เทพปีศาจผงาดฟ้า - ตอนที่ 172
ตอนที่ 172 เข้าใจผิด
“นี่เจ้ามองอะไร? อยากตายมากหรืออย่างไร?” ชายหนุ่มสวมอาภรณ์สีแดงนามว่าหยวน ร้องตะโกนถามหลงเฉินเสียงดัง
“ข้ามองสหายของเจ้า เพราะรู้สึกคุ้นหน้านางยิ่งนัก แต่ข้าอาจจะจําผิดคนก็เป็นได้!” หลงเฉินเอ่ยตอบยิ้มๆ แต่ใบหน้าของเขานั้นบ่งบอกว่ากําลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“หึ.. นี่เจ้าคิดว่าคนเช่นเจ้าจะสามารถรู้จักคนฐานะเช่นนางงั้นรึ? เจ้าคงจะมาจากจักรวรรดิอันดับสองสินะ แต่สหายของข้านางมาจากที่ที่สูงกว่านั้น หากเจ้ายังไม่อยากตาย ก็จงควบคุมลูกตาของตนเองให้ดี!” ชายหนุ่มจ้องมอง พร้อมกับร้องบอกหลงเฉินด้วยสายตาเย้ยหยัน
“ข้าคงต้องบอกให้เจ้ารู้ตัวแล้วสินะว่า สํานักมหาอสุนีบาตแห่งจักรวรรดิจันทราเหนือนั้น หาได้สูงส่งอย่างที่เจ้าคิดไม่..” หลงเฉินจ้องมองชายหนุ่มผู้นั้น และตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ทันทีที่หลงเฉินเอ่ยชื่อสํานักมหาอสุนีบาต ทุกคนในร้านอาหารต่างก็จ้องมองมาทางหลงเฉินเป็นตาเดียว แม้ว่าทุกคนในที่นี้จะมิมีผู้ใดรู้จักชื่อสํานักมหาอสุนีบาตก็ตามที แต่พวกเขาต่างก็คิดว่าคงจะต้องเป็นสํานักที่มีชื่อของจักรวรรดิที่กล่าวถึงเป็นแน่
แต่สําหรับจฉิงกับไมอาแล้ว พวกนางทั้งคู่ล้วนแล้วแต่เป็นเชื้อพระวงศ์ จึงมีความรอบรู้ค่อนข้างมาก ทั้งสองคนจึงมิเพียงแค่จะรู้จักสํานักมหาอสุนีบาต แต่ยังรู้ด้วยว่าสํานักแห่งนี้อยู่ในจักรวรรดิจันทราเหนือจริง อีกทั้งยังเป็นสํานักที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิอีกด้วย อาจพูดได้ว่าเป็นสํานักที่โด่งดังยิ่งนัก
“นี่เจ้ากล่าวอันใดออกมา?” หยวนร้องคํารามเสียงดังเกรี้ยวกราด พร้อมกับลุกขึ้นยืนจ้องมองหลงเฉินด้วยแววตาขุ่นเคือง
“ศิษย์พี่หยวน.. ประเดี๋ยวก่อน อย่าได้หุนหันพลันแล่นนักสิ!”
ขณะที่หยวนกําลังจะเดินตรงเข้าไปหาหลงเฉินนั้น หญิงสาวนามว่าเมิ่งก็รีบร้องห้ามปรามไว้เสียก่อน และดึงเขาให้กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม
“ศิษย์น้องเมิ่ง.. นี่เจ้าห้ามปรามข้าด้วยเหตุใด? ไม่เห็นหรือว่าเจ้าเด็กนั่นเอ่ยถึงสํานักของเราด้วยท่าที่เยี่ยงใด! ข้าต้องการสั่งสอนมันให้หลาบจํา!” หยวนหันไปบอกกับเมิ่งด้วยความไม่พอใจ
“ศิษย์พี่.. ท่านตรวจสอบพลังบ่มเพาะของหญิงสาวที่นั่งข้างเขาแล้วหรือไม่? หากยัง.. ก็จงตรวจสอบดูเดี๋ยวนี้!” เมิ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ําเสียงที่เบาราวกระซิบ
“นางอยู่ขั้นสามอาณาจักรจุติพิภพ.. แล้วอย่างไร? ข้าสามารถเอาชนะนางได้อย่างง่ายดาย!”
