พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 26 ขึ้นเขาอู่หลิง ฝึกวิชาหลิงชี่หยวนตัน (1)
- Home
- All Mangas
- พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส
- ตอนที่ 26 ขึ้นเขาอู่หลิง ฝึกวิชาหลิงชี่หยวนตัน (1)
ยี่สิบหก
ขึ้นเขาอู่หลิง ฝึกวิชาหลิงชี่หยวนตัน (1)
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา จี้ชิงคิดหาวิธีต่างๆ มากมายที่จะช่วยให้ซ่งฉือสามารถทำความเคยชินกับความเย็นของหลิงชี่ แต่เกรงว่าต่อให้เขาใช้ปราณเพื่อหลอม ทว่าหยวนตันในร่างของซ่งฉือยังคงไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แม้ว่าพลังวิญญาณเขาจะดูจากภายนอกว่าเย็น แต่ความจริงแล้วเป็นพลังหยาง เนื่องจากหยวนตันของซ่งฉือถูกผนึกด้วยการแช่แข็ง จำเป็นต้องใช้พลังเย็นทลายพลังเย็น ไม่เช่นนั้นแล้วอาจเกิดการสะท้อนกลับทำให้หนักยิ่งกว่าเดิม ต้องขอความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์เท่านั้น
หนทางที่จะเข้าสู่เขาอู่หลิง ซ่งฉือรู้ดี
คราวที่ไปรับเขาครั้งที่แล้ว เขาก็ยังจำทางได้
เขาอู่หลิงเป็นดินแดนต้องห้าม แม้ซ่งฉือจะสนใจแต่ก็ไม่กล้าเข้าไป ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เขาไม่มีหยวนตัน หากเข้าไปแล้วเจออันตรายเกรงว่าตัวเขาคงไม่รอด อีกอย่างก็คือเขาไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้แก่จี้ชิง ที่ผ่านมาเขามีข้อครหาอยู่มากมาย มันไม่คุ้มหากว่าจี้ชิงต้องมาเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะเขา
จี้ชิงเดินทิ้งระยะห่างอยู่ด้านหลังซ่งฉือเล็กน้อย
ซ่งฉือดูเหมือนจะกระตือรือร้นขึ้นมาก อีกฝ่ายก้าวเท้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับใช้กระบี่ซุ่ยหานฟันต้นไม้ใบหญ้าสองข้างทางจนใบไม้ร่วงโรย เขาหัวเราะแล้วหันกลับไปกวักมือเรียก “จี้ชิง รีบมาทางนี้เร็วสิ”
แต่จี้ชิงกลับหยุดเดินพร้อมชักกระบี่หลิงหานออกมากลางอากาศ
ส่วนซ่งฉือถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะตะโกนเสียงสัง “เจ้าจะทำอะไรน่ะ”
“ขึ้นมา” เขาก้มหน้า กระบี่หลิงหานโฉบเลียบพื้น เขายื่นมือออกไปจับไว้แน่น
ซ่งฉือคล่องแคล่วกว่าครั้งที่ผ่านมา เขาเหยียบบนกระบี่ก่อนจะโน้มตัวลงมาพร้อมรอยยิ้ม “กระบี่ซุ่ยหานทำได้ไหม”
จี้ชิงกะพริบตามองไปข้างหน้า “น่าจะได้นะ”
“น่าจะรึ หมายความว่าอย่างไร เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่ากระบี่ซุ่ยหานคล้ายกับกระบี่หลิงหาน”
“กระบี่มีหลิงชี่เช่นกัน เจ้าลองดูสิ แต่กำลังภายในของเจ้าแค่นี้ อาจจะ…”
“อาจจะอะไรรึ”
จี้ชิงสบตา เพ่งไปที่กระบี่หลิงหานให้ลอยสูงขึ้น “แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
ซ่งฉือใช้นิ้วเท้าคิดก็รู้แล้ว ถ้าลองดูเขาอาจถึงตายเนื่องจากพละกำลังของเขานั้นยังไม่คู่ควรกับกระบี่
“รอให้ได้หยวนตันกลับมา เจ้าก็จะได้ใช้กระบี่เองนั่นแหละ ไม่ต้องรีบร้อนหรอก”
จี้ชิงโบกมือ ก่อนจะหยุดลงที่หน้าผาแห่งหนึ่ง
