Zui Qiang Wu Shen – เทพยุทธ์สะท้านภพ - ตอนที่ 572
ตอนที่ 572 จุดจบของพื้นที่สุสานเซียน
ผู้คนทั้งหมดต่างก็คิดไม่ถึงว่า สถานการณ์จะเปลี่ยนไปได้เร็วถึงเพียงนี้ เยี่ยจงพ้นพึ่งจะใช้พ้นพลังสวรรค์เสร็จสิ้น ชนชั้นมหาราชันสามตนก็กลับมาฆ่าอีก อีกทั้งยังต้องการสังหารเขาให้ตายไปในบริเวณท่ามกลางสถานที่แห่งนี้อีก
“ตูม——”
ทันใดนั้น ถ้วยทุนเทียนที่อยู่ทางด้านหลังก็คืนสภาพ ด้วยการควบคุมใช้ออกมาจากไต๋ซือหวู่โหวเอง ขณะนี้ประกายแสงสังหารที่ครอบคลุมไปทั่วทั้งดินแดนเป่ยฮวงอย่างถ้วยทุนเทียนที่ได้เลือนหายไป ก็ได้ครอบคลุมพลังสภาวะอันน่าหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุชิ้นนี้ถือได้ว่ามีชื่อเสียงที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างมาก อีกทั้งตอนนี้ยังตกมาอยู่ในมือของชนชั้นรุ่นหลังคนหนึ่งอย่างไม่ทราบที่มาที่ไป ก็เพียงพอที่จะดึงดูดจนเป็นที่สังเกตได้มากแล้ว ขณะนี้เมื่อเห็นว่ามันได้ถูกใช้ออกมา ผู้คนทั้งหมดต่างก็แตกตื่นตกใจขึ้นมา
“ที่แท้ จะมีการเปิดศึกระหว่างชนชั้นมหาราชันจริงอย่างงั้นหรือ ? ”
ผู้คนทั้งหมดต่างก็เนื้อตัวเกรงขึ้นมา พ้นพลังสวรรค์ของเยี่ยจงเมื่อครู่ได้สังหารศัตรูแม้ว่าจะน่าหวาดกลัว แต่ว่ากระนั้นก็ยังเป็นเพียงไพ่ตายใบหนึ่งเท่านั้น ขณะนี้เมื่อเขาใช้ไปแล้ว ก็คงจะไม่อาจที่จะใช้ออกมาอีกได้ภายในช่วงเวลาเพียงสั่นๆ แน่นอน
และไต๋ซือหวู่โหวหากว่าใช้ออกมาด้วยถ้วยทุนเทียนเพื่อคุ้มครองเยี่ยจงแล้วละก็ กลับถือได้ว่าทำให้ผู้คนยากที่จะคาดเดาได้ สถานการณ์ในตอนสุดท้ายจะเป็นเช่นไรกัน
“บรึม——”
ทัณฑ์อัสนีสายสุดท้ายก็ได้ผ่าลงมา หลังจากที่ได้ถูกเยี่ยจงควบคุม ชักนำออกมาจากภายในท่ามกลางวิหารเทวะขั้นที่สอง และในเวลาเดียวกันนี้เขาเองก็ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่อาจที่จะไม่มุ่งหน้าถอยออกบริเวณทางด้านหลังได้ เข้ามาจนถึงโดยรอบที่มีถ้วยทุนเทียนปกคลุมเอาไว้อยู่
ในมุมมองของเขา สถานที่แห่งนี้ถือได้ว่าเป็นจุดปลอดภัยในระยะเวลาหนึ่ง อย่างน้อยขณะนี้ไต๋ซือหวู่โหวและจงหลี่และพวกต่างก็ยังเป็นพวกเดียวกับเขาอยู่
สามมหาราชันผู้ยิ่งใหญ่จ้องไปที่เยี่ยจง ทอสีหน้ากลายเป็นเหมือนกับกำลังฝันไป มิได้ขึ้นมาทางด้านหน้าต่อ แต่ว่าก็มิได้สื่อถึงความหมายว่าจะถอยออกไปแม้แต่น้อย
“พี่เยี่ยจง ท่านก็ช่างลงมือได้อำมหิตเสียจริง ก่อนหน้านี้ก็ลวงฆ่าบุตรศักดิ์สิทธิ์สตรีศักดิ์สิทธิ์ ในครั้งนี้กลับยิ่งกว่า แม้แต่ชนชั้นมหาราชันที่แท้จริงก็ยังต้องถูกลวงฆ่าไปถึงสองตน ข้าคิดว่าในครั้งนี้หุบเขาหมื่นปีศาจและตำหนักอัสนีลี้ลับจะต้องกระอักโลหิตออกมาแน่นอนแล้ว” จงหลี่ก็ได้กระซิบเข้ามา ทอสีหน้าประหลาด