หยวนเอ่ยตอบหลังจากที่ได้ตรวจสอบอาณาจักรพลังบ่มเพาะของหลู่หมิงยู่ แม้ว่าเขาจะรู้สึกตกตะลึงกับขั้นพลังที่สูงส่งของนาง แต่ก็มิได้รู้สึกกังวลเพราะตนเองนั้นแข็งแกร่งกว่านาง
“ข้ามิได้กังวลในตัวนาง แต่เป็น…” เมิ่งเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“นี่เจ้าหมายถึง.. ?” หยวนเอ่ยถามด้วยความลังเลสงสัย
“ข้าสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มที่เพิ่งกล่าวจบไป กับหญิงสาวผู้นั้นแลดูสนิทสนมใกล้ชิดกันยิ่งนัก ดูท่าทั้งคู่คงจะมาด้วยกัน ดูจากอายุของนางแล้ว.. นางน่าจะยังเด็กกว่าข้า แต่กลับสามารถเข้าสู่อาณาจักรจุติพิภพขั้นสามได้ แล้ว! ข้าว่านางมิได้มาจากจักรวรรดิอันดับสองเป็นแน่.. และแม้แต่จักรวรรดิอันดับหนึ่งยังยากที่จะหาคนเช่นนี้ ได้!”
“ข้าเชื่อว่าพวกเขาทั้งคู่ต้องมาจากจักรวรรดิเดียวกันเป็นแน่.. เด็กหนุ่มนั่นเอ่ยถึงสํานักของเราอย่างไม่ใส่ใจ ทั้งที่เขาดูเหมือนจะรู้จักสํานักของเราดี ข้ารู้สึกว่าเขาจะต้องมาจากสํานักที่แข็งแกร่งไม่น้อยเช่นกัน พวกเราไม่ควรมีเรื่องทั้งที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเขา..” เมิ่งกระซิบบอกเสียงเบา
“หึ.. ต่อให้พวกเขาทั้งคู่มาจากจักรวรรดิเดียวกันแล้วอย่างไร? ข้าย่อมสามารถสั่งสอนพวกมันได้อยู่ดี!” หยวนบอกออกไปด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนัก
“ท่านลองตรวจสอบขั้นพลังบ่มเพาะดูสิ! ข้าเชื่อว่าท่านเองก็คงไม่เห็นขั้นพลังของเขาเช่นกัน!” เมิ่งเอ่ยบอกหยวน
“จริงด้วย! ข้าไม่สามารถมองเห็นขั้นพลังบ่มเพาะของเขา…” หยวนพึมพําออกมาพร้อมกับเหลือบมองไปทางหลงเฉิน
“แต่เด็กนั่นอาจจะใช้เครื่องลางสําหรับบดบังขั้นพลังอยู่ก็เป็นได้..” หยวนเอ่ยบอกเมิ่ง
“ศิษย์พี่หยวน.. ท่านลืมไปแล้วหรือว่าท่านอาจารย์ได้มอบเครื่องลางชนิดหนึ่งให้กับข้าในวันที่รับข้าเป็นศิษย์ เครื่องลางนี้ใช้สําหรับตรวจสอบว่าอีกฝ่ายได้ใช้เครื่องลางปกปิดขั้นพลังของตนหรือไม่ ข้าได้ใช้มันตรวจสอบเด็กหนุ่มนั่นแล้ว เขามิได้ใช้เครื่องลางใดๆทั้งสิ้น..” เมิ่งเอ่ยตอบด้วยน้ําเสียงจริงจัง
“ อีกอย่าง ดูจากน้ําเสียงมั่นอกมั่นใจที่เขาสนทนากับท่านเมื่อครู่ ข้าเชื่อว่าขั้นพลังบ่มเพาะของเขาต้องแข็งแกร่งกว่าพวกเราทั้งสามคนเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้น สํานักของเขาย่อมต้องแข็งแกร่งมากเช่นกัน และการที่เขาจงใจพูดจายั่วยุท่านเช่นนั้น ก็เพราะมิต้องการให้ดูเหมือนว่าเขาเป็นฝ่ายหาเรื่องข่มเหงรังแกท่านก่อนอย่างไรเล่า แต่หากท่านลงมือก่อน เขาย่อมต้องมีสิทธิ์ปกป้องตัวเอง..” เมิ่งพึมพําเสียงเบาในขณะที่เอ่ยบอกหยวน
หลงเฉินถึงกับยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคําพูดของหญิงสาว ในขณะที่คนอื่นๆกลับกําลังสงสัยว่า ชายหนุ่มและหญิงสาวอีกสองคนกําลังซุบซิบอะไรกันแน่
“ตกลง.. ข้าจะไม่ยอมตกหลุมพรางของมันแน่!”
หยวนเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันมองไปทางหลงเฉิน ส่วนหลงเฉินก็ได้แต่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสามคน..
“มิทราบว่าแม่นางหลิงมาจากจักรวรรดิเฉวียนหรือไม่?” หลงเฉินหันไปถามหญิงสาวที่ชื่อเมิ่ง หลังจากที่ทั้งสามมิได้สนใจเขาแล้ว
“แล้วมันเรื่องอะไรของเจ้า?” ก่อนที่เมิ่งจะทันได้ตอบนั้น หยวนก็เอ่ยสวนออกมาด้วยใบหน้าทิ้งตึง
“ศิษย์พี่หยวน ท่านอย่าได้รุ่นร้อนใจไปนัก สิ่งแรกที่พวกเราต้องรู้ให้ได้ก่อนก็คือ พวกเขาทั้งสองมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด? และหากพวกเขามาด้วยภารกิจเช่นเดียวกับพวกเรา พวกเราก็จะได้เร่งมืออย่างไรเล่า?” เมิ่งกระซิบข้างหู
“ถูกต้อง.. หลิงมาจากจักรวรรดิเฉวียน เจ้ารู้จักกับศิษย์น้องของข้างั้นรึ?” เมิ่งเอ่ยถามยิ้มๆ และพยายามที่จะตีสนิทหลงเฉิน
“อืมม ข้าบังเอิญได้ยินคนพูดถึงนางเมื่อครั้งที่เดินทางไปยังจักรวรรดิเฉวียน..” หลงเฉินเอ่ยตอบยิ้มๆ
“อ่อ? มิทราบว่าเจ้าได้ยินมาเช่นใดงั้นรึ?” เมิ่งเอ่ยถามด้วยความสนอกสนใจ
“ข้าได้ยินผู้คนร่ําลือกันว่า นางหมั้นหมายกับผู้ที่ไม่เคยพบหน้าคร่าตากันมาก่อน ข้ารู้สึกว่าช่างน่าเสียดายนัก หากศิษย์สํานักมหาอสุนีบาตจะต้องมาถูกคลุมถุงชนเช่นนี้..” หลงเฉินเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“ถูกต้อง.. ข้าเคยถูกจับหมั้นหมายกับชายผู้หนึ่งมาก่อน.. แต่ข้าได้ทําการยกเลิกการหมั้นหมายนั้นไปนานแล้ว!” หลิงเอ่ยตอบหลงเฉินกลับไปทันที
“งั้นรึ? เยี่ยมมาก.. ข้าเองก็มิชื่นชอบการคลุมถุงชนนี้เช่นกัน!” หลงเฉินเอ่ยตอบยิ้มๆขณะที่ยกถ้วยชาขึ้นจิบ
“ข้าขอถามพวกเจ้าจะได้หรือไม่ว่า พวกเจ้ามาที่จักรวรรดิเล็กๆนี้ด้วยเหตุผลอันใด?” เมิ่งเป็นฝ่ายเอ่ยถาม พร้อมกับหันมองไปทางหลงเฉิน
“พวกเราเพียงแค่ออกมาเดินทางหาประสบการณ์เท่านั้น พวกเราเพียงแค่ต้องการท่องเที่ยวไปยังสถานที่ที่พวกเรายังมิเคยไป แล้วพวกท่านเล่า? มาทําอะไรที่นี่? หรือมาตามหาขุมทรัพย์ตามแผนที่ลายแทง?” หลงเฉินเอ่ยถามด้วยท่าที่สบายๆ
หลังจากที่หลงเฉินเอ่ยจบ ทั้งเมิ่งหลิง และหยวนต่างก็นิ่งอึ้งไปทันที สีหน้าของทั้งสามคนพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด แต่แล้วก็กลับคืนเป็นปกติในเวลาอันรวดเร็ว และเมิ่งก็รีบเอ่ยตอบกลับไปทันที
“พ่อของหลิงเชิญพวกเราให้มาเป็นสักขีพยานในการประลองที่จักรวรรดิเฉวียน พวกข้าเห็นว่าเป็นการได้ออกมาท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตาจักรวรรดิใกล้เคียงด้วย จึงได้ตอบรับคําเชิญ..” เมิ่งแต่งเรื่องตอบกลับไป
