พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 29 หลิงชี่แผ่รัศมี ณ เจดีย์กว่างหลิง
- Home
- All Mangas
- พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส
- ตอนที่ 29 หลิงชี่แผ่รัศมี ณ เจดีย์กว่างหลิง
ยี่สิบเก้า
หลิงชี่แผ่รัศมี ณ เจดีย์กว่างหลิง
ซ่งฉือมีรูปร่างที่ดี รอบรู้วิถีเต๋า มิหนำซ้ำยังเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วจนจี้ชิงตกตะลึง เขานั่งอยู่ข้างหลังยังรู้สึกได้ถึงไอเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างกายของซ่งฉือ
วิทยายุทธ์ของจี้ชิงเป็นแบบฉบับของลี่หยาง บริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ ไอมายาที่แท้จริง ส่วนซ่งฉือเดิมทีเป็นหยิน หยวนตันก็ถูกผนึกไว้ด้วยไอเย็น เป็นผลให้มันรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
หลังจากทำสมาธิได้สักพัก จี้ชิงลืมตามองไปที่เขา ซ่งฉือนั่งนิ่งไม่ไหวติง เดิมเขาเป็นพวกที่อยู่ไม่สุข ไม่มีทางที่จะนั่งนิ่งได้ขนาดนี้
จี้ชิงขมวดคิ้ว หรืออาจจะเป็นเพราะหลับไปแล้วกระมัง
เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ข้างกายอีกฝ่าย ทันใดนั้นซ่งฉือก็ลืมตาขึ้น บนคิ้วมีหิมะขาวคาอยู่โดยไม่รู้สาเหตุ ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงฤดูหนาว แต่กลับมีหิมะปกคลุมอยู่เต็มพื้นรอบกายของซ่งฉือ
จี้ชิงนั่งยองๆ เมื่อยื่นมือไปกดที่คิ้วของซ่งฉือ เขาก็ขมวดคิ้วทันที
“พอได้แล้ว!” ทันใดนั้นเขาก็อ้อมไปด้านหลังแล้วดึงอีกฝ่ายขึ้นจากพื้น “ทรมานขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่บอกข้า” เขาคิดว่าซ่งฉือหลับไปแล้ว ความจริงซ่งฉือกัดฟันอดทน เขาจึงสังเกตเห็นสีหน้าอันซีดเซียวของอีกฝ่าย
ซ่งฉือยิ้มบางๆ แล้วโบกมือด้วยความอ่อนล้า “ไม่มีอะไร ข้าไม่กลับไปหรอก”
“เจ้าบ้าไปแล้วรึ” จี้ชิงจ้องตาเขา สายตาเต็มไปด้วยความสับสน “สามารถบุกทะลวงออกมาได้มากมายขนาดนี้ แม้ไอเย็นในตัวจะถูกขับออกมาได้ แต่ภายในกลับได้รับบาดเจ็บยิ่งกว่า”
“ไม่หรอก” ซ่งฉือตอบเสียงเอื่อยๆ “ข้าไม่เป็นอะไรสักหน่อย”
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน” จี้ชิงหยิบกระบี่สองเล่มนั้นขึ้นมาพาดไว้บนหลัง ก่อนจะพยุงซ่งฉือกลับไปพัก
ซ่งฉือก้าวเดินช้าๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง เขาอ้าปากทว่าไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใดออกมา
เวลาสั้นเกินไป เขาสามารถยืนหยัดได้ในเวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้น บุกทะลวงไอเย็นเพียงหนึ่งครั้งต้องอดทนเสมือนหนึ่งอยู่ท่ามกลางแดนหิมะน้ำแข็ง แม้แต่มือและนิ้วก็ชาไปหมด เมื่อขยับเข้าใกล้ร่างกายของจี้ชิงก็ทำให้ซ่งฉือรู้สึกอุ่นขึ้นมาก
ราวกับจี้ชิงสังเกตเห็น เขาจึงกระชับอ้อมแขนให้แน่นยิ่งขึ้น
ตกกลางคืน ซ่งฉือเริ่มมีไข้ ไม่ว่าจะห่มผ้าสักกี่ชั้นก็ยังรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว จี้ชิงป้อนยาให้เขา แต่เขากลับกลืนไม่ลง เอาแต่เพ้อถึงเรื่องราวในอดีต อย่างเช่นฟ่างอวี้ หอบุปผาภิรมย์ หรือการร่ำสุรา…จนสุดท้าย ก็เพ้อถึงหอไห่ถังก่อนจะเงียบไป