แม้แต่ไต๋ซือหวู่โหวต่างก็เลียไปที่ริมฝีปาก ทอสีหน้าประหลาดใจ แล้วกล่าว : “ตาเฒ่ามหาราชันปีศาจทุนเทียนนั้นดำรงชีวิตมาบนโลกนี้แปดร้อยปีแล้ว เฒ่าประหลาดอัสนีลี้ลับแม้ว่าจะเยาว์วัยกว่า แต่ว่าก็ยังมีอายุที่มากถึงห้าร้อยปี บุคคลที่เป็นชนชั้นแนวหน้าเช่นนี้ เจ้ายังถึงกับสามารถที่จะจัดการไปได้ถึงสองคน เจ้าหนู เจ้ายังร้ายกาจเสียยิ่งกว่าตอนที่อาจารย์ปู่อย่างข้ายังหนุ่มเสียอีก”
“พี่ใหญ่เยี่ย ท่านไม่แต่เพียงเป็นแบบอย่างให้กับข้าเท่านั้น ในครั้งนี้ข้าเรียกได้ว่ายอมรับทั้งกายและใจอย่างแท้จริงแล้ว ! ” หลิงเฟ่ยทอประกายดวงตายกย่อง ประดุจดวงดาราที่ระยิบระยับ ด้วยพลังฝีมือการต่อสู้ระดับราชันพลังเทวะขั้นที่สอง ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกชนชั้นมหาราชันผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้าล้อมสังหาร ยังสามารถที่จะพลิกสถานการณ์ได้อีก อีกทั้งยังลวงฆ่าชนชั้นมหาราชันไปถึงสองตน ด้วยระดับการต่อสู้เช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นที่ลี้ลับอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์สตรีศักดิ์สิทธิ์ในดินแดน อย่างน้อยก็ยังไม่อาจที่มีใครที่จะสามารถที่จะกระทำอย่างเขาได้แม้แต่น้อย
นางเซียนชิงหญิงมองไปที่เยี่ยจงอย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง พยักหน้าไปมา มิได้กล่าวอะไรขึ้นมาอีก
“เอาละ ตอนนี้มิใช่เวลาที่จะมายกยอปอปั้นหรอกนะ เจ้าหนูอย่างเจ้าเมื่อครู่ลวงฆ่าชนชั้นมหาราชันจนเป็นที่สะใจยิ่งนัก น่าเสียดายที่สังหารได้ไม่หมด ตอนนี้คิดที่จะจากไปเกรงว่าคงจะยุ่งยากขึ้นมาหน่อยแล้ว ! ” ไต๋ซือหวู่โหวจ้องไปที่บริเวณทางด้านหน้า ทอสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
ขณะนี้ มหาราชันเผ่าปีก มหาราชันปีศาจลิ่วเอ่อ บรรพบุรุษวิหคทองคำชนชั้นมหาราชันสามตนก็ได้มาถึงพร้อมกัน ขณะนี้หากใช้ออกมาด้วยกระดิ่งเซียน เซียนแต่ละสายก็ได้ทอเป็นประกายหมุนวนออกมา เห็นได้ชัดว่าได้เตรียมพร้อมที่จะพุ่งเข้าสังหารเข้ามาแล้ว
แม้ว่ากระดิ่งเซียนจะมิใช่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุที่สมบูรณ์ แต่ว่ากระนั้นมันก็ยังถูกใช้โดยชนชั้นมหาราชันถึงสามตน และทางด้านของเยี่ยจงก็มีแต่เพียงแค่ไต๋ซือหวู่โหวที่เป็นชนชั้นมหาราชันเพียงคนเดียว หากว่าลงมือแล้วละก็ โอกาสที่จะชนะถือได้ว่าน้อยมาก
ท่ามกลางสนามงงงันขึ้นมาเป็นสาย ต่างคนต่างก็มีความคิดที่ไม่เหมือนกัน แต่ว่าต่อให้เป็นชนชั้นมหาราชันสามตนพุ่งจิตสังหารเข้ามา ในเวลานี้ก็ยังมิได้ลงมือออกมา
