ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 176
ตอนที่ 176 เผยร่าง
***เปลี่ยนชื่อจาก เทพอสูรระดับ “เดือนมืดมิด” เป็น “ดาวทมิฬ” นะครับ***
‘ชีเยว่ หากข้าไม่ได้วาดภาพของเจ้าและทําให้แก่นสารแห่งจิตแข็งแกร่งขึ้น ข้าคงจะหลบหนีไปจากเขตแดนของเจ้าวังเฮ่ยนุ่ยไม่ได้ ข้าคงจะตายในเงื้อมมือของมันเป็นแน่ เจ้าเป็นดวงดาวแห่งโชคชะตาของข้าจริงๆ หลังจากที่เมิ่งชวนหลบหนีไปได้ เขาก็นึกถึงภรรยาที่อยู่ห่างไกลในด่านเป่ยเหอขึ้นมาข้าอยากรู้เหลือเกินว่าชีเยว่เป็นอย่างไรบ้าง อย่างน้อยด้วยการปกป้องจากเฟิงโหวเทียนซิงโหวเธอน่าจะปลอดภัยอยู่แล้ว”
เฟิงโหวเทียนซิงโหวนั้นทรงพลังมาก เขาได้เรียนรู้ว่าเฟิงโหวนั้นแข็งแกร่งมากเพียงใดจากข้อมูลที่ได้รับมาหลังจากแลกเปลี่ยนกระบวนท่าไปกับเจ้าวังเฮ่ยนุ่ย เขาก็เข้าใจความแตกต่างของพลังมากยิ่งขึ้น
“ถึงแก่นสารแห่งจิตของข้าจะทรงพลัง แต่ข้าก็คงจะตายไปตั้งแต่แรกแล้วหากข้าไม่มีกายาเพชระ มันแข็งแกร่งพอที่จะทําให้ข้าเผชิญหน้ากับเจ้าวังเฮ่ยนุ่ยได้ด้วยพลังในตอนนี้ ข้าไม่มีทางเทียบได้กับอสูรฟ้าระดับสี่หรือเฟิงโหวเทพอสูรในการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งอยู่แล้ว”
ในหมู่สายการฝึกวิชาหลักทั้งสาม สายวิชาอสูรฟ้านั้นถือว่าอ่อนแอที่สุด
เฟิงโหวเทพอสูรที่อ่อนแอที่สุด ซึ่งอยู่ระดับต่ําสุดของเฟิงโหวเทพอสูร แข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชาอสูรระดับสี่ที่อ่อนแอที่สุด! แม้จะดูเท่าเทียมกัน แต่เฟิงโหวเทพอสูรนั้นมีเขตแดนดาวทมิฬ จึงเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าฝ่ายเทพอสูรได้เปรียบกว่าในทุกด้าน
ส่วนอสูรฟ้าน่ะหรือ? อสูรฟ้าระดับสี่ที่อ่อนแอที่สุดมีพละกําลังที่เกือบถึงเฟิงโหวเทพอสูรที่อ่อนแอที่สุด แต่พวกเขาอ่อนแอกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด! พวกเขาไม่มีทั้งเขตแดนดาวทมิฬและพลังศักดิ์สิทธิ์ พวกมันเรียกได้ว่าอ่อนแออย่างแท้จริง เพื่อที่อสูรฟ้าจะสามารถแทรกซึมเข้ามาในโลกมนุษย์และอยู่ได้นาน พวกอสูรจึงมุ่งเน้นไปที่การหลบหนีและการซ่อนเร้นเป็นหลักในการสร้างนิกายอสูรฟ้า
นั่นเป็นเหตุว่าทําไมมันถึงอ่อนแอที่สุดในหมู่สายการฝึกวิชาหลักทั้งสาม
อย่างเช่นเจ้าวังเฮยฉัยที่เข้าถึงเขตแดนแห่งเต่ําขั้นสูงและมีพลังเท่ากับเฟิงโหวเทพอสูร
จากข้อมูลที่ได้รับมา จากอสูรฟ้าระดับสี่ทั้ง 11 คน มีสามคนที่มีพลังเกือบถึงระดับเฟิงโหวเทพอสูร มีห้าคนอยู่ในระดับขั้นต่ําของเฟิงโหวเทพอสูร มีสองคนที่แข็งแกร่งเท่ากับเฟิงโหวเทพอสูรธรรมดา และมีเพียงคนเดียวที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับเฟิงโหวเทพอสูรระดับต้นๆ
“แน่นอนว่าข้าคนเดียวไม่มีทางเทียบเคียงได้” เมิ่งชวนเข้าใจในจุดนี้ “อสูรฟ้าระดับสี่ที่อ่อนแอที่สุดเมื่อใช้ว่าต้องห้ามก็ยังแข็งแกร่งเท่ากับเฟิงโหวเทพอสูรที่อ่อนแอส่วนข้านั้น ข้าโจมตีเต็มกําลังไม่ได้ถึงสิบครั้งด้วยซ้ํา ข้าทนได้ไม่นานแน่”
