ซูฮยอนไม่สนใจว่าฝ่ายใดมีอิทธิพลมากที่สุด สิ่งที่เขาอยากรู้คือข้อมูลเกี่ยวกับสมาคมต่างหาก
<<ฉันคิดไว้อยู่แล้วว่าสมาคมเป็นตัวปัญหา>>
ระหว่างที่ยกกาแฟขึ้นดื่ม ซูฮยอนปล่อยให้บักหยุนกิวพูดอยู่ฝ่ายเดียว ภายในหัวของซูฮยอนตอนนี้กําลังยุ่งอยู่กับการจัดระเบียบความคิด
<<ช่วงแรกสถานการณ์ก็สงบเรียบร้อยดี เพราะดันเจี้ยนที่โผล่ขึ้นมายังมีไม่เยอะ แต่พอนานวันเข้าสมาคมและสํานักงานก็เกิดความขัดแย้งขึ้น ปัญหาลุกลามใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆจนยากจะแก้ไข>>
หนึ่งปีต่อมา ดันเจี้ยนที่โผล่ออกมาบนพื้นโลกเริ่มมีจํานวนเยอะขึ้น ปัญหาที่ทางสมาคมและสํานักงานเคยมีอยู่แล้วจึงเลวร้ายลงไปอีกขั้น…
<<ทางสมาคมยอมทิ้งดันเจี้ยนที่ไม่ก่อให้เกิดผลกําไรไปอย่างหน้าตาเฉย บางครั้งก็เลื่อนการโจมตีดันเจี้ยนที่ได้รับมอบหมายออกไปอย่างไม่มีกําหนด ทําให้ภาระหน้าที่ไปตกอยู่กับผู้ตื่นขึ้นคนอื่นในทางตรงกันข้ามหากดันเจี้ยนสามารถทํากําไรได้และเป็นจุดสนใจของผู้คนทางสมาคมมักเมินเฉยต่อข้อปฏิบัติของสํานักงานโดยไม่ลังเล พวกเขาพร้อมแย่งชิงหน้าที่การโจมตีดันเจี้ยนจากผู้อื่นทุกเมื่อถ้าสถานการณ์ไม่เป็นไปตามความต้องการพวกเขาก็พร้อมที่จะก่อวินาศกรรม>>
เมื่อกลุ่มคนจํานวนมากรวมตัวกัน เงินทองและชื่อเสียงจึงมีความจําเป็น ใช้เวลาเพียงไม่นานเงินทองและเสียงจะกลายเป็นบึงโคลนสกปรก เมื่อมีปลาที่เปรอะเปื้อนโคลนตม 2 ตัว ว่ายลงไปในแหล่งน้ําสะอาดน้ําที่เคยใสแจ๋วจะค่อยๆขุ่นมัวเพราะโคลนที่เกาะตัวปลาหลุดล่อนประชากรปลาตัวอื่นๆที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ําไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ของพวกมัน
ผู้ตื่นขึ้นในประเทศเกาหลีมีจํานวนเยอะกว่าดันเจี้ยนที่ปรากฏขึ้นมาในประเทศแต่เพราะพวกเขาสังกัดอยู่ในหน่วยงานที่ตัวเองเลือกการโจมตีดันเจี้ยนแต่ละแห่งจึงมีความล่าช้าถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปอีกละก็…
<<ฉันคงปล่อยให้สมาคมทําตัวเป็นเด็กมีปัญหาแบบนี้ต่อไปไม่ได้…>>
การปล่อยให้สมาคมทําตามอําเภอใจแบบทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องดีในอนาคตทางสมาคมจะมีบทบาทสําคัญยิ่งเพราะสมาชิกในสังกัดเป็นผู้ตื่นขึ้นที่มีความแข็งแกร่งพวกเขาจึงเป็นกําลังรบที่ขาดไปไม่ได้
<<หากฉันจัดการกิลด์ฮาโฮตาลและจัดระเบียบภายในสมาคมได้สําเร็จปัญหาที่ฉันกังวลคือทางสํานักงานจะควบคุมสมาคมได้หรือป่าว>>
ซูฮยอนมีแผนการหลายวิธี ที่สามารถจัดการกับกิลด์ฮาโฮตาลและทางสมาคม..