“เหอะ คิดไม่ถึงด้วยความอดทนของข้าเองก็มีอยู่อย่างจำกัด จนท้ายที่สุดกลับต้องกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า ช่างเถอะ การฉกฉวยในวันนี้ ข้าหุบเขากระบี่แดนตงฮวงจะไม่ขอยุ่งอีกแล้ว ทุกท่าน เชิญ ! ” ชนชั้นมหาราชันของหุบเขากระบี่แดนตงฮวงทันใดนั้นก็ได้หัวเราะฮาฮาออกมา อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุกระบี่ไท่อาเจี่ยที่ปรากฏขึ้นบริเวณเหนือศีรษะของเขาก็ได้ค่อยๆ ที่จะสั่นไหวไปมา กลายเป็นเพียงประกายแสงที่ไหลเข้าสู่ภายในร่างกาย แล้วเขาก็ได้หันกายหมายจากไป มิได้วาจาไร้สาระออกมาอีกแม้เพียงครึ่งคำ
“น่าเสียดาย โลงศพหยกนั้นอย่างน้อยก็คงถูกมังกรอสรพิษที่มีพลังต่อสู้ในระดับมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์สองตัวเอาไปแล้ว ! ” มนุษย์มหาราชันรัฐเหยียนก็ได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาและองค์ราชาแห่งรัฐสือสบตามองกัน แล้วก็ได้ถอยไปในเวลาเดียวกัน
จะมีก็แต่เพียงมหาราชันแห่งแดนมนุษย์ซือคงจาที่ยังคงทอประกายดวงตาเจิดจ้า ทว่ากลับมิได้ถอยออกไปแต่อย่างไร เพียงแต่จ้องไปที่บริเวณท่ามกลางสถานที่แห่งนี้
ไม่นานนัก ในช่วงที่ชนชั้นมหาราชันแต่ละคนต่างก็เอ่ยปากขึ้นมา ก็ได้ถอยออกไปตามลำดับ เพราะว่าเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่า อีกสักครู่ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดการต่อสู้ที่สะเทือนฟ้าขึ้นมาได้ หากว่าหลงเข้าไปในวังวนแล้วละก็ ผลสุดท้ายคงยากที่จะคาดเดา ชนชั้นมหาราชันสี่ตน อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุสองชิ้น หากว่าเกิดศึกใหญ่ขึ้นมาจริงแล้วละก็ แม้แต่ฟ้าเองก็คงจะต้องถูกแยกอย่างแน่นอน
“ทั้งสามท่าน สามารถที่จะเห็นแก่หน้าของอาจารย์ปู่อย่างข้าสักคราหรือไม่ วันข้างหน้าพวกเจ้าจะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้าหนูผู้นี้อย่างไร ข้าก็จะไม่สนใจ แต่ว่าในครั้งนี้อาจารย์ปู่อย่างข้าได้สัญญาเอาไว้แล้ว เจ้าหนูผู้นี้ถึงได้กล้าที่จะเข้ามายังภายในพื้นที่สุสานเซียนแห่งนี้ คงจะไม่ใช่เห็นว่าอาจารย์ปู่อย่างข้าเป็นคนตระบัดสัตย์หรอกนะ ? ” ไต๋ซือหวู่โหวเงยหน้าก็ได้หัวเราะฮาฮาออกมา หลังจากนั้นจ้องไปที่ชนชั้นมหาราชันสามตนทางด้านหน้า กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“หวู่โหว เจ้าจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ได้อย่างงั้นหรือ ? เจ้าขณะนี้หากนำพาชนชั้นรุ่นหลังอีกหลายคนออกไปแล้วละก็ พวกเขาจะทำเป็นเหมือนไม่เห็นอะไรก็แล้วกัน มิเช่นนั้นแล้วละก็ ต่อให้เป็นเจ้าไต๋ซือหวู่โหวที่พึ่งพ้นจากระดับราชันในรอบหกสิบปี เก้าปีศาจมหาราชันผู้ยิ่งใหญ่แห่งหุบเขาหมื่นปีศาจข้ารวมตัวกันขึ้นมา ก็เพียงพอที่จะฆ่าเจ้าจนไม่อาจที่จะหลบขึ้นฟ้าหนีลงดินได้แล้ว ! ” มหาราชันปีศาจลิ่วเอ่อเอ่ยปากขึ้นมาอย่างเย็นชา อีกทั้งยังมีน้ำเสียงที่แข็งกร้าว