นั่นเป็นเหตุว่าทําไมเมื่อข้าเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามที่อยู่ระดับสี่ มีเพียงทางเดียวที่ข้าทําได้ในสถานการณ์หนึ่งต่อนหนึ่ง นั่นก็คือหนี! หากข้าหนีได้ไกลพอศัตรูก็จะตามมาไม่ได้ เมิ่งชวนนึกถึงการต่อสู้เขายังคงยืนอยู่ บนหลังคาของภัตตาคารในที่โล่งแจ้ง
ห่างออกไปสองลี้ ร่างของเจ้าวังเฮยฉุยดูซีดลง
ด้วยระยะห่างระหว่างเขาและเมิ่งชวนพร้อมด้วยความเร็วอันน่าสะพรึงนั้น เขาไม่คิดที่จะไล่ตามเมิ่งชวนอีกต่อไป
“บ้าเอ้ย ข้าลอบโจมตีมัน แต่เจ้านั่นที่เป็นแค่เทพอสูรมหาสุริยันธรรมดากลับหลบหนีไปได้?” เจ้าวังเฮียลุ่ยรู้ สึกหงุดหงิด “ข้าพลาดที่จะสังหารเทพอสูรมหาสุริยันที่พึ่งลงจากเขามาได้แค่ไม่กี่ปีอย่างนั้นรึ? หากข้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ข้าคงจะใช้วิชาต้องห้ามเพื่อสังหารมันไปตั้งแต่แรกแล้ว
เจ้าวังเฮ่ยนุ่ยรู้สึกเสียดาย แต่ว่าก็ไม่มีที่จะมาให้เสียดาย ก่อนหน้านั้น เขามั่นใจมากกับการลอบโจมตีเทพอสูรหมาสุริยันในฐานะอสูรฟ้าระดับสี่ การใช้วิชาต้องห้ามเพื่อการลอบโจมตีคงเป็นอะไรที่บ้ามาก
อย่างเช่น หลังจากเมิ่งชวนใช้เวลาสักพักในการจัดการกับราชาอสูรแมวและเลือกที่จะใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตในที่สุด เจ้าวังเฮ่ยนุ่ยจะต้องมั่นใจมากๆ เขาจะยอมใช้วิชาต้องห้ามซื้อย่างไร? เขาจะทําเช่นนี้ได้กี่ครั้งกัน ในเส้นทางแห่งการฝึกฝนที่ยาวไกลหากใช่วิชาต้องห้ามโดยไม่คิดเช่นนี้? ร่างกายก็จะเสียหายซ้ําแล้วซ้ําเล่าจากผลข้างเคียง และนั่นจะลดโอกาสในการฝึกวิชาของเขา และอายุขัยก็จะลดลงอย่างมหาศาล
การที่เขาไม่ใช่วิชาต้องห้ามไปก็นับว่ามีเหตุผล
เจ้าเมิ่งชวนนี้ช่างหยิ่งยโสและมั่นใจเสียจริง มันยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่หนีไปไหนเลย เจ้าวังเฮ่ยนุ่ยได้แต่กัดฟันด้วยความโกรธไม่มีอะไรที่เขาทําได้
เมิ่งชวนยืนอยู่บนหลังคาและมองดูเส้นทางกว่าสิบลี้ที่เมื่อครู่หลบหนีมา
เจ้าวังเฮ่ยนุ่ยไล่ตามเขาเกือบสิบกว่าลี้! ตลอดเส้นทางเพราะการควบคุมน้ํา กระทั่งน้ําจากแม่น้ํา นั่นจึงทําให้เส้นทางกว่าสิบลี้นี้เหลือแต่เพียงซากโชคดีที่อุโมงค์ของมนุษย์นั้นอยู่ลึกใต้ดิน แต่ว่าตราบใดที่พวกเขาออกมาอาคารทุกแห่งในเส้นทางกว่าสิบลีนั้นก็ต้องสร้างใหม่จนหมด
“ศิษย์พี่จางหวินเฟิงกับศิษย์พี่หยางฟางอยู่ห่างออกไปเพียงสามลี้แล้ว พวกเขาใกล้จะมาถึงแล้ว” เมิ่งชวนโล่งใจ
จางหวินเฟิงและหยางฟางพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตามไปสมทบเมิ่งชวน ในตอนที่เมิ่งชวนกําลังโดนไล่ตาม เขาวิ่งไปทางทั้งสองคนนั้น เขาเองก็ขอความช่วยเหลือจากตราเช่นเดียวกัน!
ในคราวนี้ทั้งสามคนอยู่ห่างจากกันเพียงสามลี
“ศิษย์น้องเมิ่งกําลังขอความช่วยเหลือ พวกเราต้องไปให้ไวกว่านี้”
“ด้วยความเร็วของศิษย์น้องเมิ่ง ใครทําให้เขาต้องขอความช่วยเหลือได้กัน? ราชาอสูรระดับสี่หรืออสูรฟ้าระดับสี่กัน?”