“ที่นี่ที่ไหนกัน”
จี้ชิงนั่งยองๆ ใช้มือปัดพื้นที่เล็กๆ บนพื้น ตอนนี้จึงมองเห็นได้ชัดว่าใต้ใบไม้และกิ่งไม้แห้งเหล่านี้มีหินหยกเขียวอร่ามซุกซ่อนอยู่
“เจ้าเป็นคนซื่อสัตย์จริงๆ” ซ่งฉือใช้มือแนบลงไป “เย็นจริงด้วย เหมือนกับของเจ้าเลย”
จี้ชิงเบิกตามองด้วยสายตาแปลกๆ…ซ่งฉือมองออกได้อย่างไรว่าหยกขาวที่ห้องอยู่บนคอเหมือนกับหยกเขียวชิ้นนี้
“เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม ไม่ใช่จะไปหาเทพเซียนหรอกรึ”
จี้ชิงถอนหายใจ “เจ้าลืมแล้วรึ เจ้าบอกว่าจะเอาหยกชิ้นหนึ่งมอบให้แม่นางจิ่งไง”
ตอนนี้ซ่งฉือจึงนึกขึ้นได้ ตบกะโหลกตัวเองหนึ่งที “ไอหยา! ข้าลืมสนิทเลย” ก่อนจะหัวเราะและตบบ่าจี้ชิง “ขอบใจเจ้ามากนะ โชคดีที่เจ้าช่วยจำไว้”
โชคดีที่มีเขาช่วยจำ ซ่งฉือก็พูดเช่นนี้ทุกที
จี้ชิงแกะหยกเขียวขจีออกมา
“กลับไปหาเสวียนอวี๋ ให้เขาแกะสลักเป็นเหรียญหยกแห่งความสงบสุขเถอะ” จี้ชิงเก็บหยกไว้ที่หน้าอก แล้วจะจูงมือซ่งฉือให้หันหลังกลับ ก่อนจะโบกมือ
ซ่งฉือมองเห็นเจดีย์เด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลนัก “นั่นคืออะไร” เขาชี้ไปที่เจดีย์นั้น
จี้ชิงมองตามที่เขาชี้แล้วพูดว่า “เจดีย์กว่างหลิง เป็นที่เก็บรักษาฉิน มรดกของบรรพบุรุษ”
“โอ้” ซ่งฉือเดินตามเขาไปข้างหน้า สายตาจับจ้องไปที่เจดีย์กว่างหลิง
เมื่อซ่งฉือมองผ่านใบไม้เหล่านี้ก็พบเจดีย์มีแสงประกายแวบวาบ
“เจ้ามองอะไร” จี้ชิงหยุดเดินพลางเอียงคอขมวดคิ้วถามเขา
ซ่งฉือชะงักเท้า “ไม่มีอะไร”
เมื่อได้ยินดังนั้นจี้ชิงจึงก้าวต่อไปข้างหน้า พวกเขาเดินไปตามลำธารที่ถูกเมฆหมอกปกคลุมจนไปถึงวัดแห่งหนึ่ง
“ข้าเก็บเอ้อเฉินได้ที่นี่” จี้ชิงผลักประตูแล้วเดินเข้าไปข้างใน ภายในมีรูปปั้นเทพธิดางดงามตั้งอยู่
ซ่งฉือตกอยู่ท่ามกลางความสับสน เขารู้สึกว่าเหมือนกับเคยเห็นรูปร่างหน้าตาแบบนี้ที่ไหนมาก่อน แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
“นี่คืออดีตผู้นำเผ่าที่ริมแม่นำว่านหลิง เสียสละชีพเพื่อปราบมารในวัยเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น มิหนำซ้ำยังไม่พบศพอีกด้วย บรรพบุรุษรู้สึกเจ็บปวดและเศร้าใจมากจึงสร้างวัดแห่งนี้ขึ้น ไม่มีใครมาสักการะบูชาเว้นแต่ท่านหนึ่งเท่านั้น” เมื่อจี้ชิงคำนับซ่งฉือก็คำนับตาม ยิ่งพินิจพิเคราะห์รูปปั้นเทพธิดาองค์นั้นนานเท่าใด ก็ยิ่งมีความรู้สึกคุ้นเคยและร้อนใจมากเท่านั้น แต่เขาก็นึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่
“ขึ้นไปอีกไม่ไกลนักก็จะเป็นที่พักของท่านอาจารย์ บางทีท่านตันชิวก็จะอยู่ที่นั่นด้วย”
ซ่งฉือสังเกตสภาพอากาศ ดูเหมือนว่าฝนใกล้จะตกเต็มที
“เจ้าจะไปกับข้าไหม”
เขารู้สึกกระวนกระวายใจราวกับว่ากำลังรอวันฟ้าสาง แต่เมื่อแสงอาทิตย์ส่องผ่านช่องว่างแห่งความมืดมิด เขากลับรู้สึกแสบตา
“แน่นอน”
จี้ชิงมองซ่งฉือพร้อมกับลังเลที่จะพูดบางอย่าง เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งก็เผยรอยยิ้มออกมา “ไม่จำเป็นต้องวิตก ท่านอาจารย์ใจดี ไม่ทำอะไรเจ้าหรอกน่า”
