พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 25 ขอเพียงให้เขายังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว
- Home
- All Mangas
- พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส
- ตอนที่ 25 ขอเพียงให้เขายังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว
ยี่สิบห้า
ขอเพียงให้เขายังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว
จี้ชิงนั่งลงที่เบาะ ส่วนซ่งฉือที่เดินตามมาก็จำใจนั่งลง เขาส่งกระบี่ซุ่ยหานให้จี้ชิงก่อนจะหลับตาลง สีหน้าดูราวกับกำลังเผชิญความตายอย่างกล้าหาญ
จี้ชิงรับกระบี่ซุ่ยหานมาถือไว้แล้วมองปฏิกิริยาของซ่งฉือ เขาส่านหน้าอย่างระอาก่อนจะวางกระบี่ไว้ที่เดิม เขาเดินมานั่งก่อนจะแย้มยิ้ม “ข้าใช้กระบี่โกนหนวดให้เจ้าได้จริงรึ”
พอซ่งฉือได้ยินดังนั้นก็ลืมตาขึ้นมามองจี้ชิง ก่อนจะเอ่ยอย่างงุนงง “ไม่โกนแล้วรึ”
จี้ชิงเอียงคอเล็กน้อย ก่อนจะรินชาแล้วจิบเล็กน้อยพลางมองท่าทางของซ่งฉือ “วันนี้ไม่อยากเห็นเลือด”
ซ่งฉือรู้สึกดีใจ ถ้ายอมให้อีกฝ่ายโกนหนวดให้เขาคงต้องประหม่าจนตายแน่ เมื่อนึกถึงสองมือเรียวยาวและขาวผ่องที่กำลังประคองที่คางของเขามันก็รู้สึกตะหงิดๆ ขึ้นมา หากว่าใกล้ชิดกันมากขึ้นจนลมหายใจรินรดใบหน้า ด้วยใบหน้าที่สร้างความโกรธแค้นให้แก่มนุษย์และทวยเทพเช่นนี้ เกรงว่าธาตุไฟคงเข้าแทรกเป็นแน่
“คิดอะไรอยู่รึ” จี้ชิงวางถ้วยน้ำชาลง แล้วหยิบเสื้อคลุมที่เก็บไว้ในตู้ออกมาสวม
“ข้ากำลังคิดว่า…คืนนี้ขอนอนกับเจ้านะ” ซ่งฉือยิ้มจนตาหยี “ข้าว่าในห้องข้ามีเสียงแปลกๆ ทำข้าตกใจ เจ้าบอกว่าคืนนี้จะมีเหตุเลือดตกยางออกมิใช่รึ มีเจ้าอยู่ทั้งคน รับรองว่าเลือดตกยางออกมาไม่ถึงตัวข้าแน่!”
จี้ชิงชะงักมือที่กำลังจัดเสื้อผ้า เบิกตากว้างพลางจับจ้องซ่งฉือ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “เจ้าแน่ใจรึ”
“แน่ใจสิ” ซ่งฉือนั่งลงไปบนเตียง “เราสองคนไม่ได้นอนด้วยกันเป็นครั้งแรกเสียหน่อย”
จี้ชิงหรี่ตาลง นัยน์ตาที่แฝงรอยยิ้มหายไป เขาก้าวไปนอนตะแคงอยู่ด้านในของเตียง
เชื่อฟังถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ซ่งฉือแทรกกายเข้าไปในผ้าห่ม ผ้าห่มเล็กๆ สำหรับใช้เพียงคนเดียวทำให้ร่างกายของพวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น
“จี้ชิง ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยสิ” เขาพลิกตัวไปนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย
“ว่า?”