“เขาขอความช่วยเหลือจากพวกเราเท่านั้น เหมือนว่าเขามั่นใจว่าพวกเราทั้งสามคนสามารถจัดการกับอันตรายได้”
หากเขารู้ว่าพวกเขาไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้ เขาคงจะขอความช่วยเหลือจากเขาหยวนชูโดยตรงไปแล้ว! คนหลายคนที่โดนอสูรบุกต่างก็ขอความช่วยเหลือจากเขาหยวนชู การขอความช่วยเหลือนั้นถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับ เขาหยวนชูจะส่งเทพอสูรที่ทรงพลังออกไปตามระดับความร้ายแรงไม่เช่นนั้น หากเทพอสูรที่ส่งไปทรงพลังไม่มากพอพวกเขาก็อาจตกตายเป็นแน่
ฟุบๆๆ
ทั้งคู่วิ่งฝ่าฝนไปด้วยความเร็วเต็มที่
สามลี้ สองลี้… ระยะห่างระหว่างทั้งคู่ค่อยๆสั้นลงเรื่อยๆ
ในไม่ช้าเมิ่งชวนก็สัมผัสได้ว่าพวกเขากําลังเข้ามาใกล้ เขาไม่มั่นใจว่าจะจัดการเจ้าวังเฮยฉัยได้ด้วยตัวคนเดียว และแม้พวกเขาจะเอาชนะไม่ได้แต่ก็เชื่อว่าเพียงพอที่จะยื้อเอาไว้ได้
“เจ้าวังเฮ่ยนุ่ยทรงพลังเกินไป หากข้ายังปล่อยให้มันอยู่ในเมืองได้จะมีเทพอสูรอีกมากมายที่ต้องตาย ข้าต้องยื่อเอาไว้ให้ได้
เจ้าวังเฮ่ยฉัยมองไปที่เมิ่งชวนซึ่งอยู่ห่างออกไปสองลี้ เขาตัดความคิดหลายอย่างที่ผุดขึ้นมาทิ้งไป เมิ่งชวน ตอนนี้นั้นระมัดระวังมากไม่มีทางที่จะจับได้
เหอะ เจ้าวังเฮ่ยนุ่ยหันหลังกลับไป
เมิ่งชวนหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อเห็นดังนั้น “เจ้าวังเฮ่ยนุ่ย ทําไมเจ้าถึงยอมแพ้ไวนักเล่า? ข้าเป็นแค่เทพอสูรมหาสุริยันเท่านั้นเอง แต่เจ้าเป็นอสูรฟ้าระดับสี่ หรือว่าอสูรฟ้าจะอ่อนแอเกินไปหรืออย่างไร?”
เจ้าวังเฮ่ยนุ่ยจ้องไปที่เมิ่งชวนด้วยความเรียบเฉยและกล่าว “เมิ่งชวน คราวหน้าเจ้าคงไม่โชคดีเช่นคราวนี้อีกแล้ว”
เมื่อพูดจบอากาศรอบๆก็บิดเบี้ยวเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหายไป ในพริบตาที่เขาหายไปนั่นเอง เมิ่งชวนก็เห็นเจ้าวังเฮ่ยนุ่ยกําลังออกไปไกล เห็นได้ชัดว่ากําลังถอยกลับ
“พวกเรามาแล้ว” จางหวินเฟิงและหยางฟางมาอยู่ข้างๆเมิ่งชวน
“พวกเราต้องรั้งมันไว้ให้ได้ อย่าปล่อยให้มันหนีไป!” เมิ่งชวนกับแขนของศิษย์พี่ทั้งสองและใช้วิชาต้องห้ามในทันที
ตูม!
เมื่อแบกทั้งสองคนไปด้วย เมิ่งชวนจึงเร็วเพียงสี่ส่วนจากความเร็วปกติ แต่ว่าเขาก็ยังถือว่าเร็วในหมู่เฟิงโหว เทพอสูร เพียงการพุ่งสองรอบ เมิ่งชวนและคนอื่นๆก็ไปถึงตรงที่เจ้าวังเฮ่ยนุ่ยหายไป แม้เขาจะไม่รู้ว่าเจ้าวังอยู่ที่ไหน แต่ที่เมิ่งชวนต้องทําก็แค่ไปให้ถึงจุดที่เขาเคยอยู่
เมิ่งชวนส่งสัญญาณออกไปแล้ว
จางหวินเฟิงจึงปล่อยพลังที่มีออกมา
เขตแดนสีขาวคลุมไปทั่วระยะสองจากที่จางหวินเฟิงยืนอยู่!
ชายชุดดําหัวโล้นโผล่ขึ้นมาหนึ่งจากที่จางหวินเฟิงยืนอยู่ เขามองดูเส้นด้ายสีขาวจํานวนนับไม่ถ้วนที่ครอบคลุมไปทั่วพื้นที่ด้วยความประหลาดใจก่อนที่จะเห็นเมิ่งชวน จางหวินเฟิง และหยางฟาง “เทพอสูรมหาสุริยันสามคน?”