ซ่งฉือพยักหน้าพลางคิดในใจ ‘ก็คงเป็นเช่นนั้น’
เขาบีบนิ้วมือแน่น ขึ้นบันไดมุ่งสู่ยอดเขาด้วยความหนักแน่น
เขาอู่หลิงซึ่งเป็นที่อยู่ของบรรดาเซียนทั้งหลายไม่ได้งดงามโอ่อ่าอย่างที่เขาคิด เป็นเพียงกระท่อมไม้ไม่กี่หลังตั้งกระจัดกระจายอยู่ในหุบเขาเท่านั้น
หันหลังให้แก่แสงอาทิตย์ฝั่งตะวันออก แสงแดดยามอาทิตย์อัสดงก็ทอประกาย
“เจ้าใช้ชีวิตในที่นี่แบบนี้ตลอดเจ็ดปีเลยรึ” ซ่งฉือถามด้วยความตะลึงอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ความจริงอีกฝ่ายควรที่จะเป็นคุณชายที่เสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทอง อิ่มหนำสำราญด้วยอาหารอันโอชะ ทว่ากลับต้องมาใช้ชีวิตลำบากในที่ทุรกันดารแบบนี้ถึงเจ็ดปี สำหรับเขาฝึกแค่เจ็ดวันก็นับว่าแย่มากแล้ว
“เพียงภายนอกไม่งดงาม เจ้าก็บอกว่าแย่เสียแล้ว” จี้ชิงเดินเข้าไปภายใน “ท่านอาจารย์ชอบความเงียบสงบ และเกลียดความฟุ้งเฟ้อภายนอก อยู่ในที่ธรรมดาๆ ไม่หวือหวาแบบนี้ มันเป็นความพอใจของท่าน”
“ก็คงเป็นเช่นนั้น ผู้เฒ่าเคราหงอกแบนนี้ย่อมชื่นชอบดื่มน้ำชาชมวิว” ซ่งฉือยื่นหัวเข้าไปดูภายใน “เอ๋ ทำไมไม่เห็นมีใครเลยล่ะ”
จี้ชิงหันกลับมาแล้วเอ่ยด้วยเสียงเรียบๆ “ท่านอาจารย์เป็นผู้อาวุโส เจ้าควรเคารพท่าน”
“รู้แล้วๆ”
ทั้งสองมองหาอยู่เป็นนานสองนานก็ไม่พบเซียนแม้แต่คนเดียว จึงไปนั่งตรงระเบียงมองไปยังที่นั่งกรรมฐานฝึกบำเพ็ญเพียรซึ่งล้อมรอบด้วยใบไม้เขียวขจี
จี้ชิงใช้สองมือถ่ายทอดหลิงชี่ให้กลายเป็นลมปราณที่ค่อยๆ ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย บนเขาอากาศชุ่มชื้น ซ่งฉือรู้สึกไม่ค่อยสบายไปทั้งตัวเหมือนกับมีมดกำลังไต่อยู่บนแขนและที่ท้อง คันไปหมดแต่ก็เกาไม่ถึง
จนกระทั่งซ่งฉือเกือบจะบิดแขนขาจนเป็นเกลียว จี้ชิงจึงได้เอ่ยถาม
“เป็นไรไป”
“คัน” ซ่งฉือยื่นแขนออกมาแล้วเกา “คันจะตายอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอะไร”
จี้ชิงจี้จุดบนตัวเขาแล้วใช้หลิงชี่ช่วย
“เจ้าเด็กน้อยสาม เจ้าละทางโลกได้สามสิบกว่าวันก็เข้าข้างเจ้าตัวยุ่งผู้นี้ ในฐานะของอาจารย์ต้องรู้สึกปวดใจจริงๆ”
จี้ชิงเงยหน้าแล้วรีบลุกขึ้นยืน ซ่งฉือก็ยืนขึ้นโงนเงนไปมา มองผู้ที่อยู่บนท้องฟ้า…หลังไม่ค่อมและไม่แก่ มิหนำซ้ำยังมีท่าทางทะมัดทะแมง ดวงตาเปล่งเป็นประกาย แกล้งกันชัดๆ
เจ้าแก่นี่ใจแคบชะมัด…
ซ่งฉือพิงไหล่จี้ชิง เอ่ยเสียงทุ้มๆ “สวัสดีท่านเซียน”
เซียนอู่หลิงหรี่ตามองเขาอย่างละเอียด พูดยิ้มๆ “รูปร่างท่าทางไม่เลว แต่น่าเสียดาย”
จี้ชิงปัดแขนเขาออก ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านอาจารย์ ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อที่จะขอให้ท่านอาจารย์กับท่านตันชิวช่วยรักษาหยวนตันในตัวของซ่งฝูอี้พี่น้องร่วมสาบานของข้าที่ถูกผนึกไว้ด้วยความเย็น และหากมีวิธีแก้ อวิ๋นฉงก็ใคร่ขอให้อาจารย์ช่วยท่านพี่ร่วมสาบานของข้าผู้นี้ด้วยเถิด”