แต่แผนการที่ว่าจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อสมาคมเข้าข้างกิลด์ฮาโฮตาลและไม่ยอมลงโทษถ้าหากสมาคมก้มหน้ายอมรับความจริงแล้วลงโทษกิลด์ฮาโฮตาลโดยการเตะออกจากสมาคม ซูฮยอนจะไม่สามารถเข้าแทรกแซงกิจการภายในของสมาคมได้..
<<เป้าหมายของฉันคือการเตะกิลด์ฮาโฮตาลออกจากสมาคมแต่กิลด์ฮาโฮตาลต้องไม่ถูกทิ้งให้เสียของเปล่าๆ>>
ซูฮยอนทราบเป็นอย่างดีว่าการยุบกิลด์ฮาโฮตาลไม่ใช่ตัวเลือกที่ถูกต้องเพราะสมาชิกที่จงรักภักดีต่อกิลด์ สามารถกลับมารวมตัวกันใหม่ได้เสมอจะให้ซูฮยอนฆ่าทุกคนที่สังกัดอยู่ในกิลด์ฮาโฮตาลก็ดูโหดร้ายเกินไปสู้ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตต่อไปในประเทศเกาหลีดีกว่าเพื่อปกป้องความสงบสุขของประชาชนเกาหลีแม้พวกเขาจะทําเรื่องชั่วร้ายเพราะคําสั่งของกิลด์มาสเตอร์แต่พวกเขาก็เป็นกําลังรบสําคัญของประเทศ
“สุดท้าย ปัญหาก็อยู่ที่สมาคม” ซูฮยอนบ่นพึมพํา
“นายรู้ไหม ทางเราต้องการให้สํานักงานและสมาคมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อประสิทธิภาพในการทํางานแต่ว่า…”
“คุณกําลังจะบอกว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของสํานักงานสินะ?”
“จะว่าไงดี สมาคมไม่เคยอยู่ใต้การควบคุมของสํานักงานตั้งแต่แรกสมาคมถูกสร้างขึ้นโดยมีหน้าที่ปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของผู้ตื่นขึ้นและเพื่อยกระดับการทําภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
ซูฮยอนก็พอรู้จุดประสงค์ของการจัดตั้งสมาคมมาบ้างแต่ปัญหาหลังจากตั้งสมาคมเสร็จ ผู้ตื่นขึ้นที่สังกัดอยู่ในสมาคมกลับทําตรงข้ามกับเป้าหมายเดิมที่เคยให้สัญญาไว้…
“ช่วงเวลาที่ผ่านมา อัตราการเกิดดันเจี้ยนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหน้าที่ของผู้ตื่นขึ้นไม่เพียงแต่ปกป้องความปลอดภัยของพลเรือนเท่านั้นแต่รวมไปถึงประเทศชาติด้วย”บักหยุนกิวกล่าว
บักหยุนกิวเคยเป็นอดีตทหารมาก่อน ทุกคําพูดของเขาจึงหนักแน่นสมกับคําว่าชายชาติทหารความอยู่รอดของประเทศชาติต้องมาก่อนเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งซูฮยอนก็คิดไม่ต่างกับบักหยุนกิว
การสนทนาระหว่างพวกเขา 2 คน จึงกลายเป็นเรื่องง่าย ซูฮยอนมีเวลาว่างไม่มาก เขาตัดสินใจพูดเร่งเร้าให้บักหยุนกิวเข้าประเด็นหลัก
“หยุดพูดอ้อมค้อมเถอะ ผมอยากให้คุณพูดเข้าประเด็นหลักสักที”
“จนมาถึงตอนนี้ ทางเราไม่เคยคิดแทรน
เราไม่เคยคิดแทรกแซงกิจการภายในของสมาคมเลย แต่ว่า..”บักหยุนกิวแสดงอาการ ลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยน้ําเสียงขึงขัง
“เหตุการณ์ล่าสุดทําให้ทางเราตระหนักได้ถึงความจริง จากมุมมองของฉัน สมาคมในปัจจุบันเต็มไปด้วยปัญหานับไม่ถ้วน”
“หมายความว่าคุณ….”
“นายเคยบอกว่าจะทําความสะอาดโครงสร้างภายในของสมาคมใหม่ ฉันขอยืมแรงของนายหน่อยจะได้ไหม?”
