Zui Qiang Wu Shen – เทพยุทธ์สะท้านภพ - ตอนที่ 576
ตอนที่ 576 การปรากฏตัวของซื่อเฟย
ท่ามกลางแดนซีฮวง มีวัตถุอาหารที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะที่จะเป็นที่ฝึกปรือ ถือได้ว่าเป็นที่ตั้งของขุมกำลังใหญ่แห่งแดนซีฮวงมากมาย ต่อให้เป็นเพียงแค่ประตูขึ้นเขาท่ามกลางที่แห่งนี้ ก็ยังถือได้ว่าเป็นตำแหน่งหางเสือไว้คอยขับเคลื่อนที่ดีได้ สามารถที่จะเป็นจุดรวมกำลังได้ ถือได้ว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง
ในพื้นที่บริเวณที่เป็นใจกลางของเขตนี้ ในทุกร้อยลี้ก็อาจจะสามารถพบเห็นเมืองขนาดใหญ่เมืองหนึ่ง อีกทั้งยังถึงกับเป็นจุดที่ตั้งที่รวมตัวกันประดุจดวงดาวก็มิปาน แผ่ขยายออกไปทั่วทั้งสี่ด้าน
ระยะทางจากหมู่บ้านซี่หลงไม่แต่มีเพียงแค่ห้าร้อยลี้เท่านั้น เยี่ยจงเคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระภายใต้พื้นที่แถบนี้ ไม่นานก่อนหน้านี้ เขาก็ได้ข่าวสารมาจากซือคงชิงฉี ว่าสิบปีศาจผู้ยิ่งใหญ่แห่งหุบเขาหมื่นปีศาจราวกับได้ขอเชิญคนของท่านบัญชาสวรรค์ในการคำนวณเส้นทางโดยคร่าวๆ ของตนเองขึ้นมา ขณะนี้ได้กำลังมุ่งหน้าเข้ามายังบริเวณทางด้านนี้เข้ามา
เยี่ยจงเดินเช่นนี้ออกไป ทั้งไม่รีบร้อนและทั้งไม่ช้าจนเกินไป ไม่ได้เป็นเพราะว่ากลัวจะเจอกับสิบปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ช้าจนเกินไป แล้วก็ไม่ได้เป็นเพราะว่าเกิดจิตหวาดเกรงต่อสิบปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ปิดล้อมตนเองได้ เขาเพียงแต่เดินทางเป็นอย่างสงบเงียบเชียบมาโดยตลอด ชักนำสภาวะเหล่านี้เพื่อที่จะเป็นการฝึกปรือและการทำความเข้าใจประเภทหนึ่ง
ไม่นานนัก เยี่ยจงก็ได้เดินเข้าไปยังพื้นที่บริเวณส่วนลึกที่เป็นสีดำผืนหนึ่ง นี้เป็นพื้นที่รกร้างแถบหนึ่ง แม้ว่าพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ แต่ว่าเพราะตามปกติมักจะพบกับกฎเกณฑ์ของการสู้รบขนาดเล็กเข้ามาเกี่ยวข้อง พื้นที่แถบนี้จึงมิได้มีความเหมาะสมที่คนปกติธรรมดาจะเข้ามาอยู่อาศัยได้ อีกทั้งยังมีพื้นที่อีกหลายส่วนที่ถูกทิ้งเอาไว้ว่างเปล่า บริเวณส่วนลึกของพื้นที่รกร้างสายนี้ อาจจะมีบางครั้งที่จะสามารถพบเจอกับหมู่บ้านที่รกร้างกับเมืองโบราณอยู่ เพียงแค่นี้ก็เป็นที่บ่งบอกได้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของสถานที่แห่งนี้ได้
หลังจากที่ได้เดินเข้ามายังที่แห่งนี้กว่าครึ่งวันแล้ว ทันใดนั้นเยี่ยจงก็ได้หยุดฝีเท้าลง เขาเพียงยืนอยู่ในจุดเดิมอย่างเงียบเชียบ จ้องเขม็งไปยังบริเวณพื้นที่สายใหญ่นับไม่ถ้วน ภายในตำแหน่งนั้นเอง ก็ได้มีเงาร่างสายหนึ่งเข้ามาใกล้ประดุจสายลมกรรโชกเข้ามา อีกทั้งยังมีระดับความเร็วที่ยากจะคาดเดาได้
“มาแล้ว!”
