Way of the Devil – มรรคาพญามาร - ตอนที่ 35-2
ตอนที่ 35B ลาจาก (1)-B
“ในเมื่อมาตรการสกัดกั้นผู้คนได้ถูกยกเลิกไป ก็ย่อมหมายความว่าทุกสิ่งสิ้นสุดลงแล้ว” ลู่เซิ่งพลันเปิดปากเอ่ยขึ้น “แม้จะกะทันหันฉุกละหุกจนตั้งตัวไม่ติด แต่การสิ้นสุดลงนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าพวกเราล้วนเก็บกู้ชีวิตรอดพ้นกันมาได้ จากนี้ไป เพียงกระตุ้นเตือนให้พวกยามผู้คุ้มกันรักษาความตื่นตัวระมัดระวังเอาไว้ให้มากหน่อย เพิ่มกะลาดตระเวนให้บ่อยครั้ง เท่านี้ก็สมควรจะใช้ได้”
“เซิ่งเกอกล่าวได้ถูกต้องแล้ว รีบกินกันดีกว่า หากอาหารเย็นชืดแล้วจะเสียรสชาติไปหมด…” ลู่อิ๋งอิ๋งที่นั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง หลุดปากพูดออกมาเสียงค่อย
“จะมาเซิ่งเกอนั่นเซิ่งเกอนี่อันใดกันอีก เจ้าต้องเรียกเขาว่าต้าเกอต่างหากเล่า! กิน กิน กิน วันๆ เจ้าก็รู้จักแต่กินเท่านั้น!” อู่เหนียงเงื้อมือคิดจะตบตีนาง ทว่านึกขึ้นมาได้ว่าตนเองอยู่หน้าโต๊ะอาหาร จึงจำต้องยับยั้งตนเองลง
ลู่อิ๋งอิ๋งก้มหน้าลงไปจนชิดอก ไม่กล้าเผยอปากส่งเสียงออกมาอีกแม้แต่แอะเดียว
เช่นนี้เอง ทุกคนในครอบครัวจึงได้เริ่มก้มหน้าก้มตารับประทานกันไปอย่างเงียบเชียบ
หลังอาหารมื้อนั้น ยังคงไม่มีใครกล่าวคำใดต่อกัน ลู่เซิ่งเองก็ปลีกตัวกลับมาที่ห้องเพื่อฝึกฝนพลังภายในต่อไป
บุรุษหนุ่มนั่งนิ่งอยู่บนเตียง สงบจิตกำหนดลมหายใจอยู่กว่าหนึ่งชั่วยาม จนสภาวะร่างกายทั้งปราณและเลือดบรรลุขึ้นไปถึงจุดสูงสุด
‘เชินหลาน!’ เขาพลันร้องเรียกขึ้นในใจ
หน้าจอโปรแกรมปรับแต่งเด้งตัวขึ้นมาตรงหน้าเขาทันที
ลู่เซิ่งพิจารณาข้อความแถบบนอย่างละเอียด เห็นเคล็ดอสูรทมิฬที่อยู่บนแถวหนึ่งขึ้นรายละเอียดระบุไว้ว่า ‘ขั้นที่สอง’ เขาเพียงต้องยกระดับศาสตร์วิชานี้ขึ้นอีกครั้งหนึ่งก็จะบรรลุถึงระดับสูงสุดที่มีบันทึกไว้ นั่นก็คือระดับขั้นที่สาม
ตามที่ได้ศึกษามาจากตำรายุทธ์ฉบับไม่สมบูรณ์นั้น นี่ถือเป็นระดับขั้นสูงสุดที่เขาสามารถบรรลุถึงได้แล้ว ถึงแม้ว่าจะยังมีบันทึกเกี่ยวกับอีกสองระดับขั้นหลังจากนั้น จนนับรวมได้เป็นห้าขั้น ทว่าจากที่ลู่เซิ่งได้ตรวจสอบเนื้อความในสองระดับที่เหลือนั้นแล้ว ก็เกิดความรู้สึกว่าเนื้อความที่บันทึกไว้ไม่อาจปะติดปะเชื่อมโยงต่อกับเคล็ดวิชาส่วนแรกได้โดยสมบูรณ์ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคงถูกต่อเติมเข้ามาภายหลังด้วยฝีมือคนนอก เคล็ดวิชาส่วนนี้จึงไม่ใช่ฉบับต้นแบบดั้งเดิม เขาย่อมไม่กล้าทะเล่อทะล่าไปฝึกฝน
ชั่วขณะนี้ บุรุษหนุ่มพลันจ้องเขม็งไปยังแถบแสดงสถานะของเคล็ดอสูรทมิฬที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโปรแกรมเชินหลาน สงบจิตควบคุมลมหายใจ ตั้งสมาธิกดลงไปบนปุ่มปรับแต่งที่แสดงอยู่บนหน้าจอ
ทันใดนั้น ทั้งหน้าจอก็พลันกระพริบวาบขึ้นครั้งหนึ่ง
‘เลื่อนระดับเคล็ดอสูรทมิฬขึ้นหนึ่งขั้น!’ ลู่เซิ่งตั้งจิตมั่นแล้วสั่งการขึ้นในใจ
วูบบ
