Way of the Devil – มรรคาพญามาร - ตอนที่ 35-1
ตอนที่ 35A ลาจาก (1)-A
“เช่นนี้แล้ว ผู้คนทั้งหลายที่รีบร้อนเดินทางไป รวมถึงพวกท่านนักพรตทั้งสามคน ก็ล้วนแล้วแต่เร่งไปที่นั่นเพราะเพื่อสมบัติที่ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนั้นหรือ” ลู่เซิ่งจับประเด็นสำคัญจากคำอธิบายของเหยียนไคได้ทันที
“กล่าวไปแล้วก็เป็นเช่นนั้น” เหยียนไคผงกศีรษะยอมรับ “จะอย่างไร ในโลกนี้ก็ล้วนมีผีร้ายมารชั่วออกมาเพ่นพ่านกันเต็มไปหมด ฉูหลิงเหรินอย่างพวกเราออกเดินทางมาก็เพื่อธำรงไว้ซึ่งความสงบสุข”
ลู่เซิ่งยกยิ้มบางเบา ทว่าในใจกลับไม่กระจ่างแจ้งนักว่าวาจาประดานี้ควรจะเชื่อถือได้สักกี่ส่วน
หลังจากใคร่ครวญอยู่อึดใจหนึ่ง เขาก็เอ่ยถามสืบต่อ “เช่นนี้ก็กล่าวได้ว่า เหตุการณ์ทั้งหลายนับว่าจบสิ้นลงแล้ว? แล้วเมืองจิ่วเหลียนเล่า จากนี้ไปก็จะนับว่าปลอดภัยแน่นอนแล้วใช่หรือไม่ จะไม่มีผีร้ายเยากุ่ยปรากฏตัวขึ้นอีก? ไม่มีเหตุอุบัติอันแปลกประหลาดเกินคาดเดา ไม่มีผู้คนตกตายโดยไร้สาเหตุอีกแล้วใช่หรือไม่”
เหยียนไคไม่มั่นใจนักว่าลู่เซิ่งเอ่ยปากถามคำถามเหล่านี้ออกมาด้วยเหตุผลใด ทว่าก็ยังคงขบคิดก่อนจะให้คำตอบอย่างจริงจัง “ก็สมควรจะเป็นเช่นนี้แล้ว ในเมื่อสมบัติถูกนำออกไปจากเมืองจิ่วเหลียนจนไกลโพ้นเหลือเกินแล้ว ผิงเต้าผู้นี้เองก็ใคร่จะติดตามไปชมดูว่าจะทำประการใดได้บ้าง ส่วนเรื่องที่มีการตกตาย…. หากไม่มีขุมกำลังภายนอกสอดมือเข้ามาแทรกแซง ก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าเมืองจิ่วเหลียนสมควรจะกลับสู่สภาพเดิมดั่งที่เคยเป็นมา”
ต้วนหรงหรงที่อยู่ด้านข้างอดสอดปากขึ้นมาไม่ได้ “ของสิ่งนั้นยามนี้กำลังอยู่ระหว่างทางไปยังจงหยวน(ที่ราบภาคกลาง) ทุกผู้คนล้วนไล่ตามไปอย่างกระตือรือร้น ยังจะมีใครอยากรั้งอยู่ในเมืองเล็กๆ นี่อีกเล่า”
เหยียนไครีบฉุดตัวต้วนหรงหรงเอาไว้ เป็นสัญญาณให้นางหุบปากฉับลงไป จากนั้นก็พลันประสานมือส่งให้ลู่เซิ่ง
“เซิ่งกงจื่อ กล่าวไปแล้ว ครานี้พวกเราก็ไม่ได้ลงมือลงแรงให้ความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมเท่าใดนัก เช่นนี้พวกเราก็จะไม่รับเงินของท่านแล้ว หากมีวาสนา สักวันคงได้พานพบกันอีก”
“นั่นจะได้อย่างไร ท่านนักพรตคิดจะให้เปิ่นกงจื่อ(ตัวข้าผู้เป็นคุณชาย)กลับคำพูดของตนเองหรือ?” สีหน้าของลู่เซิ่งพลันแข็งกระด้างขึ้นมา เอ่ยสวนกลับอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
บุรุษหนุ่มพลันสะบัดมือคราหนึ่ง สั่งการอย่างแน่วแน่ “เด็กๆ เอาตั๋วเงินมา!”