มุมปากเยี่ยจงก็ได้ปรากฏรอยยิ้มเย็นเยียบขึ้นมาสายหนึ่ง หลังจากที่เขาได้รับข่าวสารของสิบปีศาจผู้ยิ่งใหญ่นี้ว่าได้อยู่ภายในพื้นที่แถบนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่จากไป เพียงแต่ยังเข้ามาเองถึงที่ นี้ก็เป็นเพราะว่าเขานั้นได้มีการเตรียมใจเอาไว้แล้ว อีกทั้งยังคิดที่จะเข่นฆ่าสังหารสิบปีศาจผู้ยิ่งใหญ่นี้ เพื่อที่จะเป็นการฝึกปรือตนเองไปในอีกทางหนึ่ง ทำเหมือนกับเป็นบททดสอบบทหนึ่ง
บริเวณพื้นที่ตรงที่เป็นเหมือนกับปากทางเข้า เงาร่างสายนั้นก็ได้เพิ่มระดับความเร็วจนถึงระดับสูงสุด เขาเหยียบย้ำไปยังหญ้าใบหน้าหนึ่ง ประดุจมีแรงดีดตัวลอยขึ้นมาจากบนหญ้าก็มิปาน กระโดดไปๆ มาๆ
เพียงแค่ชั่วพริบตาหนึ่งกาน้ำชาเดือด คนที่มาก็ได้เข้ามาใกล้ในระดับความเร็วสูง แล้วก็ได้ลงสู่ด้านบนของพื้นดิน เขาเดินออกเข้ามาด้วยระดับความเร็วที่ไม่ถือว่าเร็วมากนก แต่ว่าในทุกๆ การย่างก้าว กลับราวกับกำลังรวบรวมสภาวะอากาศเอาไว้ด้วยกัน ด้วยระดับความเร็วเช่นนี้กลับเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับความลี้ลับของวิชาดำดินรุกคืบได้อยู่หลายส่วน ทำให้ผู้คนเข้าใจขึ้นมาได้ ว่าเขานั้นย่อมไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ดูไปแล้วมีอายุประมาณยี่สิบกว่าปี เขานั้นมีรูปร่างที่ไม่สูงใหญ่มากนัก ร่างกายสามารถที่จะเรียกได้ว่าสูบผอมอย่างไร้ที่เปรียบ แต่ว่าภายใต้สิ่งที่ร่างกายได้แสดงออกมานั้น ราวกับมีประกายแสงสีทองจากโลหิตไหลเวียนเคลื่อนไหวอยู่ก็มิปาน ให้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งชนิดหนึ่งแก่ผู้ที่พบเห็น
เขาแม้แต่เส้นผมต่างก็ยังเป็นสีทอง ภายในดวงตาแม้ว่าจะมีสีดำ แต่ว่ากลับแฝงเอาไว้ด้วยความเป็นสัตว์ป่าอยู่ชนิดหนึ่ง ทำให้ผู้คนเมื่อได้มองดูเข้าไป คนผู้นี้ย่อมต้องไม่มีร่างเดิมเป็นเผ่ามนุษย์อย่างแน่นอน เพียงแต่กลับมีพลังอันแข็งแกร่งของเผ่าปีศาจอยู่
ความแข็งแกร่งไร้ที่เปรียบเช่นนี้ ประกายแสงสีทองทั่วทั้งร่างก็ได้ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งร่างกาย แฝงเอาไว้ด้วยบรรยากาศแห่งความดุร้ายอยู่ชนิดหนึ่ง แล้วก็ได้ทอดร่างอยู่ด้านบนของพื้นเช่นนี้ เขาก็ได้จ้องมองไปที่ภายในดวงตาของเยี่ยจง ประดุจกระบี่ที่แหลมคมสีทองก็มิปาน
“เจ้าก็คือ……เยี่ยจง!?”
เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ภายในคำพูดถึงแม้ว่าจะแฝงเอาไว้ด้วยคำถามอยู่ชนิดหนึ่ง แต่ว่าก็ราวกับว่าเป็นเหมือนกับผู้ที่กำลังมองไปยังผู้ต่ำต้อยอยู่ก็มิปาน เห็นได้ชัดว่า เยี่ยจงเพียงแค่คนเดียว ก็แทบจะเรียกได้ว่ามิได้อยู่ในสายตาของเขาอยู่แล้ว
“ไม่เลว ข้าก็คือเยี่ยจง” เยี่ยจงยืนมือไพล่หลังอยู่กับที่บริเวณท่ามกลางสถานที่แห่งนี้ จ้องมองเข้าไปยังชายหนุ่มผู้นี้อย่างสงบเสงี่ยม ไม่อาจที่จะไม่ยอมรับได้ว่า ชายหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ย่อมไม่ธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน ต่อให้มีความแข็งแกร่งเช่นเขา ขณะนี้ต่างก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันสายหนึ่งได้
ชายหนุ่มผู้นี้จ้องไปที่เยี่ยจง ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาอย่างไร้วี่แววแล้วกล่าว : “พวกข้ากำลังเสาะหาเจ้าอยู่เลย คิดไม่ถึงเจ้ากลับมาปรากฏตัวด้วยตนเอง นี้ใช่มาหาที่ตายด้วยตัวเองใช่หรือไม่?”
“แน่นอนว่าย่อมเข้ามาหาที่ตายเองอยู่แล้ว ทว่าเจ้าคงจะเข้าใจผิดว่าแท้จริงแล้วจะเป็นผู้ใดที่เข้ามาหาที่ตายอยู่เล็กน้อย วันนี้ ข้าจะส่งเจ้าไปสู่เส้นทางปรโลกก็แล้วกัน” เยี่ยจงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทอสีหน้าปกติดุจเดิม
“ฮาฮาฮา……” ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งผู้นี้ราวกับมีศีรษะที่ไม่เล็กไม่ใหญ่มากนัก เส้นผมสีทองบนศีรษะก็ได้ลอยไปมาอย่างวุ่นวาย ร่างกายที่ซูบผอมกลับแฝงเอาไว้รังสีสังหารที่ยากจะเอื้อนเอ่ยขึ้นมาอยู่ชนิดหนึ่ง “ในวันนี้ แม้ว่าชนชั้นมหาราชันมากมายจะกำลังถูกดินแดนเสี่ยวหนานดึงดูดความสนใจไปอีกครั้ง แต่ว่าชนชั้นระดับบุตรศักดิ์สิทธิ์สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งแดนซีฮวงต่างก็กำลังเสาะหาเจ้ากันอยู่ เจ้ากลับยังมีความหาญกล้าถึงเพียงนี้……ดูเหมือนว่าผู้คนทั้งหมดคงจะดูแคลนเยี่ยจงเจ้าไปแล้ว! ทว่าก็ช่างมันเถอะ ยังดีเสียกว่าการลงทุนลงแรงไปทั้งหมดนั้นไม่ถือว่าสูญเปล่า หลังจากที่สังหารเจ้าไปแล้ว วันนี้ในปีหน้า ข้าจะมาเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้เจ้ามากสักหน่อยก็แล้วกัน”
“แจ้งนามของเจ้าออกมาเถอะ กระนั้นอย่างน้อยเจ้าที่ถือเป็นคู่ต่อสู้คนแรกที่ได้พบเจอกันในวันนี้” เยี่ยจงสงบนิ่งไร้ที่เปรียบ ไม่มีอาการแยแสสนใจต่อสภาวะที่เกิดขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวออกมาทั้งหมดมิได้มีความเกี่ยวข้องกับตนเองเลยก็มิปาน