คําพูดของบักหยุนกิวเป็นสิ่งที่ซูฮยอนรออยู่พอดี “ไม่มีปัญหาครับ ผมจัดการเอง แต่จะได้ผลไหมก็อีกเรื่องหนึ่ง…”
มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะสามารถรวมสํานักงานและสมาคมให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้
นั่นก็คือใช้ผู้ตื่นขึ้นที่มีพลังแข็งแกร่งเข้าไกล่เกลี่ย
ฝูงชนภายในห้องประชุมยังคงยืนเงียบเป็นเป่าสาก
ท่ามกลางความเงียบ มีนักข่าวบางคนรวบรวมข้อมูลแล้วรีบส่งไปให้ทางต้นสังกัด สังเกตจากท่าทางภายนอกที่ดูไม่ค่อยเกรงกลัวเหตุการณ์ตรงหน้า แสดงว่าพวกเขาต้องเป็นนักข่าวมืออาชีพแน่
<<บรรยากาศเงียบสงบแบบนี้ เหมาะแก่การพูดคุยจริงๆ>>
กวอนโฮยอง ผู้เป็นเจ้าภาพหลักของการประชุม วิ่งหนีหางจุกตูดไปแล้ว…
หลังจากปราบกวอนโฮยองด้วยความแข็งแกร่งของตัวเองและข่มขวัญทุกคน ซูฮยอนก็เดินมายืนอยู่หน้าโพเดียมแทนที่กวอนโฮยอง
นอกจากความเงียบที่เข้าปกคลุมทั่วห้องประชุม ภายในห้องยังมีความรู้สึกอึดอัดและมืดมนลอยคุกรุ่นอยู่ด้วย
สายตาที่อธิบายไม่ได้ของฝูงชนจ้องมองไปที่ซูฮยอน ความแข็งแกร่งที่ซูฮยอนสําแดงออกมาสร้างความหวาดกลัวให้พวกเขา แต่พวกเขาก็ตื่นตัวอยู่เสมอ หากซูฮยอนเปิดฉากโจมตีพวกเขาก็พร้อมป้องกันและตอบโต้
แปะ!!
ท่ามกลางความเงียบ ลีจุนโฮที่เข้ามาในห้องประชุมพร้อมซูฮยอน จู่ๆก็ปรบมือของตัวเองเสียงที่ดังออกมาโดยที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว ดึงดูดความสนใจจากทุกคนในทันที
“ลดบรรยากาศตึงเคลียดลงหน่อยเถอะ พวกเราไม่มีเหตุผลที่ต้องสู้กันอีกแล้ว”
เมื่อฝูงชนได้ยินคําพูดของลีจุนโฮ สายตาที่มองไปยังซูฮยอนดูผ่อนคลายมากขึ้น คําพูดที่ออกมาจากปากลีจุนโฮบอกเป็นนัยๆว่าจะไม่มีใครบาดเจ็บล้มตายอีก
ซูฮยอนพยักหน้าสนับสนุนคําพูดของลีจุนโฮ แต่เขายังไม่ย้ายร่างกายออกจากโพเดียม หมายความว่าการประชุมครั้งนี้ยังไม่จบ…
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในห้องประชุมเริ่มกลับสู่สภาวะปกติ ลีจุนโฮที่ยืนอยู่ด้านล่างเวทีก็เดินไปสมทบกับซูฮยอนด้านบนและกล่าวกับฝูงชนในห้องว่า
“ฉันมีคําถามอยากจะถามทุกคน แต่ก่อนที่จะเริ่ม พวกคุณคิดจะทําอะไรกับกิลด์ฮาโฮตาล?”
“กิลด์ฮาโฮตาลงั้นเหรอ….”
“อืม…นั้นสินะ ทํายังไงดีล่ะ?”
คําถามจากลีจุนโฮทําให้ฝูงชนมองหน้ากันอย่างประหม่า เป็นเพราะพวกเขารู้ดีว่าสถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นนรกหรือสวรรค์ ขึ้นอยู่กับคําตอบของพวกเขา
<<ถ้าตอบว่าพวกเราวางแผนจะปกป้องกิลด์ฮาโฮตาลในวันนี้ละก็…>>
<<เล่นถามกันโต้งๆแบบนี้เลยเรอะ ใครมันจะโง่เป็นศัตรูกับสัตว์ประหลาดตรงหน้าฟะ>>
คําตอบที่สามารถพาพวกเขาหลุดพ้นจากสถานการณ์ในตอนนี้ได้ มีเพียงคําตอบเดียวเท่านั้น..
