พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 30 กระบี่ซุ่ยหานและกระบี่หลิงหาน
- Home
- All Mangas
- พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส
- ตอนที่ 30 กระบี่ซุ่ยหานและกระบี่หลิงหาน
สามสิบ
กระบี่ซุ่ยหานและกระบี่หลิงหาน
โชคดีที่ไม่นานนักจี้ชิงก็มาถึงและช่วยเขาจากการถูกคุมขังวิญญาณ ซ่งฉือรู้สึกฉงนว่าเหตุใดมื่อถูกแสงจากยอดเจดีย์ส่องลงมา เขาก็รู้สึกราวกับถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนจนขยับเขยื้อนไม่ได้
“เจดีย์นี้มีไอชั่วร้ายนะจี้ชิง” ซ่งฉือขยับเข้าไปยืนด้านหลังเขา หมอบลงไปบนบ่าของเขา แล้วชี้ไปที่ยอดเจดีย์นั้นไปมา “ที่นั่น แสงสีขาว ดวงวิญญาณถูกคุมขัง”
จี้ชิงเพ่งมองแต่ก็ไม่เห็นแสงขาวดังกล่าว เป็นเพียงยอดเจดีย์ที่ถูกสร้างจากหิน ไม่มีทางปล่อยแสงออกมาได้
“แน่ใจหรือว่ามีแสงสีขาวปล่อยออกมา” จี้ชิงถาม
“แน่เสียยิ่งกว่าแน่!” ซ่งฉือมองไปที่เขา “เจ้าไม่เชื่อที่ข้าบอกรึ ก็ได้ เจ้ามานั่งดูตรงนี้สิ”
จี้ชิงสะบัดเสื้อคลุม นั่งลงไปตรงจุดเดียวกับซ่งฉือ แม้จะเห็นยอดเจดีย์ ทว่าจากมุมที่ต้องแหงนหน้าขึ้นมองทำให้เขาเห็นเพียงยอดเจดีย์เท่านั้น นับประสาอะไรกับการมองเห็นแสงสีขาว
“เจดีย์กว่างหลิงเป็นที่เก็บฉินต้าเซิ่งอี๋ยิน14ของท่านหลิงกุย ข้ามาพักที่นี่อยู่หลายปีก็ยังไม่เคยเข้าไปเลย” จี้ชิงหรี่ตามอง “หรือว่าเจ้ากำลังคิดมิดีมิร้ายต่อเจดีย์กว่างหลิงรึ”
“นี่! ข้าเพิ่งหายป่วยนะ” ซ่งฉือขมวดคิ้ว “ข้าเป็นสัตว์เดรัจฉานรึ ถึงได้คิดมิได้มิร้ายกับเจดีย์นั่น”
จี้ชิงหูแดงเรื่อเมื่อนึกถึงเมื่อคืน เขาก็รู้สึกละอายใจอยู่บ้าง
“แค็กๆ เมื่อไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นก็เปลี่ยนสถานที่ฝึกวิชาละกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับจิตวิญญาณอื่น” จี้ชิงลุกขึ้นยืก่อนจะเดินอ้อมไปอีกทาง
ซ่งฉือมองไปที่ปฏิกิริยาแปลกๆ ของเขา จากนั้นก็หยิบกระบี่ซุ่ยหานเดินตามจี้ชิงไป จี้ชิงเดินไม่เร็วนัก ซ่งฉือเดินเพียงสองสามก้าวก็ไล่ตามอีกฝ่ายทัน แม้สหน้าของจี้ชิงจะเรียบนิ่งทว่าใบหูกลับขึ้นสีแดงเรื่อ
“โอ๊ะ จริงสิ เมื่อครู่ข้า…” ซ่งฉือเดินแซ่งหน้าจี้ชิงก่อนจะหมุนกลับมาแล้วเดินถอยหลัง “ข้ารวมปราณได้แล้วนะ”
จี้ชิงมองด้วยสายตาส่องประกาย “รวมปราณ? แล้วรู้สึกถึงหยวนตันหรือไม่”
“จริงๆ ก็ยังหรอก” ซ่งฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่แค่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นบ้างข้าก็ดีใจแล้ว ต้องขอบใจเจ้าที่ช่วยดูแลข้ามาตลอดหลายวัน”
จี้ชิงมองเขาด้วยสายตาจริงจังและขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า…เจ้าอยากออกไปจากที่นี่รึ”
“ใช่ที่ไหนล่ะ!” ซ่งฉือหัวเราะก่อนจะตบบ่าของจี้ชิง “ข้าจะไปได้อย่างไรเล่า เพิ่งเริ่มมีอะไรดีขึ้น เจ้าเห็นข้าเป็นพวกทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ หรือไง”