“ผู้ที่เป็นศิษย์คนโตของปีศาจมหาราชันจินชือ ซื่อเฟยเฉิน!” ชายหนุ่มเอ่ยปากขึ้นมาอย่างหนักแน่น แจ้งนามของตนเองออกไป
“ปีศาจมหาราชันจินชือที่เป็นเก้ามหาราชันปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ ไม่แปลกใจเลยที่ฝีมือของเจ้าถึงได้มีความเร็วถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าระดับความเร็วของเจ้าจะในหมู่สิบปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ สมควรที่จะจัดได้ว่าอยู่ในระดับต้นเลยสินะ หวังว่าเจ้าอย่าได้ถูกข้าซัดจนลอยไปก่อนก็แล้วกัน” เยี่ยจงพยักหน้าไปมา เอ่ยปากกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา
“เหอะ เจ้าก็ทราบอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีวาจาที่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพียงแต่น่าเสียดายที่เจ้ายังไม่อาจที่จะเติบใหญ่ขึ้นได้อีกแล้ว หากว่าเบื้องหลังของเจ้ามีพรรคสำนักใหญ่คอยหนุนหลังอยู่ ก็คงจะไม่มีผู้ใดกล้าที่จะหาเรื่องเจ้าอยู่แล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่เจ้ากลับพกสมบัติแห่งแดนเอาไว้ อีกทั้งยังไม่มีที่หนุนหลัง” ซื่อเฟยเฉินลงสู่พื้น ก้าวเข้าไปใกล้ทีละก้าว “สิบปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ได้เคลื่อนไหวพร้อมกัน ต่างก็มาเพื่อเจ้าโดยทั้งสิ้น วันนี้ข้าซื่อเฟยเฉินเสาะหาเจ้าพบแล้ว แท้จริงแล้วคงจะเป็นลิขิตรของสวรรค์ ดูเหมือนว่าตำแหน่งที่เก้าของปีศาจมหาราชัน จะต้องตกเป็นของข้าซื่อเฟยเฉินแล้ว!”
“มหาราชันปีศาจทุนเทียนก็ได้ตายตกภายใต้เงื้อมมือไปแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้ายังแข็งแกร่งไปกว่าเขาได้อย่างงั้นหรือ?” เยี่ยจงหัวเราะออกมา
“เหอะเหอะ พึ่งพาพ้นพลังสวรรค์เพื่อกำจัดศัตรู นี้ยังถือเป็นเช่นไรได้กัน? เจ้าคิดหรือว่าจะมีเพียงเจ้าที่ได้เข้าสู่ขอบเขตพ้นพลังสวรรค์อย่างงั้นหรือ? เรื่องนี้ได้เป็นที่ล่วงรู้ของทุกผู้คนไปแล้ว เจ้าอย่าได้คิดจริงหรอกนะว่า พวกเราสิบปีศาจผู้ยิ่งใหญ่เมื่อได้เคลื่อนไหวกันแล้ว มีหรือที่จะไม่มีวิธีการรับมือเจ้าเอาไว้กัน?” ซื่อเฟยเฉินหัวเราะหึหึอย่างเย็นชา “บนโลกใบนี้ พ้นพลังสวรรค์ย่อมมิใช่เป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว หากว่าเจ้าคิดที่จะใช้สิ่งนี้เป็นไพ่ตายแล้วละก็ เช่นนั้นข้าซื่อเฟยเฉินคงจะมองเจ้าสูงไปแล้ว!”