“ไม่ต้องห่วง ทางสมาคมมีบทลงโทษกิลด์ฮาโฮตาลเตรียมรอไว้อยู่แล้ว”
“ชะ ใช้แล้ว เหตุผลที่พวกเรามารวมตัวกันในวันนี้ เพื่อหารือบทลงโทษที่กิลด์ฮาโฮตาลควรได้รับ”
มีผู้กล้าตาย 2 คน เปิดปากพูดแก้ไขสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คนอื่นๆที่ได้ยิน ก็พยักหน้าเสริม
ถ้าในหมู่พวกเขาไม่มีใครพูดอะไรออกไปเลย พวกเขาอาจโดนซูฮยอนทุบตีก็เป็นได้ ขนาดคนที่มีความสามารถมากกว่าพวกเขาและเป็นถึงกิลด์มาสเตอร์อย่างกวอนแจฮนก็เสียชีวิตไปแล้วด้วยน้ํามือซูฮยอนนับประสาอะไรกับพวกเขาแค่ซูฮยอนถ่มน้ําลายพวกเขาก็ตายแล้ว…
“ปัญหาที่เกิดขึ้นในวันนี้ หวังว่าคงไม่สร้างความขุ่นเคืองใจให้ใคร ศัตรูที่พวกเราหมายหัวเอาไว้คือกิลด์ที่ไม่ลังเลในการลงมือก่ออาชญากรรมกิลด์ฮาโฮตาลคือตัวอย่างให้เห็นที่พวกเรามาให้วันนี้ไม่ใช่เพราะอยากเป็นศัตรูกับพวกคุณหากพวกคุณไม่เกี่ยวข้องกับการกระทําของกิลด์ฮาโฮตาลพวกคุณก็ไม่ใช่ศัตรูของเรา”
คําพูดของลีจุนโฮ ส่งผลให้บรรยากาศตึงเคียดที่ซูฮยอนสร้างขึ้นทุเลาลง..
ตราบใดที่พวกเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิลด์ฮาโฮตาล พวกเขาก็ไม่จําเป็นต้องต่อสู้กับซูฮยอน
แต่ในอีกทางหนึ่ง คําพูดของลีจุนโฮสามารถตีความได้อีกความหมายเช่นกัน
<<คําพูดของลีจุนโฮไม่ได้หมายถึงกิลด์ฮาโฮตาลเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงกิลด์แห่งอื่นๆด้วยกิลด์ใดก็แล้วแต่ที่ประพฤติเลียนแบบตามกิลด์ฮาโฮตาลกิลด์แห่งนั้นจะมีชะตากรรมไม่ต่างกับกิลด์ฮาโฮตาล>>
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นพูดจาลักษณะคล้ายนี้คนผู้นั้นคงถูกพวกเขาหัวเราะเยาะแต่หากเป็นคู่ต่อสู้ที่พวกเขากําลังเผชิญหน้าในตอนนี้เรื่องราวจะแตกต่างออกไป
คิมซูฮยอน…
ความแข็งแกร่งระหว่างพวกเขาและซูฮยอนต่างกันคนละโลกซูฮยอนมีความแข็งแกร่งถึงขนาดต่อกรกับสมาคมด้วยตัวเองได้ที่เลวร้ายไปกว่านั้นซูฮยอนไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
<<ยังมีโทมัสและชเวฮักจนที่อยู่ฝ่ายเดียวกับคิมซูฮยอน>>
<<ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S 3 คน ความแข็งแกร่งไม่จําเป็นต้องพูดถึง…>>
เผลอๆบางทีผู้อํานายการที่ดูแลสํานักงานผู้ตื่นขึ้นอาจมีเอี่ยวกับการกระทําของซูฮยอนในครั้งนี้ด้วย
ขณะที่พวกเขากําลังใช้ความคิดคาดเดาความเป็นไปได้ เสียงของลีจุนโฮก็ดึงสติพวกเขากลับมา
“ทุกคนฟังทางนี้หน่อย เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เดิมเกิดซ้ํา ทําไมพวกเราถึงไม่ตั้งกฎใหม่ สัก 2-3 ข้อล่ะ?”
“กฎ?”