จี้ชิงเช็ดยาที่เลอะปากจนเรียบร้อย เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนผ้าเพื่อลดอุณหภูมิในร่างกาย เขาก็พบว่าแก้มทั้งสองข้างของซ่งฉือมีน้ำตาไหลลงมาเป็นทาง เขายื่นมือไปเช็ดให้และพบว่าซ่งฉือตัวร้อนจี๋ จี้ชิงหรี่ตาลง เขาเลิกผ้าห่มที่ห่มไว้หลายชั้นออกแล้วอุ้มซ่งฉือขึ้นแนบอก
ที่ตรงนี้มีน้ำพุอุ่นอยู่หนึ่งบ่อ อุ่นตลอดทั้งสี่ฤดู แต่บ่อไม่ใหญ่มาก แช่ได้อย่างมากที่สุดสองสามคน จี้ชิงถอดเสื้อผ้าออกแล้ววางซ่งฉือลงไปในน้ำ ซ่งฉือไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ร่างกายค่อยๆ ลื่นไหลลงไปตามผนังหินจนหัวเกือบมิดน้ำ จี้ชิงรีบใช้มือปลดเสื้อผ้าออกแล้วกระโจนไปในน้ำเพื่อพยุงที่รักแร้ของอีกฝ่ายให้ขึ้นมานั่ง ผิวหนังเขายังเย็นๆ อยู่เลย
ในยามที่คนเราหนาวเหน็บ ย่อมแสวงหาความอบอุ่นอย่างไร้ขีดจำกัด ดังนั้นเมื่อมืออุ่นๆ ของจี้ชิงสัมผัสที่ร่างกาย ซ่งฉือก็รีบโถมกายเข้าหาทันที จี้ชิงถูกดันจนชิดผาหิน เขาใช้แขนทั้งสองข้างจับขอบเพื่อตั้งหลัก หัวของซ่งฉือซบลงบนบ่าข้างขวา ผิวหนังเย็นๆ แนบสนิทกับตัวเขา หว่างคิ้วของเขาเห่อร้อนขึ้นเล็กน้อย จี้ชิงตัวแข็งทื่อและพยายามอย่างยิ่งในการรงับความคิดที่โลดแล่นไปไกล
เขาไม่กล้าขยับเขยื้อน เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะกอดเขาแน่นกว่านี้
เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง จี้ชิงก้มหน้ามองซ่งฉือที่หลับสนิท แก้มทั้งสองเริ่มแดงเรื่อ แพขนตายาวเริ่มชื้นจนเห็นเป็นเส้นๆ อย่างชัดเจน นิ้วเรียวยาวสัมผัสที่หัวไหล่ของเขาอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากประทับลงที่หน้าอก ดูราวกับดอกไห่ถังขี้เซา จี้ชิงสัมผัสที่หน้าผากของอีกฝ่าย เขาหัวเราะเบาๆ พลางกอดซ่งฉือใต้แสงจันทร์ ท่ามกลางความเงียบสงัดของขุนเขาและแม่น้ำ เขาโอบกอดซ่งฉือด้วยความซื่อสัตย์
จี้ชิงที่มักจะมีสีหน้าเรียบนิ่งดูเย็นชาและควบคุมอารมณ์อยู่เสมอได้เปลี่ยนไป ตอนนี้เขาไม่ต่างจากเด็กหนุ่มธรรมดาๆ ที่ริเริ่มปลูกต้นรัก เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่ชอบก็เผยรอยยิ้มราวกับเด็กๆ
สายลมพัดแผ่วเบา บุปผาผลิบานครึ่งกำแพง เขนยใหญ่เทียมปฐพี โอบกอดคนไว้เพียงผู้เดียว
หากถามว่าในชีวิตนี้จี้ชิงเคยทำสิ่งใดที่ไม่สมฐานะของสุภาพบุรุษบ้างเล่า เกรงว่าคงเป็นคืนนั้น เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้ซื่อสัตย์ ครุ่นคิดด้วยความระมัดระวัง มีแสงจันทร์เป็นสักขีพยาน มีผืนพิภพเป็นสินสอด มีบ่อน้ำพุเป็นเรือนหอ มอบรอยจูบเป็นของขวัญ เพื่อรับใครสักคนเข้ามาอยู่ในดวงใจ…เก็บรักษาดุจสิ่งล้ำค่าจนกว่าจะสิ้นลม
เมื่อสะดุ้งตื่นยามดึกเพราะอากาศร้อน ซ่งฉือปวดหัวจนเกือบทนไม่ไหว รู้สึกราวกับว่ามีกองไฟร้อนระอุอยู่ข้างกายจนต้องลุกขึ้นนั่งจากกองผ้าห่ม แม้ว่าร่างกายจะดูเหมือนอ่อนแรงทว่ากลับสดชื่นอย่างน่าประหลาด เขาสามารถขยับแขนขาโดยไม่รู้สึกปวดเมื่อยแม้แต่น้อย เมื่อหันด้านข้างก็พบจี้ชิงสวมเพียงเสื้อตัวในนอนอย่างเงียบๆ เขามองผ่านลายฉลุบนหน้าต่างก็เห็นขอบฟ้าสีขาวโพลน ดูท่าว่าเขาจะสลบไป
เขาพลิกตัวลงจากเตียงด้วยความระมัดระวัง ซ่งฉือห่มผ้าให้จี้ชิง หลังจากสวมเสื้อคลุมสีเข้มที่หยิบออกมาจากในตู้ เขาก็เดินออกไปด้านนอก