หลังสิ้นเสียง ก็มีสาวใช้ที่ยืนรออยู่ด้านนอกรีบสาวเท้าก้าวเข้ามาทันที ในมือยกหีบไม้ใบเล็กสลักลวดลายวิจิตรงดงามไว้ใบหนึ่ง
ลู่เซิ่งรับเอาหีบใบนั้นมาอย่างคล่องแคล่ว วางลงบนโต๊ะที่ตั้งไว้ตรงหน้า แล้วเปิดฝาหีบออก ด้านในมีตั๋วเงินเป็นปึกหนาบรรจุซ้อนกันไว้
“นี่คือค่าตอบแทนที่เตรียมไว้ให้ทั้งสามท่าน แม้ว่าจะไม่มีเหตุร้ายใดเกิดขึ้นระหว่างนี้ แต่การมาถึงท่านนักพรตและคุณหนูจวนเฟิงก็ได้ช่วยให้ตระกูลลู่ของข้าพาตัวบุคคลสูญหายกลับมาได้คนหนึ่ง เพียงข้อนี้ก็เพียงพอให้รับเงินจำนวนนี้ไปได้แล้ว””ลู่เซิ่งกล่าวอย่างเปิดเผยจริงใจ
“เช่นนั้นก็ไม่เกรงใจแล้ว!” ก่อนเหยียนไคจะทันได้ปฏิเสธ ต้วนหรงหรงก็รีบยื่นมือออกมาคว้าเอาตั๋วเงินปึกใหญ่ แล้วยัดเก็บเข้าไปในกระเป๋าของนางอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวอีกสักครู่ พวกเราจะแบ่งส่วนของคุณหนูจวนเฟิงให้ที่ข้างนอกนั่นเอง!”
สีหน้าท่าทางอับจนคำพูดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจวนเฟิง เห็นได้ชัดว่าคนทั้งสามนี้เพาะสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีแล้ว
เห็นว่าสถานการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้ เหยียนไคก็ได้แต่ป้องมือคารวะพร้อมรอยยิ้มฝืดเฝื่อนอับจนปัญญาประดับอยู่บนใบหน้า
“หากเซิ่งกงจื่อ ตั้งใจจะเสาะหาวิธีการรับมือกับภูตผีปีศาจเหล่านั้นจริงๆ ท่านก็สามารถมุ่งหน้าไปยังจงหยวนได้” กล่าววาจานี้จบ เขาก็หยุดชะงักไป
หลังจากลังเลรีรออยู่ครู่หนึ่ง เหยียนไคจึงได้กล่าวสืบต่อ
“แต่โปรดอภัยที่ผิงเต้าผู้นี้ต้องกล่าวย้ำเตือนไว้สักประโยค ก่อนหน้านี้ เซิ่งกงจื่อเพิ่งจะฆ่าผีร้ายเยากุ่ยไปตนหนึ่ง กลิ่นอายของมันยังติดแน่นอยู่บนกายท่าน นี่อาจจะนำพาภัยพิบัติอันใหญ่หลวงมาได้ หากว่าทางจวนจ๋วนเหริน(ปัดกวาดปุถุชน)มาพบเห็นกงจื่อเข้า เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจจะส่งกลุ่มผีร้ายเยากุ่ยออกมาตามล่าท่าน กงจื่อสามารถใช้วิธีนี้ ให้ไปหาตัวกงหยาง(公羊 – แกะตัวผู้)ที่ยังไม่เคยผ่านการผสมพันธุ์มาก่อน กรีดเอาเลือดสดๆ ของมัน นำมาถูทาไว้ให้ทั่วร่าง เช่นนี้แล้ว ผีร้ายเยากุ่ยอาจเข้าใจผิดคิดว่าท่านเป็นเพียงคนตายผู้หนึ่ง แล้วปล่อยผ่านท่านไป อย่างไรก็ดี วิธีนี้ใช้ได้ผลแต่กับผีร้ายเยากุ่ยในระดับธรรมดาทั่วไปเท่านั้น”
ลู่เซิ่งประสานมือเข้าด้วยกัน เร่งกล่าววาจาออกมาจากใจจริง “ขอบคุณท่านนักพรตที่ช่วยชี้แนะ!”