“ถูกต้อง ฉันกําลังพูดถึงกฎระเบียบ”
ฝูงชนที่อยู่ในห้องประชุมหันหน้ามองคนรอบตัวด้วยสายตาสับสน
ซูฮยอนที่เห็นสถานการณ์ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมและเป็นระเบียบ จึงทิ้งหน้าที่ที่เหลือให้ลีจุนโฮเป็นคนจัดการก่อนที่เขาจะก้าวเดินออกจากห้องประชุมไป
<<คงจะดีไม่น้อย หากการพูดคุยผ่านพ้นไปได้ด้วยดี>>
ซูฮยอนก็ไม่อยากผลักภาระให้ลีจุนโฮมากนัก แต่พอมาคิดดูดีๆแล้ว คนที่สามารถรับมือกับคนแปลกหน้าได้ดีที่สุดมีแค่ลีจุนโฮเท่านั้น
หลังจากเงาของซูฮยอนเดินหายออกไปจากห้องประชุม ลีจุนโฮสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อในมั่นใจว่าบนใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวออกมา
<<โพเดียมที่ใช้หารือจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของฉัน>>ลีจนโฮคิดในใจ
กิลด์ฮาโฮตาลที่เป็นศัตรูกับพวกเขาก็ถูกเฉดหัวออกไป
เหตุผลที่ซูฮยอนมาปรากฏตัวที่นี่ เพื่อแสดงความแข็งแกร่งของตัวเองให้คนเหล่านี้ได้ประจักษ์
โชคดีที่สถานการณ์ไม่ลุกลามใหญ่โต เพราะการถอนตัวของจองยุนโฮทําให้คนอื่นหมดกะจิตกะใจในการต่อสู้
เพื่อให้แผนการปิดลงอย่างสมบูรณ์แบบ มีสิ่งหนึ่งที่ลีจุนโฮต้องทําให้สําเร็จ
<<เฮ้อ กดดันจริงๆ คิดผิดหรือป่าวที่ฉันอาสารับทําหน้าที่นี้? ช่างเถอะรับมาแล้วก็ต้องทําให้สําเร็จนี่สินะที่เขาเรียกกันว่าหลังเสือแล้วลงยาก>>
หลังจากเดินออกมาจากห้องประชุม ซูฮยอนก็เห็นฮักจนและโทมัสนั่งอยู่ด้วยกัน บนม้านั่งหน้าอาคารชงโน
“เรียบร้อยแล้วเหรอพี่?”
“ออกมาสักที ปล่อยให้พวกเรานั่งรอตั้งนาน”
มือของฮักจนและโทมัสถือไอศกรีมโคนคนละข้างและกําลังเพลิดเพลินไปกับรสชาติแสนอร่อยซูฮยอนเดินไปหาพวกเขาแล้วหย่อนกันนั่งด้วยท่าทางเหนื่อยล้า
“สภาพร่างกายของพี่ดูไม่ค่อยดีเลยนะ เหตุการณ์ข้างในยุ่งยากขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”ฮักจนถาม
“ก็นิดหน่อย กว่าจะปรามคนเหล่านั้นให้อยู่ในความสงบได้ เล่นเอาฉันเหนื่อยไม่น้อย”
ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือตอนนี้ ซูฮยอนไม่มีพรสวรรค์ด้านการสนทนากับผู้อื่นเท่าไหร่นัก
แน่นอนว่าการสนทนากับผู้อื่นซูฮยอนสามารถทําได้ แต่มันเหนื่อยเกินไป หากต้องเลือกระหว่างสู้กับมอนสเตอร์และการสนทนา เขาจะเลือกสู้กับมอนสเตอร์โดยไม่ลังเล
ซฮยอนใช้แผ่นหลังพิงม้านั่ง แหงนหน้ามองท้องฟ้าสีคราม เขา
หงนหน้ามองท้องฟ้าสีคราม เขาหลับตาพร้อมนึกถึงใบหน้า อยู่ในห้องประชุม
<<ถ้าพวกเขาทุกคนเป็นคนที่มีคุณธรรมก็ดีสิ>>
โลกใบนี้เต็มไปด้วยผู้คนหลายประเภท หลายอุปนิสัย
อุดมคติที่ว่าอยากให้โลกมีแต่คนดี ไม่มีทางเป็นจริง มีขาวย่อมมีดําเป็นธรรมดา ถึงกระนั้นโลกที่คนดีได้รับการยกย่องส่วนคนเลวได้รับบทลงโทษ เป็นโลกที่ ถูกต้อง” จริงเหรอ?