“การต่อกรกับคู่ต่อสู้เช่นเจ้า ยังไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พ้นพลังสวรรค์หรอกนะ” เยี่ยจงยังคงยืนอยู่ในจุดเดิม ทอสีหน้าสงบเสงี่ยม
“งั้นหรือ? เยี่ยมมาก ได้ยินมาตั้งแต่แรกแล้วว่าเยี่ยจงเจ้านั้นมีพลังกายเนื้อที่แข็งแกร่งไร้ผู้ต้าน ถึงกับถูกเรียกขานกันว่าอยู่ในระดับที่ไร้ผู้ต้าน อีกทั้งยังฝึกจนไปถึงขั้นพลังกายาทองไม่สูญสลายออกมาได้ ข้าในวันนี้จะขอลองทดสอบดูหน่อยว่า พลังกายาทองไม่สูญในตำนาน แท้จริงแล้วมีความน่ากลัวในระดับใดกันแน่ เจ้าอย่าได้ถูกข้าซัดไปเพียงหมัดเดียวจนแตกสลายไปก็แล้วกัน สุดท้ายก็เป็นได้แค่เพียงชื่อที่ดูสวยหรูเท่านั้น!” ซื่อเฟยเฉินหัวเราะหึหึอย่างเย็นชา จากนั้นก็ได้ก้าวออกมาทีละก้าว ตามความเคลื่อนไหวของเขา วินาทีนั้นก็ได้พบเห็นประกายแสงสีทองอันคมกล้าแต่ละสายแผ่กระจายออกมาจากภายในร่างกายของเขา จนท้ายที่สุดก็ได้กลายเป็นอักขระคุนเผิงขึ้นมาทีละสาย ปกคลุมอยู่ตลอดทั่วทั้งร่างกายของเขา
ในสมัยโบราณกาลได้กล่าวเอาไว้ว่า คุนเผิงนั้นมีกายเนื้อที่แข็งแกร่งอย่างน่าหวาดกลัว สามารถที่จะแทบได้กับมังกรหงเทวะที่แท้จริงได้ และซื่อเฟยเฉินนี้เห็นได้ชัดว่าภายในร่างกายได้ไหลเวียนเอาไว้ด้วยโลหิตบริสุทธิ์คุนเผิงอยู่ ในเวลาเช่นนี้ถึงกับสามารถที่จะกระตุ้นให้ตื่นขึ้นมาได้ จึงได้ทำให้กายเนื้อของเขานั้นมีความแข็งแกร่งที่มากมายอย่างไร้ที่เปรียบ
“กร๊อบ——”
ระหว่างที่อักขระคุนเผิงได้ปกคลุมอยู่บนร่างกาย ซื่อเฟยเฉินปะทุออกมาหมัดหนึ่ง วินาทีนั้นก็ได้เกิดแรงระเบิดไปตลอดทั่วทั้งผืนดิน ระหว่างนั้นกำปั้นของเขาก็ได้กดดันเข้ามา จนทำให้พื้นดินเกิดรอยแตกออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“ไม่เลว”
เยี่ยจงพยักหน้าไปมา แล้วก็ได้ก้าวขึ้นมาทางด้านหน้า บนกำปั้นก็ได้ทอเป็นประกายแสงสีทองเข้มขึ้นมา ปะทุพุ่งหมัดออกไปยังหน้าบริเวณทางด้านหน้า แล้วก็ได้เข้าปะทะด้วยกันกับหมัดคุนเผิงของซื่อเฟยเฉินในครั้งแรก
วินาทีนั้น เสียงอันน่าหวาดกลัวก็ได้ดังขึ้นมา ประดุจดั่งสายอสนีบาตทอดลงมาก็มิปาน จนก่อเกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมา
เพียงแค่การปะทะเพียงครั้งเดียว เยี่ยจงเองก็ดูออกว่า ซื่อเฟยผู้นี้กระนั้นถึงกับเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตพลังเทวะขั้นที่สี่แล้ว มีพลังการต่อสู้ที่ไร้ผู้ต้าน แน่นอนว่าย่อมสามารถที่จะเทียบเคียงได้กับระดับบุตรศักดิ์สิทธิ์สตรีศักดิ์สิทธิ์เลยก็ว่าได้
“ตูม——”