เมื่อสุ้มเสียงดังแผ่วจางหายไป เขาก็พลันมองเห็นแถบสถานะของเคล็ดอสูรทมิฬพร่าเลือนไปชั่วขณะ เมื่อตัวอักษรกลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง ก็กลายเป็นระบุไว้ว่า ‘ขั้นที่สาม’ เรียบร้อยแล้ว
‘เช่นนั้น นี่ก็คือขั้นที่สาม?’ ลู่เซิ่งรอคอยอยู่ครู่หนึ่ง ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายแต่อย่างใด
ชายหนุ่มเริ่มทำการตรวจสอบปราณอสูรทมิฬในร่างกายอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงค้นพบว่ามันค่อยๆ ขยายขนาดเป็นหนาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
หากจะกล่าวว่าก่อนการยกระดับเป็นกลุ่มหมอกสีดำที่ประกอบอยู่ ยามนี้กลุ่มหมอกสีดำเหล่านั้นก็นับว่าได้กลายเป็นกลุ่มสสารสีดำคล้ำเข้มปานจะหยาดหยดออกมาได้แล้ว
‘นี่ดูเหมือนจะไม่ได้สูบกลืนพลังงานของข้าไปเท่าใดนัก’ ลู่เซิ่งเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างฉงนสงสัยอยู่บ้าง ‘หรือเป็นเพราะว่าตอนนี้….’
“พรู่ดด!”
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็กระอักโลหิตสดๆ ออกมาคำโต ย้อมอกเสื้อจนแดงฉานไปหมด กลิ่นคาวโลหิตเข้มข้นลอยคละคลุ้งไปทั่วห้อง
ลู่เซิ่งรู้สึกว่าทั้งร่างร้อนลวกราวกับตกอยู่ในกองเพลิง เขาพลันฝืนยิ้มแห้งแล้งออกมา
‘ข้ายังหลงคิดว่าครานี้ไม่มีปฏิกิริยารุนแรงใดๆ เกิดขึ้น ไหนเลยจะคาดว่า…..’
เขาส่ายศีรษะเบาๆ อย่างปลดปลง แล้วจึงเริ่มตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในร่างกายตนเองอย่างละเอียดถี่ถ้วน
การยกระดับเคล็ดอสูรทมิฬขึ้นไปถึงขั้นที่สามในครั้งนี้ ทำเอาลู่เซิ่งต้องเก็บตัวอยู่กับบ้านตลอดทั้งเดือน จึงค่อยลุกขึ้นมาเดินเหินได้สะดวกดังเดิม ตลอดช่วงเวลาอันยาวนานนี้ วิชากระเรียนหยกมีบทบาทในการฟื้นฟูร่างกายอย่างใหญ่หลวง มันช่วยเยียวยารักษาอาการบาดเจ็บภายในให้แก่ลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ในเมืองจิ่วเหลียนก็ไม่ได้มีเหตุประหลาดผิดธรรมชาติใดๆ อุบัติขึ้นอีก หลังจากที่เหยียนไคและคนอื่นๆ จากไปแล้ว เมืองจิ่วเหลียนก็กลับสู่สภาพสามัญอันดาษดื่นเช่นที่เคยเป็นมา ประดุจว่าทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเป็นเพียงห้วงฝันอันห่างไกลกระนั้น
ทุกสิ่งล้วนเป็นเช่นนั้น เว้นก็เสียแต่ลู่ชิงชิงที่กลายเป็นคนสติไม่สมประกอบไปแล้ว
ในช่วงเวลานี้เอง ลู่เฉวียนอันก็เข้ามาหาลู่เซิ่ง แสดงความประสงค์ว่าจะส่งเขาไปที่เมืองเยี่ยนซาน(沿山 – ริมขอบผา)อีกครั้ง
“ข้าได้เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ที่ในเมืองเยี่ยนซานนั่นมีบ้านที่ซื้อไว้ในนามของตระกูลลู่อยู่หลังหนึ่ง เจ้าสามารถล่วงหน้าไปพำนักอยู่ที่นั่นก่อนได้ ประจวบเหมาะกับช่วงนี้เป็นช่วงที่การทดสอบประจำปีกำลังจะเริ่มขึ้นพอดี เสี่ยวเซิ่ง(เซิ่งน้อย)เจ้าชอบฝึกฝนเชิงยุทธ์ เช่นนั้นก็ลองพยายามทดสอบให้ได้รับเอาอู่กงหมิง(มีชื่อในใบประกาศเกียรติภูมิในเชิงยุทธ์)มาเถิด ภายหลังหากต้องการเข้ารับราชการในวันข้างหน้าก็จะสะดวกขึ้นอีกมากแล้ว”
“อู่กงหมิง….”