ความแข็งแกร่งของสมาคมและกําลังคนสําหรับการต่อสู้ ทั้ง 2 เป็นสิ่งที่มีความจําเป็นอย่างยิ่งต่อประเทศเกาหลีแต่เนื่องจากสมาชิกในสมาคมไม่ใช่คนดีมีคุณธรรมทุกคน จึงต้องสรรหาคนที่มีความสามารถและมีความเฉลียวฉลาดควบคุมพวกเขาเอาไว้
<<ฉันคือคนที่มีความสามารถ >>
ซูฮยอนค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น…
<<ส่วนคนที่มีความเฉลียวฉลาดก็คือลีจุนโฮ…>>
ซูฮยอนนึกถึงคําพูดของลีจุนโฮก่อนที่จะมาที่นี่ พวกเขาเป็นเพื่อนและทํางานรวมกันบ่อยครั้งลีจุนโฮเป็นคน ที่ค่อนข้างหัวไวที่สุดในกลุ่ม
ซูฮยอนรู้สึกติดหนี้บุญคุณลีจุนโฮอย่างใหญ่หลวง
เขาอยากกล่าวคําขอบคุณลีจุนโฮจากใจจริง แม้ลีจุนโฮจะรู้อยู่แล้วว่าเส้นทางนี้เต็มไปด้วยอุปสรรคแต่เขาก็ยังตัดสินใจเลือกเดินบนเส้นทางที่ยากลําบากด้วยความมุ่งมั่น เส้นทางที่ลีจุนโฮเลือกเดินเป็นแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆเท่านั้นในอนาคตความยากลําบากจะก่อตัวขึ้นอีกมากโข
ทั้ง 3 คน นั่งพักอยู่บนม้านั่งและปล่อยให้เวลาไหลผ่านไป
1 ชั่วโมงต่อมามือถือของซูฮยอนก็ดังขึ้น
สายที่โทรเข้ามาเป็นของลีจุนโฮ ซึ่งซูฮยอนกําลังรอมันอยู่พอดี เขากดรับสายอย่างรวดเร็ว.
“ฮัลโหลซูฮยอน
เสียงจากปลายสายฟังดูเหนื่อยล้า หลังจากได้ยินสุ่มเสียงลีจุนโฮซูฮยอนอดไม่ได้ต้องเผยรอยยิ้มกริ่มออกมา
“ดูเหมือนทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีนะ”
“นายรู้ได้ไง? อย่าบอกนะว่านายสามารถอ่านใจคนอื่นได้?
น้ําเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของลีจุนโฮ
ทําเอาซูฮยอนส่งเสียงหัวเราะในลําคอเบาๆอย่างห้ามไม่อยู่
ซูฮยอนรู้จักบุคลิกลักษณะของลีจุนโฮเป็นอย่างดี หากแผนการไม่เป็นไปตามที่วางเอาไว้ลีจุนโฮจะใช้น้ําเสียงสดใสเพื่อปลอบใจเพื่อนๆและตัวเอง
เมื่อเสียงหัวเราะในลําคอของซูฮยอนเงียบลง ลีจุนโฮจึงเริ่มพูดต่อ..
-กิลด์ฮาโฮตาลถูกทางสมาคมไล่ตะเพิดไปแล้ว นับตั้งแต่วันนี้กิลด์ฮาโฮตาลจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับสมาคมอีกต่อไปการประชุมที่ผ่านมาทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ว่ากฎระเบียบจะมีความยุติธรรมและเข้มงวดมากขึ้นนอกจากนี้ หากในอนาคตมีเหตุการณ์เช่นกิลด์ฮาโฮตาลเกิดขึ้นอีกพวกเขาบอกว่ายินดีขับไล่กิลด์ที่ก่อเหตุและลงโทษผู้กระทําผิดเต็มอัตรา
“พวกเขายอมง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ ฉันนึกว่าพวกเขาจะแข็งข้อมากกว่านี้ซะอีก?”