หลังจากผ่านพ้นหมัดนี้ไปแล้ว ร่างกายของซื่อเฟยเฉินก็ได้สั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย กระนั้นก็เพียงแค่ลอยออกไปในทันที ในเวลาเดียวกันก็ได้เผยสีหน้าแตกตื่นตกใจขึ้นมา : “ด้วยพลังการต่อสู้ระดับราชันขอบเขตพลังเทวะขั้นที่สอง ถึงกับมีพลังกายเนื้อได้ถึงเพียงนี้เชียวงั้นหรือ? พลังกายาทองไม่สูญสลายแท้จริงแล้วช่างไม่ธรรมดาสมคำเล่าลือเลย”
อาการประหลาดใจก็ได้ปรากฏขึ้นมาบนสีหน้าของซื่อเฟยเฉินเช่นนี้ กายเนื้อคุนเผิงของเขานั้นเรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่มีแต่เพียงคำบอกเล่าแล้วเท่านั้น อีกทั้งยังถูกเรียกได้ว่าอยู่ในระดับไร้ผู้ต้านเลยก็ว่าได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพลังฝีมือของเยี่ยจงกลับไม่เป็นรองเลย ถึงกับสามารถที่จะใช้เพียงสภาวะกายเนื้อเข้าต้านทานหมัดเมื่อครู่ของเขาไปได้ อีกทั้งยังกดดันให้เขาถอยออกไปได้อีก จึงได้ทำให้เขาเกิดอาการตกใจขึ้นมาอย่างไม่เสื่อมคลาย
เยี่ยจงยกมุมปากไปมา มิได้เอ่ยปากขึ้นมา กายเนื้อของซื่อเฟยเฉินผู้นี้สามารถกล่าวได้ว่าถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบพานในชีวิตเลยก็ว่าได้ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในพลังที่แข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวที่สุดเลยก็ซ่าได้ ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายขึ้นมาเป็นสาย ต่อให้เป็นเขา ขณะนี้ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงจนเคร่งเครียดขึ้นมาหลายส่วน ไม่อาจที่จะไม่จริงจังขึ้นมาได้
“ฮูม——”
ทันใดนั้น เสียงร้องประดุจมังกรหงสาก็ได้ดังออกมา แล้วก็เหมือนดั่งภูตผีร้องคล้ำครวญออกมาก็มิปาน วินาทีนั้นก็ได้พบว่าตลอดทั่วทั้งพื้นดินต่างก็เกิดการสั่นไหขึ้นมา ประกายอันคมกล้าบนร่างของซื่อเฟยเฉินหลังจากที่ได้ถอยหลังออกไปก็ได้สงบนิ่งลง อักขระสีทองแต่ละสายก็ได้พุ่งออกมา ปกคลุมอยู่ตลอดทั่วทั้งภายนอกร่างกายของเขา และบนร่างกายของเขาก็ได้เริ่มมีขนสีทองงอกเงยออกมา แม้แต่ส่วนของใบหน้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเช่นเดียวกัน มีส่วนที่คล้ายกับมนุษย์ปักษาขนาดใหญ่ตนหนึ่ง
“มนุษย์ปักษา?” เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา อดไม่ได้เอ่ยปากขึ้นมา
ซื่อเฟยเฉินไม่ตอบคำ เขาเพียงทอสีหน้าเมินเฉยอย่างถึงที่สุด ตลอดทั่วทั้งร่างก็ได้ทอเป็นประกายขึ้นมาภายในพริบตา ตลอดทั่วทั้งร่างกายต่างก็เกิดบรรยากาศอันตรายขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วน ในเวลาเดียวกันเขาเองก็มีกายเนื้ออันแข็งแกร่งอย่างน่าหวาดกลัวขึ้นมา แฝงเอาไว้ด้วยพลังอันมหาศาลปะทุขึ้นมาอยู่ชนิดหนึ่ง