“นี่ไม่นับเป็นอย่างไรได้ ไม่นับเป็นอย่างไรได้ เช่นนี้แล้ว ผิงเต้าผู้นี้คงต้องขอลาไปก่อน” เหยียนไคลุกขึ้นป้องมือคารวะกลับ
“ท่านนักพรตถนอมตัวด้วย!” ลู่เซิ่งไม่ได้พยายามฉุดรั้งอีกฝ่ายแต่อย่างใด
เหยียนไคเดินนำคนทั้งสามหมุนกายเดินออกไปจากห้องโถงรับรองแขก มุ่งหน้าออกไปนอกจวนลู่
ขณะที่ยืนเหม่อมองตามหลังเงาร่างของคนทั้งสาม ในใจของลู่เซิ่งก็พลันเกิดความรู้สึกอึดอัดขัดข้องขึ้นมาอย่างยากจะบรรบาย เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าบุคคลผู้อยู่ในขอบเขตฟากฝั่งอันลึกลับซึ่งสูงชั้นกว่า อันเป็นเขตแดนที่เขาอยากจะติดต่อร่วมปฏิสัมพันธ์ด้วยอย่างยิ่งนั้น ยามนี้ได้ถอยห่างออกไปจากการไขว่คว้าของเขาเรียบร้อยแล้ว
จนกระทั่งว่าพวกเหยียนไคทั้งสามคนได้จากไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว บุรุษหนุ่มก็ยังยืนนิ่งงันอยู่ในห้องโถงรับแขกเช่นนั้น ไม่ได้ขยับกายแม้แต่คราเดียว
“กงจื่อ?” เสี่ยวเฉียวเดินย่องเข้ามาเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ได้เวลาทานอาหารแล้วเจ้าค่ะ”
“อ้อ!” ลู่เซิ่งพลันได้สติจากห้วงภวังค์ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้านนอก
ชายหนุ่มพลันสะบัดชายเสื้อคลุม มุ่งหน้าตรงไปยังห้องอาหารพร้อมกับเสี่ยวเฉียว
ห้องโถงรับประทานอาหารถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
ลู่เฉวียนอันนั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งของเจ้าบ้าน ที่ด้านข้างฝั่งหนึ่งเป็นท่านลุงเจ้าซึ่งก่อนหน้านี้ออกไปข้างนอกเสียนาน ลู่เซิ่งกวาดตามองผ่านๆ ไปทั่วทั้งห้องโถงปราดหนึ่ง แล้วจึงได้เห็นว่ามียอดฝีมือเชิงยุทธ์บางคนที่เดินทางออกไปพร้อมกับท่านลุงเจ้าก็ได้กลับมาถึงแล้วเช่นกัน
“ท่านลุงใหญ่ของเจ้าได้ส่งข้อความมา มาตรการสกัดกั้นของเมืองจิ่วเหลียนได้ถูกยกเลิกแล้ว ยามนี้สามารถเข้าออกได้ตามสะดวก” ลู่เฉวียนอันเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว ข่าวดีนี้กลับมิได้นำพาอารมณ์ตื่นเต้นยินดีมาให้เขาสักเท่าใดนัก เพราะที่ด้านข้าง ตรงที่ว่างมุมหนึ่ง ลู่ชิงชิงกำลังนั่งเอนกายให้แม่สองหลิวชุ่ยอวี้ผู้เป็นมารดาของนางป้อนอาหารให้อย่างว่าง่าย ท่าทางที่แสดงออกดูเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสา ผ่านไปครู่หนึ่งก็จะมีหยาดน้ำลายไหลหยดลงมาจากมุมปากอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่หลงเหลือสตินึกคิดเยี่ยงบุคคลธรรมดาที่สมบูรณ์พร้อมอยู่เลยแม้แต่น้อย
คนอื่นที่เหลือส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีความอยากอาหารสักเท่าไรนัก ทั้งเหตุระเบิดใหญ่โตก่อนหน้านี้ ทั้งยังมีฝูงชนบนหลังม้าพกพากระบี่ดาบมากมายถึงเพียงนั้นวิ่งพล่านผ่านหน้าบ้านไป ผู้คนมากมายถึงเพียงนั้น เหตุอุบัติอันอึกทึกครึกโครมถึงเพียงนั้น ผู้ใดจะมองไม่เห็นกันเล่า?
ยามนี้ ในใจของทุกคนล้วนร้อนรนแตกตื่นอย่างยิ่ง
“อาหารจะเย็นชืดหมดแล้ว กินเถอะ กินเถอะ” ลู่เฉวียนอันก็สังเกตเห็นว่าทุกคนไม่มีแก่ใจจะรับประทานกันแล้ว จึงหยิบตะเกียบขึ้นมาก่อน “ลุงเจ้าก็กลับมาแล้ว ยามนี้บ้านเราก็ยังปลอดภัยกันดีอยู่ ทุกคน….” ถ้อยคำสุดท้ายนั้นติดขัดอยู่ในลำคอ ความเศร้าสสดเข้าถาโถมจิตใจ ท่านผู้เฒ่าทำได้เพียงทอดถอนออกมาอย่างอับจนหนทาง
ได้เห็นภาพฉากเช่นนี้ ท่านลุงเจ้าเองก็ให้รู้สึกสิ้นหวังและระทมทุกข์ด้วยความรู้สึกผิดอยู่ข้างใน ตนเองนั้นกินอยู่หลับนอนทั้งยังรับเงินเดือนจำนวนมหาศาลจากตระกูลลู่มานมนานหลายปี ทว่าในยามคับขันเช่นนี้ ตนเองกลับไม่อาจรั้งอยู่ช่วยเหลือ แม้จะกล่าวว่าถูกกะเกณฑ์ไปช่วยงานราชการของหน่วยหยาเหมิน แต่สิ่งที่ตนและคนอื่นๆ ได้กระทำก็มีเพียงแยกย้ายกันออกไปเตร็ดเตร่ตามภูเขาใกล้กับทะเลเยือกแข็งทางทิศเหนือ สำรวจตรวจตราจนทั่วภูเขาแล้วก็กลับมามือเปล่า อันใดก็มิได้พบเห็น เหตุอุบัติใดก็มิได้เกิดขึ้นทั้งสิ้น
นี่ที่แท้แล้วเป็นเรื่องราวใดกันแน่ ??