-เหตุผลที่พวกเขายอมง่ายๆส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความสามารถที่นายแสดงออกมาล่ะมั้งเหนือสิ่งอื่นใดการ ที่พวกเรามาปรากฏตัวในห้องประชุม พวกเราไม่ได้มาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าแผนการของพวกเราผ่านการคิดวิเคราะห์ มาแล้วอย่างรอบคอบ ก็เหมือนกับตํารวจที่มาพร้อมหมายจับผู้ต้องหานั้นแหละนายต้องไม่ลืมว่านอกจากพวกเราและสมาชิกในสมาคมแล้วในห้องยังมีกลุ่มนักข่าวด้วยเพื่อรักษาหน้าสมาคมพวกเขาคงไม่กล้าปฏิเสธข้อเสนอของพวกเราหรอก
ด้วยปัจจัยสภาพแวดล้อมที่เกื้อกูลทําให้แผนการของซูฮยอนและลีจุนโฮผ่านฉลุย
ผลลัพธ์โดยรวมไม่แย่มากแต่แผนการทุกอย่างก็ไม่เป็นดั่งที่ซูฮยอนเคยจินตนาการไว้
-จริงสิ ฉันตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมสมาคมด้วย หากอยากให้งานออกมาดีฉันจําเป็นต้องบริหารจากภายใน
“ต๊ะ? เรื่องจริงดิ นายไม่เคยพูดเรื่องเข้าร่วมสมาคมให้ฉันฟังเลยสักคําจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ?”
คําพูดของลีจุนโฮเป็นเรื่องที่ซูฮยอนคาดไม่ถึงมาก่อนซูฮยอนที่ปล่อยให้หลังพิงผนังม้านั่งยืดตรงขึ้นทันที
ลีจุนโฮรู้ดีว่าซูฮยอนคงกําลังตกใจอยู่เพื่อไม่ให้เสียเวลาเขารีบพูดต่อด้วยเสียงเนิบนาบ
-หากฉันไม่เข้าร่วมสมาคม ผลลัพธ์ที่วาดฝันไว้ก็คงไม่เกิดกฎที่ตั้งขึ้นใหม่ก็กลายเป็นปราสาททรายที่พร้อมพังทลายได้ทุกเมื่อ
“นายกําลังพูดถึงเรื่องอะไร?”
-ต้องมองระยะยาว ไม่ใช่มองแค่ระยะสั้นการใช้กําลังเพื่อบีบบังคับให้อีกฝ่ายเกิดความหวาดกลัวและยอมเชื่อฟังไม่ต่างอะไรกับการทิ้งระเบิดที่พร้อมจุดชนวนได้ตลอดเวลา อย่างน้อยที่สุดต้องทําให้พวกเขารู้ว่าพวก เราไม่ใช่ศัตรู
“มีหลายสารพัดวิธีที่พวกเราสามารถจัดการพวกเขาได้?ไม่เห็นมีความจําเป็นที่นายต้องเอาตัวเข้าไปอยู่ในสมาคมเลย?”
“ฉันไม่อยากให้นายเสียเวลาอันมีค่าเพราะปัญหาเกี่ยวกับสมาคมอีกฉันจึงตัดสินใจเข้าร่วมสมาคมมันเป็นการตัดสินใจของฉันเองนายไม่ต้องกังวลหรอก ฉันคิดว่าวิธีที่ตัวเองเลือกเป็นสิ่งที่ถูกต้องการอาศัยอยู่ในสมาคมเดียวกันกับพวกเขา ทําให้ฉันสามารถควบคุมพวกเขาได้ง่ายขึ้นแถมยังทําให้มั่นใจอีกว่าปัญหาที่นายพบเจอจะไม่เกิดขึ้นอีก
ถูกต้องอย่างที่ลีจุนโฮกล่าวการบริหารจากภายในให้ผลลัพธ์ได้ดีกว่าในเมื่อลีจุนโฮเข้าร่วมกับสมาคมซูฮยอนก็ไม่จําเป็นต้องห่วงเรื่องสมาคมอีกแถมยังไม่เสียเวลาขัดแย้งกับสมาคมด้วยทําให้เขามีเวลาว่างยกระดับความสามารถของตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้า
สําหรับสมาคมเอง การที่มีลีจุนโฮอยู่ในสังกัดด้วยก็เป็นผลดีกับพวกเขาเหมือนกัน หมายความว่าทั้งสมาคมและซูฮยอนจะเป็นพันธมิตรกันซึ่งการอยู่ฝ่ายเดียวกับซูฮยอนเป็นสิ่งที่ทางสมาคมต้องการอยู่แล้ว
ลีจุนโฮมซูฮยอนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังคงไม่มีใครกล้าสร้างปัญหาให้เขาแต่มีหนึ่งเรื่องที่ซูฮยอนอดเป็นห่วงไม่ได้
“ฉันจะไม่ห้ามการตัดสินใจของนายแต่ภาระงานของนายจะเพิ่มมากขึ้นนายจะทําไหวเหรอ?”
