The King of the Battlefield - ตอนที่ 228
บทที่ 228: อัลโนวา (2)
มูยองประหลาดใจมาก แต่ยังคงความสงบไว้
เรื่องราวประสบการณ์ของโลก จากอีกช่วงเวลาหนึ่ง แสดงว่าผู้ดูแลรู้เรื่องที่มูยองย้อนเวลากลับมา
ผู้ดูแลพูด
“ แนวคิดเรื่อง ‘เวลา’ ไม่มีอยู่ในพื้นที่แห่งความว่างเปล่า ข้าที่เจ้าเห็นอาจมาจากอนาคตหรืออดีตก็ได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าสามารถรับรู้ถึงตัวตนที่เดินอยู่บนเส้นทางอันผิดพลาดเช่นเจ้า”
ดูเหมือนมูยองจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูด อย่างน้อยก็หมายความว่าสถานที่นี้ไม่ได้ทำงานด้วยวิธีคิดปกติ
การดำรงอยู่ของตัวตนเช่นผู้ดูแห่งความว่างเปล่านั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งใด บางสภาพกลับเหมือนภาพลวงตามากกว่าความจริงเสียอีก ไม่มีอะไรเสียหายหากมูยองบอกเล่าเรื่องราวให้เขาฟัง
“ คุณสนใจเรื่องอะไร”
“ก็ทุกอย่าง อย่ากังวลไป เวลาที่เจ้าใช้ที่นี่ไม่มีผลกับเวลาในความเป็นจริง”
เขามีเวลาค่อนข้างเหลือเฟือ
มูยองจึงค่อยๆเริ่มเล่าเรื่อง
“ผม…”
สิ่งที่ผู้ดูแลต้องการคือเรื่องราว และมูยองมั่นใจได้เลยว่าสามารถเล่าให้เขาฟังได้จนกว่าจะเบื่อ
* * * *
ปราสาทลอยฟ้าของเอนโรธเคลื่อนที่เข้ามาใกล้
มันใหญ่พอที่จะครอบคลุมทั่วทั้งอาณาเขตของมูยอง และรอบๆปราสาทนั้นก็เต็มไปด้วยปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วน
อย่างไรก็ตาม มันยังไม่ได้โจมตี
อย่างแรกที่พวกมันทำคือการเจรจา
“ ข้าไม่สนุกกับการคุกคามผู้อ่อนแอ จงยอมรับความพ่ายแพ้และทำตามคำสั่งของข้าซะ”
แน่นอนว่าสิ่งเดียวที่มันต้องการที่นี่คือเอลเดอร์ลิช เหตุผลที่มันพูดอย่างนั้นก็เพื่อเรียกความน่าเชื่อถือจากเอลเดอร์ลิชนั่นเอง
เพราะถ้าเอลเดอร์ลิชรักและหวงแหนสถานที่แห่งนี้ มันย่อมต้องยอมติดตามเอนโรธ
ลิชไม่ใช่ตัวตนที่มีสติปัญญาต่ำ ไม่มีทางที่นักเวทนระดับนั้นจะทำอะไรงี่เง่า
หากเทียบกับความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ของเอนโรธ ราชาปีศาจทั้งสามและบาร็อกก็ถือเป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น
เป็นไปไม่ได้ที่ลิชจะไม่ทราบเรื่องดังกล่าว และหากเป็นนักเวทที่ชาญฉลาดแล้วก็ย่อมรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างพวกมัน
ทว่าแน่นอน…
บรึ้ม ตูม บรึ้ม!
เวทระเบิดที่ติดตั้งไว้ ระเบิดพลังทำลายล้างออกไปทำลายปีศาจที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมด
มันเป็นกับดักที่ถูกเตรียมไว้ล่วงหน้า
และนั่นหมายความว่า เขาไม่ได้วางแผนที่จะยอมรับเงื่อนไขของมัน
“ช่างเป็นการตัดสินใจที่โง่เขลา”
คงจะดีถ้าลิชยอมรับความพ่ายแพ้
แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าไหร่
มันใช้กำลังจับลิชมาแล้วค่อยล้างสมองทีหลังก็ได้
เอนโรธกระแทกไม้เท้าลงที่พื้น
ตูม!
อนุภาคสีน้ำเงินแพร่กระจายอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไปรอบๆปราสาทเคลื่อนที่
ปีศาจที่สัมผัสเข้ากับอนุภาคนั้นต่างคลุ้มคลั่ง และกลายเป็นนักรบแสนดุร้าย
โดยจำนวนของปีศาจในปราสาทนั้นคือ 300,000 ตน !