“น่าเสียดาย ปีศาจมหาราชันที่หลงเหลือก็มีเพียงแค่แปดตนแล้ว เจ้านกน้อยทุนเทียนนั้น ได้มลายหายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” เยี่ยจงยกมุมปากไปมา ต่อให้เป็นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาเองก็ไม่กลัว “พวกเจ้าตาเฒ่าไร้ยางอายทั้งสาม ในเมื่อคิดที่จะลงมือ ยังคิดว่าข้าหวาดกลัวพวกเจ้าอย่างงั้นหรือ ? อย่างมากก็แลกกันสักตั้งจะเป็นไรไป ทว่า วันนี้คุณชายอย่างข้าจะทำหน้าที่ฆ่าพวกเจ้าด้วยมือตัวเองให้เองก็แล้วกัน ! ”
หลังจากที่สิ้นเสียง เยี่ยจงก็ได้ไหลเวียนพลังจากคัมภีร์สายทางแห่งดวงตะวันขึ้นอย่างรวดเร็ว วินาทีนั้นก็ได้พบเห็นพลังปราณฟ้าดินรวมตัวกันขึ้นมาจากทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านเข้าสู่ภายในร่างกายของเขา จนทำให้เขามีพลังฝีมือที่เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ
ชนชั้นมหาราชันสามตนทอสีหน้าเปลี่ยนไปในเวลาเดียวกัน ขณะนี้เยี่ยจงเห็นได้ชัดว่าพยายามที่จะเพิ่มพูนพลังฝีมือขึ้นมาจนถึงขีดสุด เพื่อที่จะทำการทะลวงพลังอีก ด้วยสภาวะที่ดูเหมือนกับว่าเขาเป็นดั่งมารร้ายแล้วละก็ หากว่าทะลวงขึ้นไปอีก แน่นอนว่าจะต้องชักนำพ้นพลังสวรรค์ขึ้นมาอีกได้แน่นอน
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมานี้ต่างก็ได้ทำให้ชนชั้นมหาราชันสามตนต่างก็ทอสีหน้าดำคล้ำขึ้นมา เพราะว่าพวกเขาเข้าใจได้เป็นอย่างดี นอกเสียจากจะมีการเตรียมความพร้อมแล้ว ไม่เช่นนั้นหากทำให้เยี่ยจงข้ามพ้นพลังสวรรค์ขึ้นมาอีกแล้วละก็ หากว่าเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สูงไปอีก ก็มีความเป็นไปได้ที่จะจัดการพวกเขาที่เป็นชนชั้นมหาราชันสามตนที่เหลืออยู่ไปได้
รอบด้านก็ได้มีเสียงที่แตกตื่นตกใจขึ้นมาเป็นสาย ภายในดวงตาของผู้คนทั้งหมดต่างก็ทอแววแปลกๆ ขึ้นมา ชนชั้นราชันพลังเทวะขั้นที่สองเพียงคนเดียว นึกไม่ถึงว่าจะหาญกล้าพอที่จะข่มขู่สามมหาราชันผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ ถือได้ว่าช่างทำให้ผู้คนยากที่จะคาดเดาได้จริงๆ
แต่ว่าก่อนหน้านี้เขาพึ่งจะพึ่งพาพ้นพลังสวรรค์จนลวงฆ่าชนชั้นมหาราชันไปแล้วถึงสองตน หากว่ากล่าวถึงชนชั้นมหาราชันตนอื่นๆ ไม่หวาดกลัวต่อเขา ก็คงจะต้องเป็นคำโป้ปดอย่างแน่นอน
“ทุกท่าน เกรงว่าคงจะไม่มีเวลาเพื่อที่จะให้พวกเจ้าต่อสู้กันต่อไปได้อีกแล้ว ชนชั้นมหาราชันมากมายเองก็ได้ถอยไปแล้ว ทางด้านนอกพวกข้าจะร่วมมือกันสร้างช่องว่างแห่งการปิดกั้น อาจจะอยู่ได้ไม่ถึงอีกครึ่งวัน หากว่ายังไม่ถอยไปอีกแล้วละก็ เกรงว่าทะเลเพลิงจากดินแดนเสี่ยวหนานคงจะต้องทะลักเข้ามายังสถานที่แห่งนี้แล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึง พวกข้าบางทีอาจจะไม่เป็นไร แต่ว่าชนชั้นรุ่นหลังอีกมากมาย เกรงว่าจะออกไปไม่ได้แล้ว” มหาราชันแห่งแดนมนุษย์ซือคงจาทันใดนั้นเอ่ยปากขึ้นมา ขวางเอาไว้อยู่บริเวณกึ่งกลางของทั้งสองฝ่าย