“อ่อ..ข้าเองก็ได้ยินเรื่องการประลองคัดเลือกศิษย์มาก่อนเช่นกัน และสนใจที่จะเข้าร่วมด้วย..” หลงเฉินเอ่ย ตอบยิ้มแย้ม
“เจ้ามาจากจักรวรรดิใดงั้นรึ?” เมิ่งรีบเอ่ยถามหลงเฉินทันที
“ข้าร์? ข้ามิได้มาจากจักรวรรดิใด ข้ามาจากสถานที่เล็กๆที่ไม่ควรค่าแม้แต่จะเอ่ยถึง”
หลงเฉินเอ่ยตอบกลับไปยิ้มๆ เขาต้องการทําให้ตนเองดูเป็นคนลึกลับต่อไป และเป็นการไม่สร้างกับดักให้กับตนเองด้วย
“ข้าว่าเจ้าต้องการที่จะปกปิดเป็นความลับเสียมากกว่า.. ใช่หรือไม่?” เมิ่งเอ่ยถามเพราะไม่เชื่อในคําพูดของหลงเฉิน
“หากเจ้าคิดเช่นนั้นข้าเองก็คงห้ามมิได้..” หลงเฉินยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับจิบชาต่อไป
“อีกสามคนเป็นสหายของเจ้าด้วยหรือไม่? พวกเขาดูธรรมดายิ่งนักหากเทียบกับพวกเจ้าทั้งสองคน” เมิ่งเอ่ยถามพร้อมกับเหลือบมองไปทางจิ๋ฉิง ไมอา และเหยา
“พวกเราเพิ่งพบเจอกันที่นี่ ข้าเห็นว่าพวกเขาน่าสนใจดี ก็เลยมานั่งร่วมโต๊ะด้วย แต่เวลานี้ข้ากลับพบว่าพวกเจ้าน่าสนใจมากกว่า..” หลงเฉินเอ่ยตอบยิ้มๆ
“พวกข้ารี? ข้าว่าเจ้าคงจะเห็นหลิงน่าสนใจแต่เพียงผู้เดียว แต่ข้าคงไม่สามารถให้เจ้าร่วมโต๊ะได้.. เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะยอมเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน!” เมิ่งเอ่ยตอบพร้อมกับขยิบตาให้หลงเฉิน
“ได้สิ! ข้าหลงเฉิน ส่วนนี้หมิงยู่สหายของข้า!” หลงเฉินแนะนําด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ข้ามิได้ต้องการรู้เพียงแค่นามของเจ้า ผู้คนมากมายที่แซ่หลง บ้างก็อ่อนแอ บ้างก็แข็งแกร่ง แต่ที่ข้าอยากรู้มากกว่านั้นก็คือเจ้ามาจากจักรวรรดิใด และเป็นศิษย์สํานักใดต่างหากเล่า” เมิ่งเอ่ยถามหลงเฉินอีกครั้ง
“ข้ามาจากดินแดนไกลโพ้น เจ้ามิต้องกังวลใจว่าอํานาจอิทธิพลของข้า จะแผ่ซ่านไปถึงจักรวรรดิจันทราเหนือของพวกเจ้าหรอกน่า..” หลงเฉินเอ่ยตอบเมิ่งด้วยสีหน้าขบขัน
“เจ้าคงจะเข้าใจข้าผิดไป หาได้กังวลต่ออํานาจอิทธิพลของเจ้า ข้าเพียงแค่อยากรู้ปูมหลังของเจ้าเท่านั้น..” เมิ่งตอบกลับเช่นกัน
“ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรเล่า.. ข้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดาไร้ชื่อเสียง และมาที่นี่เพื่อท่องเที่ยวผจญภัยเท่านั้น..” หลงเฉินยังคงยืนยําคําเดิม
“พวกเราอิ่มแล้ว.. ยินดีที่ได้พบกับเจ้า หากข้าพบเจอสถานที่ที่น่าท่องเที่ยวผจญภัย จะบอกให้เจ้ารู้หากเราบังเอิญได้พบกันอีกครั้ง ข้าลาก่อน..”
เมิ่งเอ่ยตอบยิ้มๆ แต่สีหน้ากลับมีวี่แววกังวลใจอยู่เล็กน้อย นางลุกขึ้นยืนและส่งสัญญาณให้หยวนและหลิงลุกขึ้นเช่นกัน จากนั้น.. ทั้งสามคนก็เดินออกจากร้านไป