เสียงนกร้องดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมของอาหารที่ฟุ้งกระจายเข้ามา จี้ชิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงแดดสาดส่องเข้ามาจนสว่างไปทั้งห้อง เขาลุกมากวาดตาไปรอบๆ กลับไม่มีแม้แต่เงาของใครสักคน เขาเลิกผ้าห่มออกจากตัวไปแต่งตัวเพื่อออกมาด้านนอก บนโต๊ะมีกับข้าวสามอย่างกับแกงอีกหนึ่งถ้วยซึ่งถูกครอบไว้ในฝาชี แต่มีตะเกียบคู่เดียว
เขาหยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมา ตัวหนังสือบรรจงเรียบร้อย เขียนไว้ว่า…
‘ฝึกวิชาบนขุนเขาอวิ๋นติ่ง ทุกอย่างเรียบร้อย รอคอยเจ้าอยู่’
เขาพับกระดาษแล้วยัดใส่ไว้ในแขนเสื้อ เมื่อล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นั่งลงจับตะเกียบและชามขึ้นมา
อาหารถูกปากเขามาก รสชาติอ่อนๆ กลมกล่อม
แม้เขาจะชอบทำอาหาร แต่ฝีมือของเขาที่ยังอ่อนหัดราวกับไม่เคยเรียนทำอาหารมาก่อน นึกขึ้นมาก็รู้สึกละอายใจ คนรอบข้างมักจะบอกว่าเขาเป็นคนฉลาดมาแต่เกิด ทำได้ทุกอย่าง ไม่คิดเลยว่าเรื่องที่ดูง่ายดายเช่นนี้กลับกลายเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับเขา ในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา ท่านอาจารย์จะอนุญาตให้ลูกศิษย์ที่จัวลู่ส่งอาหารมาให้ไม่กี่วันเท่านั้น ส่วนวันอื่นๆ ที่เหลือเขาต้องหาทางแก้ปัญหาเอง
แม้จะไม่อร่อยถูกปาก กว่ารสชาติก็ไม่ได้แย่นัก
กระทั่งลงจากเขา จี้ชิงจึงได้ลิ้มรสอาหารฝีมือจี้หลิน เขาถึงได้ตระหนักถึงฝีมือทำอาหารของตนเอง อาจเรียกได้ว่าเสมือนกบในกะลา ไม่อาจเทียบกับจี้หลินได้แม้แต่น้อย แม้แต่ซ่งฉือก็ยังดีกว่าเขาถึงเจ็ดส่วนทีเดียว
จี้ชิงยิ้มออกทันที ไม่ใช่เพราะความโชคดีอย่างเดียว แต่รวมถึงเยาะเย้ยตนเองด้วย
อวิ๋นติ่งเป็นภูเขาอีกลูก ห้อมล้อมไปด้วยต้นหลิงปั๋ว13ที่มีอายุนับร้อยปี ที่บริเวณเจดีย์กว่างหลิงโอบล้อมไปด้วยเมฆขาวโพลน อยู่ใกล้กับแดนนภาศักดิ์สิทธิ์
ลุยน้ำข้ามลำธารจนเสื้อผ้าเปียกไปหมด ซ่งฉือถอดรองเท้าและเสื้อนอกออกแล้วนำไปแขวนไว้บนต้นไม้
เขานั่งอยู่บนผาหินแล้วฝึกเดินปราณเงียบๆ
ซ่งฉือฝึกอย่างเงียบๆ เมื่อรวมกับเมื่อวานจึงเริ่มพัฒนาได้ดีขึ้น แม้เกือบจะเกิดเรื่องทว่าเขาก็รู้สึกถึงหลิงชี่ขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าใกล้เจดีย์กว่างหลิง มันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตอนที่เดินผ่านบริเวณนี้เขาก็รู้สึกว่าในเจดีย์มีบางอย่างแปลกๆ เมื่อนึกขึ้นได้ บางทีอาจเป็นเพราะหลิงชี่ที่กล้าแกร่ง
เขาท่องคาถาพึมพำในใจ พลังหลิงชี่เย็นสีครามรวมตัวปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ มันค่อยๆ หนักขึ้น เมื่อยื่นมือออกไปพลังหลิงชี่ก็พุ่งลงสู่ลำธารจนน้ำกระเซ็นเป็นวงกว้าง
เขายากที่จะเก็บความตื่นเต้นไว้ได้ ยืนขึ้นบนหินเมื่อละอองน้ำค่อยๆ กระจายหายไปก่อนจะยิ้มออกมา หากจี้ชิงอยู่ที่นี่ เขาก็อยากที่กอดอีกฝ่ายให้สมกับความดีใจที่มี แล้วบอกว่าเขาเริ่มรู้สึกถึงหลิงชี่แล้ว
ทว่าหลังจากนั้นซ่งฉือก็รู้สึกว่าขาอ่อนแรงจนต้องทรุดตัวลง ทันใดก็รู้สึกราวกับร่างกายทุกส่วนถูกแสงสว่างที่ยอดเจดีย์คุมขัง ขยับไม่ได้แม้เพียงปลายนิ้ว