“ได้ มหาราชันเช่นข้าในครั้งนี้จะเห็นแก่หน้าของมหาราชันซือคงอย่างเจ้าครั้งหนึ่ง ทว่าเรื่องในครั้งนี้หุบเขาหมื่นปีศาจข้าจะไม่ปล่อยเอาไว้แน่ ! ” มหาราชันปีศาจลิ่วเอ่องงงันขึ้นมาสักพัก ทันใดนั้นหัวเราะเสียงเย็นชา โบกมือคราหนึ่ง ชักนำยอดฝีมือหุบเขาหมื่นปีศาจกลุ่มหนึ่งถอยออกไป
หลังจากนั้นเองมหาราชันเผ่าปีกและบรรพบุรุษวิหคทองคำก็จ้องไปที่เยี่ยจง แล้วก็ได้ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้เยี่ยจงอาจจะสามารถที่จะบ้าคลั่งขึ้นมาได้ทุกเวลา ชักนำพ้นพลังสวรรค์ออกมา อีกทั้งยังมีไต๋ซือหวู่โหวกับมหาราชันแห่งแดนมนุษย์ซือคงจาคุมเชิงอยู่ มหาราชันเผ่าปีกและบรรพบุรุษวิหคทองคำย่อมทราบว่าไม่อาจที่จะต้านทานเยี่ยจงเอาไว้ได้อีก จึงไม่อาจที่จะไม่ถอยไปได้
มหาราชันแห่งแดนมนุษย์ซือคงจาก็ได้พยักหน้าไปมาให้แก่เยี่ยจง จากนั้นเขาก็เคลื่อนไหวร่างกายคราหนึ่ง แล้วก็ได้สลายหายไปจากบริเวณท่ามกลางสถานที่แห่งนี้
“ตาเฒ่าชรากลุ่มนี้ ในที่สุดก็ถอยไปกันแล้ว เจ้าหนู อย่าได้วุ่นวายแล้ว หากเจ้าชักนำพ้นพลังสวรรค์มาอีกแล้วละก็ ไม่แน่ว่าแม้แต่เจ้าเองก็ยังควบคุมเอาไว้ไม่ได้” ไต๋ซือหวู่โหวถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง เก็บถ้วยทุนเทียนเอาไว้ หลังจากที่ยื่นให้แก่จงหลี่ ก็ค่อยได้โบกมือไปมาแล้วกล่าว
“ก่อนที่จะออกไปจากสถานที่แห่งนี้ มาดูกันว่าด้านในของโลงศพหยกนั้นที่แท้มีอะไร พวกเราทั้งห้าคนก็นำมาแบ่งกัน ก็แยกย้ายต่างคนต่างไปกันได้แล้ว ! ” จงหลี่ยกมุมปากไปมา นำเอาถ้วยทุนเทียนเก็บเอาไว้
ต่อมา ภายใต้การชี้แนะของไต๋ซือหวู่โหว คนทั้งคณะก็ได้ออกไปจากเขตแดนสายนี้อย่างรวดเร็ว ถอยออกไปจากพื้นที่สุสานเซียน หลังจากนั้นระหว่างที่ได้ถอยออกมาจากดินแดนเสี่ยวหนาน ทันใดนั้นก็ได้ถอยจนเข้ามาถึงท่ามกลางเทือกเขาลึกลับแห่งหนึ่ง
“ในที่สุดก็ออกมาแล้ว ! ” ทางด้านเยี่ยจงและชนชั้นราชันก็ได้ออกมาจากดินแดนเสี่ยวหนาน ทอสีหน้าโล่งใจขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่ดินแดนเสี่ยวหนานแห่งหนึ่ง จะถึงกับเก็บซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ถึงเพียงนี้ อีกทั้ง ก็ยังมีความลับอีกมากมายที่อย่างน้อยก็ยังไม่ได้ถูกปลดปล่อยออกมา ยกตัวอย่างเช่นครรภ์เทวะที่เขาพบเห็นก่อนหน้านี้ ยังมีร่องรอยของจักรพรรดิฟ้าชิงอีก
“ไม่ต้องคิดอะไรมากมายแล้ว หลังจากที่แบ่งสิ่งของกันแล้ว พวกเราก็สามารถที่จะต่างคนต่างไปกันได้แล้ว ! ” จงหลี่ยกมุมปากไปมา ในครั้งนี้ในที่สุดก็ได้นำเอาโลงศพหยกนั้นออกมา