“เคร้ง——”
เขานั้นมีระดับความเร็วที่สูงเป็นอย่างยิ่ง กระนั้นแม้แต่เยี่ยจงเองช่วงระยะเวลาหนึ่งก็ยังไม่อาจที่จะมีวิธีในการหลบเลี่ยงการโจมตีได้ เพียงแต่ไม่อาจที่จะปะทุกำปั้นพุ่งออกไปได้ ใช้แข็งปะทะแข็งเข้าต้านทานการโจมตีเอาไว้
เมื่อกายเนื้อของทั้งสองฝ่ายได้ปะทะเข้าด้วยกัน วินาทีนั้น ประดุจมีเสียงดังจากการตีเหล็กกล้าก็ได้ดังขึ้นมาแผ่กระจายออกไปจากบริเวณท่ามกลางสถานที่แห่งนี้ ภายในดวงตาของเยี่ยจงก็ได้ปรากฏสีหน้าแปลกใจขึ้นมา ทว่าภายในพริบตานั้นเอง กายเนื้อของซื่อเฟยเฉินนี้ถึงกับมีความแข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวได้อย่างน่าตกใจจนถึงขั้นนี้ จึงได้เพิ่มขีดจำกัดของพลังสูงขึ้นมาอีกเท่าตัว
ในขณะนั้นเอง เยี่ยจงไม่อาจที่จะไม่ก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ประกายสีทองก็ได้แผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างกาย ในขณะนั้นเองก็ได้ใช้ออกมาด้วยพลังกายาทองไม่สูญสลาย ลงมือออกมาอย่างแข็งขืน
“ตูม——”
ขณะนี้ เยี่ยจงก็ได้ปะทุหมัดออกไปอีกครั้ง แต่ว่าร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยเส้นขนคุนเผิงของซื่อเฟยเฉินกระนั้นร่างกายก็ยังคงสั่นไหวไปมา แล้วก็ได้ถูกเขากดดันเอาไว้อีกครั้ง จนลอยออกไป บนใบหน้าก็ได้ปรากฏอาการตกใจขึ้นมา
“พลังกายาทองไม่สูญสลาย แท้จริงแล้วช่างเหนือธรรมดาเสียจริง กล่าวกันว่าเจ้านั้นถือเป็นหนึ่งในแดนซานเชียนเซินถี่ ช่างถือเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนแปลกใจได้เสียจริง เจ้าที่แท้มีสภาวะร่างกายในตำนานอะไรกันแน่ กระนั้นถึงกับสามารถที่จะมีความแข็งแกร่งได้จนถึงเพียงนี้! ภายในร่างกายของข้าเองนั้นที่ถือได้ว่ามีกายเนื้อที่แฝงด้วยโลหิตบริสุทธิ์คุนเผิงเอาไว้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่อาจที่จะต้านทานพลังกายาทองไม่สูญสลายของเจ้าได้!” ซื่อเฟยเฉินทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมา ทางหนึ่งก็ได้เอ่ยปากขึ้นมาเสียงเย็นเยียบ เพราะว่าเขามีความมั่นใจต่อพลังกายเนื้อเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังถูกปีศาจมหาราชันจินชือให้ความสำคัญมาแต่เล็กแต่น้อย จนถูกเลี้ยงดูในฐานะศิษย์คนโตก็ว่าได้ กายเนื้อยังถือได้ว่าเป็นที่หนึ่งแห่งชนชั้นรุ่นเยาว์ของหุบเขาหมื่นปีศาจก็ว่าได้ อีกทั้งยังมีสมญานามว่าไร้ผู้ต้าน แต่ว่าคิดไม่ถึงว่า จะยังคงเทียบกับเยี่ยจงไม่ได้
.
.
.
.