ซ่งฉือกลืนน้ำลายก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงไปด้วยความเศร้าโศก “ข้ายังสามารถกลับไปเจียงอินได้อีกไหม”
จี้ชิงหลับตา เมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ก็ตอบคำถามอีกฝ่าย “เจียงอินตอนนี้คงต่างจากอดีตมากนัก”
ด้านนอกมืดมิดทั้งยังมีลมกระโชกแรง เสียงลมแรงพัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่าง ซ่งฉือที่ขยับเข้าใกล้จี้ชิงนั้นรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาก
“เหลียนอวี่เปี้ยนใช้อสุรกายมายึดครองพื้นที่เจียงอิน ทำลายหอไห่ถัง ผู้คนที่นั่นคงกลับไปที่เดิมไม่ได้อีกแล้ว” จี้งชิงจับมือเย็นเฉียบทั้งยังสั่นเล็กน้อยของอีกฝ่ายที่อยู่ใต้ผ้าห่ม เขากุมมือซ่งฉือไว้แน่น พยายามถ่ายเทความอบอุ่นให้แก่อีกฝ่าย ถึงแม้จะเป็นความอบอุ่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าซ่งฉือก็สัมผัสได้และรู้สึกราวกับจับฟางช่วยชีวิต
“คนเก่าๆ ที่เก่าๆ” ซ่งฉือมองไปที่หัวเตียง มุ้งลายปักด้วยด้ายสีเงินกระทบกับแสงจันทร์ทำให้รู้สึกเคืองตาเล็กน้อย
ในความพร่ามัว เขารู้สึกราวกับว่าได้กลับไปยังเรือนกว่างหลิง
ถ้ากลับไปสู่อดีตได้ เขาก็คงจะไม่เอาแต่เถียงท่านพ่อ แม้จะถูกเฆี่ยนจนหลังลายเขาก็จะทน
เขาจะไม่พูดเป็นอันขาดว่า ‘ท่านพ่อไม่คู่ควร’
เขาจะไม่เอาแต่ไปเที่ยวเตร่ข้างนอก จะใช้เวลาเพื่ออยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายให้มากขึ้น แม้จะรู้สึกรำคาญหรือเหน็ดเหนื่อย ทว่าอย่างน้อยที่สุดจะได้หลงเหลือทรงจำมากกว่านี้อีกสักนิด
ซ่งฉือสูดอากาศหายใจแล้วหัวเราะออกมา เขาคิดถึงภาพที่ท่านพ่อโมโหจนถลึงตาก่อนจะพ่นลมหายใจแรงจนหนวดเคราปลิว…ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
จี้ชิงจับมือซ่งฉือใต้ผ้าห่มไว้แน่น รอยยิ้มของอีกฝ่ายทำให้เขาหวาดกลัว
การทำลายใครสักคนนั้นง่ายดายนัก ปลิดชีพทุกคนที่อยู่รอบตัวเขา หลงเหลือเขาไว้เพียงลำพัง ตัดทุกเรื่อง คนทุกคนที่เกี่ยวกับเขาทิ้ง พรากความปรารถนาที่ทำให้อยากมีชีวิต รวมถึงทุกปัจจัยในชีวิตของเขาไป ดังนั้นมันจึงสมควรแล้วที่เขาจะแค้น
อย่างน้อยที่สุดเขาก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปท่ามกลางความแค้น
มีชีวิตต่อไป…นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
‘ข้าจะอยู่กับเจ้าเสมอ’ จี้ชิงพูดในใจ
อยู่กับเจ้าจนถึงวันนั้น วันที่เจ้าขจัดความแค้นจนหมดสิ้น วันที่เจ้าได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริง
จี้ชิงตื่นตั้นแต่เช้ามืด ตอนที่เขาลงจากเตียง ซ่งฉือยังคงหลับใหล อีกฝ่ายนอนขดตัวทำให้ดูบอบบางยิ่งกว่าเดิม จี้ชิงห่มผ้าให้อีกฝ่ายก่อนจะเอื้อมมือปัดปอยผมให้ซ่งฉือ ทันใดนั้นก็พบว่าหางตาชื้นเล็กน้อย เขาเอื้อมมือไปเช็ดมันออกและนวดที่หว่างคิ้วของคนที่กำลังหลับใหลเบาๆ
จี้ชิงลุกขึ้นแล้วหยิบเสื้อสีน้ำเงินเข้มจากในตู้มาสวม โดยไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อสีเข้มอีกตัวออกมาวางไว้ข้างเตียงด้วย จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องไป
เมื่อซ่งฉือตื่นนอน ดวงอาทิตย์ก็เปล่งแสงสว่างจ้าอยู่บนท้องฟ้าเสียแล้ว เขาขยี้ตาก่อนจะสำหรับได้ว่าข้างกายเย็นเฉียบ จี้ชิงไม่อยู่แล้ว เขาลุกขึ้นนั่งพร้อมด้วยอาการปวดหัว เมื่อกวาดมือออกไปก็สัมผัสกับเนื้อผ้าที่ต่างจากผ้าห่ม เมื่อหันไปมองก็พบกับเสื้อสีครามงดงามวางอยู่