รวมทั้งไต๋ซือหวู่โหวก็ด้วย ห้าคนหนึ่งคณะต่างก็ได้กระซิบกระซาบอยู่ด้วยกัน ครั้งนี้ในที่สุดก็ก็ได้ปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับโลงศพหยกที่มีขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นนี้
โลงศพหยกก็ได้ผลัดกันไปอยู่ในมือของคนทั้งอยู่รอบหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานนักก็ได้ตกมาอยู่ในมือของจงหลี่ ทุกคนสบตากันคราหนึ่ง ต่างก็ทอสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด
ไต๋ซือหวู่โหวยื่นนิ้วมือออกมาข้างหนึ่ง จากนั้นก็ได้จิ้มไปที่ด้านบนของโลงศพหยก แล้วกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา : “วัสดุที่ของโลงศพนี้หยกถือได้ว่างดงามถึงเพียงนี้ ราวกับเป็นเหมือนกันวัสดุหินในตำนานก็มิปาน แต่ว่าเหตุใดกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นกัน หากมิใช่ตกมาอยู่ในมือ ก็ไม่อาจที่จะทราบได้ว่าแท้จริงแล้วมีการคงอยู่ของอะไร”
“อีกทั้ง ของสิ่งนี้ไม่คล้ายกับเป็นวัสดุของโลงศพเลย ? วัสดุของโลงศพนั้นก็เป็นเช่นเดียวกันอย่างงั้นหรือ ? ” จงหลี่กลอกตาไปมา เพราะว่าวัตถุชิ้นนี้เหมือนกับเป็นชิ้นเดียวกันก็มิปาน แม้ว่าด้านบนจะเต็มไปด้วยร่องรอยอยู่ก็ตาม แต่ว่ากลับไม่มีช่องว่างเลยแม้แต่น้อย ไม่เหมือนกับว่ามีฝ่าครอบโลงศพเลย
“ของสิ่งนี้ ราวกับว่าข้ารู้จัก นี้มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเป็นสมบัติแห่งแดนซีฮวงโลงศพเก้าฟ้าจริง ในหมู่ตึกสวรรค์นอกของพวกเราได้มีบันทึกโบราณอยู่ส่วนหนึ่ง หนึ่งในนั้นก็ได้มีอยู่ส่วนหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับโลงศพเก้าฟ้า ข้าเคยดูมาก่อนส่วนหนึ่ง” หลิงเฟ่ยทอสีหน้าเคร่งเครียดเอ่ยปากขึ้นมา เอ่ยถึงความข้อนี้ขึ้นมา อีกทั้งสีหน้าของเขายังตื่นเต้นขึ้นมาอย่างยิ่ง หากเป็นไปตามคำบอกเล่าของเขา บันทึกโบราณเหล่านั้นของหมู่ตึกสวรรค์นอกคงจะต่างก็มีการถูกจดบันทึกเอาไว้จากทางหมู่ตึกเอง ถือเป็นสิ่งที่ทางหมู่ตึกสวรรค์นอกเองก็มิได้ตั้งใจที่จะมี สิ่งที่ถูกบันทึกโดยส่วนมากแล้วต่างก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องจริงโดยทั้งสิ้น ดังนั้น โลงศพหยกเล็กๆ นี้ เก้าในเก้าจะต้องซ่อนเร้นสมบัติแห่งแดนซีฮวงโลงศพเก้าฟ้าแห่งเซียนในตำนานอย่างแน่นอน
“โลงศพเก้าฟ้าในตำนาน เรียกได้ว่าเป็นความวกวนแปรผันทั้งเก้า ผลัดเปลี่ยนเข้าสู่เก้าดินแดน เพื่อเปิดเส้นทางแห่งเซียน ลี้ลับสุดยั้งคาด……” ไต๋ซือหวู่โหวก็ได้มองดูไปที่อักษรแต่ละอย่างที่อยู่บนด้านข้างของโลงศพเก้าฟ้า ทอสีหน้าประหลาดขึ้นมาอย่างมาก “แต่ว่า ข้ามีอยู่คำถามเดียว หากว่ามีเซียนอยู่จริงแล้วละก็ ที่แท้ เขาจะมีความใหญ่เพียงแค่นี้อย่างงั้นหรือ ? ”
คนทั้งคณะต่างก็ไร้คำจะกล่าว ในช่วงเวลาหนึ่งไม่ทราบว่าจะกล่าวอันใดออกมาดี
.
.
.
.