การที่ลีจุนโฮตัดสินใจเข้าร่วมสมาคมปริมาณงานที่ลีจุนโฮต้องรับผิดชอบจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า
ลีจุนโฮอาสาจัดการปัญหาที่คาราคาซังมานานแทนซูฮยอนเขากล้าเดินลุยเข้าไปใจกลางกลุ่มคนจํานวนมากที่มีลักษณะนิสัยแตกต่างกันเพื่อตรวจสอบว่าาภายในสมาคมอะไรผิดสังเกตหรือไม่ จะได้ลงมือยับยั้งได้ทัน
ซูฮยอนคาดไม่ถึงว่าลีจุนโฮจะคิดการใหญ่เช่นนี้
“นายรู้ไหม ตั้งแต่พวกเรารู้จักกันมา ในสายตาของฉันนายเป็นคนที่น่าทึ่งมาก
-ทุกๆวัน นายจะก้าวไปข้างหน้าเสมอ ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่เลยเวลาฉันนั่งคุยกับนายให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองกําลังคุยกับคนแก่ยังไงชอบกลนายมักกังวลเกี่ยวกับอะไรบางสิ่งบางอย่างและพยายามยกระดับความแข็งแกร่งอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อให้ความกังวลนั้นหายไป
“ฉันคิดออกแล้ว ว่านายกําลังกังวลเรื่องอะไร ครั้งแรกที่ฉันเห็นท่าทางกังวลใจของนาย ฉันนึกสงสัยมาตลอดว่าคนอย่างนายมีเรื่องอะไรที่ต้องกังวลด้วยเหรอแต่เมื่อไม่นานมานี้ฉันกระจ่างแก่ใจแล้วว่าเรื่องที่นายกังวลมีที่มาจากไหน
“อย่าบอกนะว่านายคิดที่จะ….”
-ก่อนพวกเราจะมาที่นี่ นายเคยพูดกับฉันว่าดันเจี้ยนที่ปรากฏขึ้นบนโลกปัจจุบันของเราเป็นเรื่องปกติอย่างที่หลายคนคิดจริงเหรอ? จากมุมมองของฉันดันเจี้ยนที่โผล่ออกมาเหมือนพวกมันพยายามกลืนกินโลกของพวกเรามากกว่านายเคยพูดกับฉันแบบนี้จําได้ไหม?
“ฉันเองก็มีความคิดเห็นตรงกับนาย จะให้ฉันนั่งทําตัวบ้าๆบอๆไปวันๆ โดยไม่ลงมือทําอะไรเลยสักอย่างได้ ยังไงกัน หากไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยเหลือนายจริงๆ นายยังมีฉันอีกคนหนึ่งที่พร้อมช่วยเหลือนายเสมอ
คําพูดของลีจุนโฮทําให้ซูฮยอนนึกถึงคําพูดที่คิมแดโฮเคยบอกกล่าวในอดีตขึ้นมา…
โลกคาดหวังให้เธอเป็นฮีโร่ช่วยเหลือพวกเขา แต่พวกเขากลับไม่เคยตอบแทนอะไรเธอเลยอย่างน้อยให้ฉันคนนี้ตอบแทนความหวังดีของเธอแทนพวกเขาเถอะ]
แม้คําพูดจะแตกต่างกัน แต่ความหมายสื่อไปในทิศทางเดียวกัน
เฉันจะช่วยนายเอง
นอกจากคําพูดลักษณะนี้ ไม่มีคําพูดไหนทําให้ซูฮยอนใจสั่นได้อีกแล้ว
“นายเองก็รู้ดีว่า ฉันไม่ใช่คนเปี่ยมด้วยพรสวรรค์เหมือนนายฮักจนและโทมัสเมื่อเปรียบเทียบความแข็งแกร่งกับสัตว์ประหลาดทั้ง 3 คนอย่างพวกนายฉันตามหลังอยู่หลายก้าวแต่ว่า…”
น้ําเสียงของลีจุนโฮที่ดังออกมาผ่านลําโพงมือถือ ซูฮยอนสัมผัสได้ถึงร่องรอยแห่งสุขารมณ์แกมอยู่
-ซูฮยอน พวกเราเป็นเพื่อนกันอย่างน้อยให้ฉันได้แบ่งเบาภาระของนายบ้างเถอะแม้จะเป็นแค่เศษเสี้ยวก็ยังดี