เมื่อเปรียบเทียบกับที่กล่าวมาแล้ว กองกำลังทั้งหมดในอาณาเขตของมูยองมีเพียง 100,000 คนเท่านั้น
แม้ว่านักรบของอาณาเขตจะเป็นกองกำลังที่มีคุณภาพ แต่ความแตกต่างของจำนวนก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำลายได้ง่ายๆ
หากอำนาจเด็ดขาดสามารถพลิกคว่ำกระแสน้ำได้ เทพปีศาจคงไม่จำเป็นต้องมีราชาปีศาจอยู่ภายใต้อำนาจของตน
เอนโรธคิดว่าพลังที่แข็งแกร่งก็มีข้อจำกัดเช่นกัน มันจึงเรียนรู้วิธีการต่างๆเพื่อเสริมกองกำลังของตน
เอนโรธนั่งบนบัลลังก์อีกครั้งและมองภาพสนามรบ
‘พวกมันก็เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ’
ปีศาจชอบที่จะกำราบผู้อื่นโดยใช้กำลัง และคลั่งไคล้การพรากชีวิตของศัตรูด้วยพลังทำลายล้าง
เอนโรธเองก็ไม่ได้ต่างจากนั้น
ทว่าเหล่าปีศาจกลับไม่สามารถเจาะทะลวงได้โดยง่าย เป็นเพราะอันเดธที่แข็งแกร่งรวมถึงเอลเดอร์ลิชกำลังหยุดพวกมัน
‘มาดูกันว่าพวกแกจะทนได้นานแค่ไหน’
บางสิ่งที่เหมือนภาพโฮโลแกรมปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเอนโรธ มันกำลังถ่ายทอดสดภาพของสมรภูมิตอนนี้ เอนโรธมองดูลิชผู้อาวุโสด้วยสายตาของอาจารย์ที่กำลังมองลูกศิษย์
เบซองมินแสยะปากยิ้มเล็กน้อย
เขาได้เตรียมหลายสิ่งหลายอย่างเอาไว้
เขารู้อยู่แล้วว่าเอนโรธกำลังจะบุก จึงระดมสติปัญญาทั้งหมดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนั้น
กำแพงถูกสร้างให้สูงขึ้นด้วยความช่วยเหลือของคนแคระ และยังติดตั้งระเบิดที่มองไม่เห็นนับไม่ถ้วนในอากาศ
เขาค้นคว้ามนตร์ดำเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของอันเดธ จนกระทั่งปรับปรุงคุณภาพชุดเกราะที่ทหารสวมใส่อยู่
นอกจากนั้นยังสังเวยหลายสิ่งเพื่ออัญเชิญ ‘อัศวินอันเดธ’ ออกมาช่วยรบ แต่ …
‘เวลาของฉันน้อยเกินไป’
เอนโรธเดินทางมาถึงก่อนการคำนวณไว้มาก
เบซองมินคาดว่า 10 วัน แต่เอนโรธมาถึงใน 2 วัน
มีข้อจำกัดมากมายสำหรับการเตรียมตัวภายในสองวัน นั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องเค้นทุกอย่างออกมาใช้ก่อน
“ เบียทริซ โจมตีปราสาทของศัตรูซะ”
อาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของเบซองมินคือแม่มดเบียทริซ หากลำแสงพลังของเธอพุ่งเข้าใส่สิ่งใด มันจะทำให้ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความว่างเปล่า
และมันง่ายที่จะโจมตีเป้าหมายขนาดใหญ่อย่างปราสาทของศัตรู
กรี๊ด!
ใบหน้าของเบียทริซปรากฏหยดเลือดไหลออกมาจากดวงตาหลังจากได้รับคำสั่งจากเบซองมิน
จากนั้นลำแสงขนาดใหญ่ก็พุ่งเข้าหาปราสาทของเอนโรธ
ปังงงงงงงงงงงง!
เกิดการระเบิดเสียงดังจนพื้นดินสั่นสะเทือน
ทว่าเบซองมินที่เห็นภาพดังกล่าวกลับส่ายหัว
‘มันไม่ได้ผล’
เบาเกินไป ตัวปราสาทได้รับการปกป้องด้วยเวทมนตร์ของเอนโรธ
นั่นหมายความว่าแม้กระทั่งเบียทริซก็เทียบไม่ได้กับเอนโรธในด้านเวทย์มนตร์
หากพวกเขาไม่สามารถเจาะทะลวงบาเรียของปราสาทได้ การรบแบบกองโจรที่เตรียมไว้ก็คงไม่ได้เคลื่อนไหว สุดท้ายเมื่อศัตรูตัดผ่านทุ่งระเบิดเข้ามาได้ พวกเขาจะต้องต่อสู้แบบประชิดตัว
‘มันเสริมพลังให้พวกปีศาจจำนวนมากได้ยังไง?’