“แน่นอนว่าหากเป็นเหวินกง(ใบประกาศเกียรติภูมิในเชิงอักษร)ได้ก็จะยิ่งดี เจ้าไปถึงแล้ว หากไม่ต้องการทำอันใดทั้งสิ้นก็ไม่เป็นไร ก็จัดการฝึกฝนไปด้วยตัวเองดังที่เคยทำมา ตระกูลลู่เรายังมีกิจการร้านค้าอยู่ที่นั่น เจ้าสามารถควบคุมดูแลได้เต็มที่ รายรับที่ได้มาทั้งหมด ให้ตกเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว” ลู่เฉวียนอันกล่าวแจกแจงทุกสิ่งอย่างชัดเจน
“เมืองจิ่วเหลียนจะอย่างไรก็ยังคงคับแคบเกินไป ข้าใส่รายชื่อเจ้าเข้าไปยังสำนักตงซาน(东山 – บูรพบรรพต(ภูเขาทิศตะวันออก))ให้แล้ว เจ้าไปถึงแล้ว ไม่ว่าจะคิดหันเหไปร่ำเรียนในเชิงอักษรหรือเชิงยุทธ์ เจ้าก็ตัดสินใจเอาเองเถอะ” ลู่เฉวียนอันกล่าวไปก็อดทอดถอนใจออกมาไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองจิ่วเหลียนนับว่าได้ทำให้ตนตาสว่างแล้ว ไม่ว่าจะร่ำรวยสักเพียงใด เมื่อถึงช่วงเวลาคับขัน ที่ตนจะพึ่งพาอาศัยได้ก็มีเพียงครอบครัวของตัวเองเท่านั้น
“สำนักตงซาน…” ลู่เซิ่งพอจะคาดเดาความตั้งใจของบิดาผู้เฒ่าของตนได้ กล่าวไปแล้ว พฤติการณ์เช่นนี้ก็เหมือนดั่งการส่งบุตรหลานไปเรียนต่อที่เมืองนอก มีเพียงครอบครัวที่มั่งคั่งร่ำรวยอย่างยิ่งเท่านั้นจึงจะกระทำได้
“เจิ้งเสียนกุ้ยกับน้องสาวเองก็จะเดินทางไปด้วย ส่วนของบ้านเราก็จะมีเจ้า อิ๋งอิ๋ง อีอี แล้วก็เฉินซินที่จะเข้าไปที่สำนักศึกษาด้วยกัน” ลู่เฉวียนอันกล่าวสืบต่อ
ลู่เซิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ผงกศีรษะเห็นชอบด้วย
เมืองจิ่วเหลียนนับว่าคับแคบเกินไปสำหรับเขาจริงๆ จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่อาจค้นหาศาสตร์ยุทธ์ที่อยู่ในระดับเทียบเท่าวิชาดาบพยัคฆ์ทมิฬที่เป็นเพียงศาสตร์วิชาระดับขั้นสามได้ด้วยซ้ำ หากเป็นเมืองเยี่ยนซานก็สมควรจะแตกต่างออกไปแล้ว ที่นั่นมียอดยุทธ์ที่แข็งแกร่งไปพำนักอยู่มากมาย อีกทั้งหากคำกล่าวที่ว่ามีหน่วยงานใต้ดินชื่อจิง(赤鲸 – วาฬแดงชาด)เป็นกลุ่มทรงอิทธิพลที่แข็งแกร่งที่สุดในละแวกนี้นั้นเป็นความจริงแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมืองเยี่ยนซานย่อมต้องมีฐานกองกำลังของพวกมันตั้งอยู่อย่างแน่นอน
“เช่นนั้น ข้าต้องออกเดินทางเมื่อใดหรือ” ชายหนุ่มพลันเอ่ยถามขึ้น
ลู่เฉวียนอันขบคิดแจกแจงในใจก่อนจะกล่าวตอบ “เจ้าอยากออกเดินทางเมื่อใด ก็จงตัดสินใจเอาเองเถิด ข้าจะขอให้ท่านลุงใหญ่ส่งคนมาคุ้มกันเจ้าไปเอง”
“….ข้าอยากไปเที่ยวชมรอบเมืองดูสักรอบก่อน” ลู่เซิ่งทอดถอนใจแผ่วเบา
ในเมืองแห่งนี้ เขาได้ร่ำเรียนศาสตร์วิชามาจากยอดฝีมือหลายท่าน ยามนี้เมื่อถึงเวลาต้องจากลาไปไกล ก็เหมาะสมแล้วที่เขาจะต้องไปเยี่ยมเยือนคนเหล่านั้นและกล่าวคารวะพร้อมถ้อยคำอำลา
ลู่เฉวียนอันผงกศีรษะเป็นเชิงยอมรับ ปล่อยให้ลู่เซิ่งเป็นคนจัดการส่วนที่เหลือด้วยตนเอง
ลู่เซิ่งลากประคองร่างกายที่ยังไม่หายดีจากการยกระดับพลังปราณเมื่อครั้งก่อน ก้าวเดินออกประตูไปในช่วงเช้าวันถัดมา ขึ้นนั่งบนรถม้า เคลื่อนที่ไปรอบเมืองจิ่วเหลียน