“ไม่ใช่” จี้ชิงมองไปที่เขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนเช่นนั้น”
อวิ๋นติ่งแตกต่างจากที่อื่น ทุกพื้นที่ล้วนเป็นสถานที่ฝึกฝนที่ดี
หลายวันมานี้ร่างกายของซ่งฉือปรับตัวได้ดีขึ้นมาก สักวันหนึ่งเขาจะต้องรู้สึกได้ถึงหลิงชี่ในร่างกายของเขาได้อย่างแน่นอน แม้ยังไม่อาจรู้สึกถึงหยวนตัน ทว่าสัมผัสได้ถึงความรู้สึกคลุมเครือที่พุ่งชนกันอยู่ภายในร่างกาย เท่านั้นเขาก็ดีใจมาก อย่างน้อยก็มองเห็นอนาคตบ้างแล้ว
ทุกค่ำคืนเขากับจี้ชิงจะไปอาบน้ำแร่ที่บ่อน้ำพุร้อน ตอนแรกจี้ชิงยังรักษาระยะห่างจากเขาค่อนข้างไกล มิหนำซ้ำยังหันหลังให้เขา มีเพียงหลังขาวเนียนเท่านั้นที่อยู่เหนือน้ำ ต่อมาเขาก็หยอกล้ออีกฝ่ายทุกวัน บอกว่าจี้ชิงเหมือนเด็กสาวขี้อายคนหนึ่ง จี้ชิงที่โมโหสุดขีดจึงแกล้งมานั่งอาบน้ำข้างๆ ก่อนจะตบน้ำจนละอองน้ำฟุ้งกระจายเพื่อทำให้เขามองไม่ชัด จากนั้นก็กระชากข้อเท้าของเขาลงไปใต้น้ำ ทว่าซ่งฉือนั้นมือไวคว้าไหล่ของจี้ชิงลงไปด้วย
ทั้งสองจึงไถลลงไปใต้น้ำ โชคดีที่พวกเขาไม่เตี้ยนักจึงลุกขึ้นยืนได้ทันที
จี้ชิงไม่ชอบแตะเนื้อต้องตัว บางทีอาจเป็นเพราะยังเด็กเกินไป ซ่งฉือแตะนิดแตะหน่อยเขาก็ถอยหลังห่างออกไปไกล ใบหูแดงเรื่อไม่รู้ว่าเป็นเพราะความร้อนของน้ำพุร้อนหรือเป็นเพราะเขินกันแน่
หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน จี้ชิงถูกเซียนอู่หลิงเรียกตัวกลับไป บอกว่าที่ทางเหนือมีอสูรปรากฏกาย ทำร้ายผู้คนนับไม่ถ้วน จึงสั่งให้เขากับเสวียนอวี๋รุดไปปราบให้ราบคาบ ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อจี้ชิงจากไป เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น
ในวันนั้นหลังจากเก็บสัมภาระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซ่งฉือก็มาส่งจี้ชิงที่ไหล่เขา สวมชุดสีครามยืนอยู่บริเวณช่องลมดูราวกับดอกสาลี่ที่กำลังปลิวไสว
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่จี้ชิงเริ่มชินกับการอยู่ข้างกายเขา บางทีอาจเป็นเพราะในอดีตโดดเดี่ยวเกินไป ตอนนี้พอกลับไปอยู่คนเดียวเช่นเคยจึงรู้สึกอึดอัด จี้ชิงหันกลับไป โบกมือไล่ให้เขากลับไป ทว่าซ่งฉือก็ยังยืนอยู่เช่นเดิมพร้อมรอยยิ้ม สองตาส่องประกายสดใส ยกกระบี่ซุ่ยหานขึ้นมาโบกมือร่ำลาอีกฝ่าย
จี้ชิงมองเขาด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว…อนาคตยังอีกยาวไกลนัก เขายังมีโอกาส ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
เสวียนอวี๋รออยู่ที่ตีนเขาตั้งแต่เช้า เมื่อเห็นจี้ชิงก็รีบคารวะอย่างมีมารยาท แน่นอนว่าเป็นการกระทำของเขาเพียงฝ่ายเดียว
จี้ชิงพยักหน้ารับ กลับไปสู่ท่าทางที่ไม่สนใจใครเหมือนในอดีต เขาเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร จี้เสวียนอวี๋จึงไม่ได้คิดมาก แต่เขากลับมีความรู้สึกว่าคุณชายสามจี้มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป หรืออาจเป็นเพราะซ่งฝูอี้พำนักอยู่ที่นี่นานเกินไป คุณชายสามจึงรับเอาลักษณะบางประการของซ่งฝูอี้มาไว้ที่ตนเอง