เมื่อสวมเสื้อตัวนี้แล้วทำให้เห็นทรวดทรงองค์เอวอย่างละเอียด ดูแล้วให้ความรู้สึกอ่อนโยน
เขาเดินออกมากลับไม่พบแม้เงาของอีกฝ่าย ทว่าเขาได้กลิ่นที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่ากลิ่นอาหารหรือกลิ่นอะไรกันแน่ อย่างไรก็ตามซ่งฉือก็เดินตามกลิ่นนั้นไป
จี้ชิงกำลังหมกตัวอยู่ในห้องครัวที่โอ่อ่า ส่วนเอ้อเฉินก็ยืนอยู่บนเตาพลางมองด้วยสายเกียจคร้าน
แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านหน้าต่างกระทบไหล่ทำให้เขาอบอุ่นไม่น้อย
“จี้ชิง” เขาพิงประตูก่อนจะส่งเสียงเรียก
จี้ชิงหันหน้ากลับไปหาซ่งฉือที่ยืนยิ้มอยู่ตรงประตู
“ที่แท้เจ้าชอบสีเข้มนั่นเอง” เขาหมุนไปรอบๆ “เจ้าดูเสื้อตัวนี้สิ ข้าใส่แล้วดูดีไหม”
จี้ชิงมองเขาแล้วชะงักไป “ดูดี”
งดงามมากทีเดียว
เมื่อซ่งฉือสวมชุดสีเข้มทำให้ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนราวกับหยกบริสุทธิ์ไม่มีผิด
“เจ้าก็ดูดีทีเดียว” ซ่งฉือตบที่บ่าเขา “แต่ไม่ต้องทำอาหารแล้วนะ”
“ทำไมล่ะ” จี้ชิงเบี่ยงตัว เผยให้อาหารสามอย่างที่ทำเสร็จเรียบร้อย
“นี่” ซ่งฉือทำหน้าแปลกๆ ก่อนจะมองไปที่เอ้อเฉิน “โอ้ เอ้อเฉินยังมีชีวิตอยู่หรือนี่”
เขากวาดตาไปที่จานอาหารเหล่านั้นที่ตกแต่งด้วยผักเขียวสดๆ อาหารไม่กี่จานเหล่านี้ ไม่ดิบเกินไปก็เละเทะเสียจนแทบดูไม่ได้ แม้จะมองออกว่าเขาพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่เพื่อความปลอดภัยในชีวิต ซ่งฉือจึงพับแขนเสื้อขึ้นแล้วดึงจี้ชิงไปด้านหลัง
“ข้าเอง”
จี้ชิงถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่งแล้วมองไปที่เขา ก่อนที่ความสงสัยจะแปรเปลี่ยนเป็นความแน่ใจ ซ่งฉือรวดแป้งอย่างคล่องแคล่ว แสงอาทิตย์สาดส่องไปตามรอยเว้าของไหล่จนส่องประกายแวววาว ฝีมือไม่ได้ต่างจากจี้หลินสักเท่าใดนัก
“ข้าทำอาหาร…ไม่อร่อยรึ” จี้ชิงถามพลางยืนพิงประตูอยู่ด้านหลัง ที่จริงเขาเองก็พยายามอย่างหนัก ก่อนหน้านี้สมัยอยู่ที่เขาอู่หลิง วิชาทำอาหารเป็นพื้นฐานวิชาหนึ่งของการฝึกวิชาที่นั่นเหมือนกัน ทว่าจี้ชิงไม่ได้มีฝีมือมากนัก ท่านเซียนไม่เคยชิมอาหารที่เขาทำเลย เขาเพียงแค่ยกอาหารไปวางเท่านั้นทว่าไม่เคยเห็นท่านเซียนคีบมันเข้าปาก เมื่อลงจากภูเขา จี้ชิงก็พยายามเลียนแบบจี้หลิน แต่อาหารที่ทำออกมาทั้งรูปร่างหน้าตาและรสชาติต่างกันราวฟ้ากับเหว
ซ่งฉือไม่ได้หันกลับไป มืออันเรียวยาวของเขาชี้ไปที่บะหมี่ก่อนจะตอบพร้อมรอยยิ้ม “นอกจากฝีมือทำอาหาร ก็ไม่มีตรงไหนที่เจ้าไม่เก่ง ก็เหตุใดถึงได้หมกมุ่นอยู่แต่การทำครัวนัก บุรุษย่อมอยู่ห่างจากก้นครัว เจ้าอย่าได้ทรมานตัวเองอีกเลยน่า”
หากจี้ชิงยังทำต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ นอกจากสร้างความลำบากให้ตัวเองแล้ว ยังจะให้คนอื่นลำบากไปด้วย
กินอาหารที่จี้ชิงทำ อาจถึงตาย
เอ้อเฉินมองทั้งสองสลับกันไปมาพลางส่งเสียงร้องเหมียวๆ แล้วกระโดดขึ้นไปบนเอวของซ่งฉือก่อนจะยื่นหัวไปคลอเคลีย
จี้ชิงกวักมือเรียก ทว่าเอ้อเฉินก็ขึ้นไปซุกอยู่บนบ่าของซ่งฉือ
ซ่งฉือยักไหล่ข้างหนึ่งพยายามหลบซ่อนความกลัว ฝ่ายเอ้อเฉินก็เสียหลักจึงปีนขึ้นไปนอนบนหัวของเขา คราวนี้ซ่งฉือลุกลี้ลุกลนยิ่งกว่าเดิม ท้ายที่สุดแล้วหนึ่งคนหนึ่งแมวก็ส่งเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกจนทำลายบรรยากาศยามเช้าอันสงบสุขของหอหลิงชิง
จี้ชิงไม่ได้ยื่นมือไปช่วย ทำเพียงยืนพิงประตูมองก่อนจะหัวเราะออกมา