อย่างเช่น…กลิ่นตัว
เสวียนอวี๋จามแล้วขยี้จมูกไปมา พลางใช้มือปิดปากอย่างเงอะงะ ส่วนจี้ชิงก็หันกลับไปมองเขา
จี้เสวียนอวี๋หน้าแดง “ขอโทษขอรับ ตัวของคุณชายสามมีกลิ่นของคุณชายซ่งติดตัวมาด้วยนะ”
“เขารึ” ดวงตาของจี้ชิงส่องประกาย “กลิ่นอะไร”
“นี่…” จี้เสวียนอวี๋ชะงักเล็กน้อย “ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันขอรับ คล้ายพวกกลิ่นดอกไม้”
จี้ชิงครุ่นคิด สูดดมอย่างละเอียด ก่อนจะพึมพำ “ดอกไห่ถัง”
“หือ” จี้เสวียนอวี๋ฟังไม่ถนัด
“ไม่มีอะไรหรอก” จี้ชิงหลบตาแล้วเดินต่อไป แต่เดินเร็วขึ้นมาก
บางทีต้องจัดการเรื่องนี้ให้เร็วขึ้น จะได้สบายใจสบายใจเสียที
ซ่งฉือเดินกลับไปทางเดิม เดินมาตัวคนเดียว จากไปตัวคนเดียว เมื่อกลับมาอีกครั้งก็ยังคงตัวคนเดียว
จู่ๆ ซ่งฉือก็หลงทาง เขากอดกระบี่ซุ่ยหานด้วยความรู้สึกอึดอัดพลางเดินเตะดอกไม้ป่าริมทาง ทันใดนั้นสายฝนก็โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ที่แรกซ่งฉือไม่ได้สนใจ ทว่าพอเริ่มตกหนักขึ้นเขาก็ต้องหาถ้ำเล็กๆ หลบฝน ภายในถ้ำมืดมิด ซ่งฉือพยายามทำใจให้สงบพลางกอดกระบี่ซุ่ยหานไว้แน่น นั่งยองๆ ชิดผนังด้วยท่าทางระมัดระวัง
เวลาผ่านไปสักพัก ฝนก็ยังไม่ซาลง อากาศก็เริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็เหมือนมีเสียงของเด็กคนหนึ่งส่งเสียงออกมาจากในถ้ำอันมืดมิด
“ซ่งฝูอี้”
ซ่งฉือสะดุ้งแล้วหันหน้ามองเข้าไปในถ้ำ “ใคร! ใครพูดน่ะ”
“ซ่งฝูอี้”
เสียงนั้นกลายเป็นเสียงของผู้หญิง ฟังดูก็รู้ว่าเป็นเสียงของปีศาจงูสาวงามที่ไม่เคยรู้จักที่ต่ำที่สูง
ซ่งฉือชักกระบี่ออกจากฝัก กระชับแน่นไว้ในมือ ถ้ามีปีศาจร้ายปรากฏกายจริงเขาก็แค่กำจัดมันให้สิ้นซากก็พอ
“ข้าไม่ใช่ปีศาจ”
“ไม่ใช่ปีศาจ? เฮอะ! เสียงแหบขนาดนี้ จะให้ข้าคิดว่าเจ้าเป็นเทพเซียนงั้นรึ”
“ใช่ ข้าเป็นเซียน แต่เมื่อร้อยปีก่อนข้าได้กระทำความทำผิดจนถูกท่านตันชิวคุมขังไว้”
“ท่านตันชิวรึ หากถูกท่านตันชิวจับขังเจ้าก็ไม่ใช่เทพเซียนแล้ว บอกมาเดี๋ยวนี้ เจ้าเป็นปีศาจร้ายมาจากที่ใด” ซ่งฉือมีสติมากขึ้นแม้จะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย อาจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรู
“เจ้าไม่อยากรู้เรื่องราวท่านแม่ของเจ้าหรอกรึ เจ้าไม่อยากรู้เรื่องกระบี่หลิงหานกับกระบี่ซุ่ยหานว่าเหตุใดมันจึงเหมือนกันมากมายขนาดนี้?”
ซ่งฉือกุมกระบี่ไว้แน่น แผ่นหลังแนบกับผนังถ้ำค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ ทว่าพอได้ยินคำว่ากระบี่หลิงหานกับกระบี่ซุ่ยหานเท่านั้น เขาก็หยุดชะงัก “เจ้ารู้จักกระบี่ซุ่ยหานกับกระบี่หลิงหานด้วยรึ”
“หากเจ้าอยากรู้ความลับก็เดินเข้ามาข้างในสิ…”
เสียงนั้นเล็ดลอดเข้ามาในแก้วหูไหลผ่านเข้าไปถึงสมอง เหมือนกับเป็นเสียงปีศาจที่ดังไปรอบๆ ฉุดเขาให้เดินเข้าไปข้างใน
กว่าซ่งฉือจะตระหนักได้ นัยน์ตาของเขาก็มืดมน สติสัมปะชัญญะสูญสิ้นไปโดยสิ้นเชิง