ปัญหาไม่ใช่แค่จำนวนตัวเลข
ปีศาจที่สูญเสียจิตสำนึกและบ้าคลั่ง ดูเหมือนพวกมันจะแข็งแกร่งขึ้นเป็นสองเท่า
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับปีศาจนับหมื่นในเวลาเดียวกัน อย่างน้อยเบซองมินก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ขีดจำกัดของเขาคือการเสริมความแข็งแกร่งให้อันเดธ 500 ตนเท่านั้น
‘เอนโรธ…’
เขาได้ยินว่ามันเองก็เป็นนักเวท
ตัวตนทรงพลังที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“ ฉันจะเข้าไป”
จู่ๆเบซูจีก็โผล่มายืนอยู่ข้างเบซองมินพร้อมกับพูดขึ้น
เบซองมินรู้จักชื่อของเธอ แม้พวกเขาจะมีนามสกุลเดียวกันแต่ซองมินก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้เธอรู้
‘ชื่อของฉันในอดีตไม่สำคัญ ถึงบอกเธอไปก็คงจะมีแต่เรื่องน่ารำคาญ’
‘หรือเพราะแบบนั้นเจ้านายจึงอนุญาตุให้เธอยืมพลังไปใช้’
ในขณะเดียวกันเขาก็ตระหนักถึงบางสิ่งเพิ่มขึ้น
อีกเหตุผลที่มูยองส่งเบซูจีออกมา เพราะมูยองยังไม่คุ้นเคยกับพลังใหม่ที่ได้รับ
‘ฉันต้องอดทนจนกว่าเจ้านายจะพร้อม’
เขาตัดสินใจทิ้งความรู้สึกที่ไม่จำเป็นออกไป
ไม่ว่ากรณีใดๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องรอ
“ เธอจะไปที่ปราสาทของเอนโรธเหรอ?”
“ ถ้าได้รับพรจากดวงจันทร์ของจิน บวกกับความสามารถในการเร้นกายที่มีแล้ว ฉันสามารถเข้าไปในนั้นได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น สงครามนี้จะจบถ้าเรากำจัดราชาปีศาจได้ใช่ไหม?”
จินเป็นหนึ่งในผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของการเป็นไฮเอลฟ์
เบซองมินไม่สามารถรับรู้ถึงการมีตัวตนของเบซูจีได้เลย จนกว่าเธอจะเข้าใกล้ๆและพูดขึ้น
แต่การลอบสังหารจะได้ผลกับเอนโรธหรือไม่?
ด้านนอกมีปีศาจสามแสนตัวเท่านั้น ทว่าด้านในต้องมีมากกว่านั้นแน่นอน
“ แค่บอกฉันว่าเอนโรธอยู่ที่ไหน ฉันจะไปเด็ดหัวของมันเอง”
เบซองมินคิด
‘โง่อะไรขนาดนี้’
ความคิดของเบซูจีนั้นโง่จริงๆ
โอกาสประสบความสำเร็จนั้นใกล้เคียงกับ 0% ไม่ว่าจะระบุที่อยู่ของเอนโรธได้หรือไม่
แต่…มีความน่าจะเป็นเกิดขึ้นได้เสมอ และมันสามารถซื้อเวลาให้พวกเขาได้
ภารกิจที่สำคัญที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบันคือ การซื้อเวลา
พวกเขาจะทนได้หรือไม่จนกว่ามูยองจะปรากฏตัว
เพราะถ้ามูยองแพ้ทุกอย่างก็จบ แต่เบซองมินไม่เคยคิดว่ามูยองจะแพ้ใครอยู่แล้ว
“งั้นรอเดี๋ยว!
เบซองมินตั้งใจเป็นแน่แท้แล้วว่าจะใช้เบซูจีเป็นเครื่องมือซื้อเวลา
แต่ก่อนหน้านั้นต้องทำลายแหล่งพลังงานบางส่วนที่สนับสนุนปราสาท และหาที่ตั้งของเอนโรธให้ได้เสียก่อน
เบซองมินลอยตัวขึ้นไปบนอากาศ
เอนโรธก็เป็นนักเวทคนหนึ่ง
และนักเวททุกคนล้วนมีความภาคภูมิใจของตนเอง
เบซองมินวางแผนที่จะยั่วยุเอนโรธด้วยเวทมนตร์ที่ไม่สามารถเลียนแบบได้
“ สนามแรงโน้มถ่วง”
วูบ!
ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับฝนจะตก
อนุภาคสีดำร่วงหล่นลงมาจากนภากาศก่อนจะยุบติดกับพื้นดิน จากนั้นก็เริ่มดึงทุกอย่างลงสู่เบื้องล่างอย่างรุนแรง
นี่เป็นเวทมนตร์สำหรับการต่อสู้วงกว้างที่เบซองมินคิดขึ้น
ทว่าแม้แต่พันธมิตรก็ไม่สามารถหนีออกจากอิทธิพลนี้ได้ เขาจึงไม่สามารถทำให้มันสร้างความเสียหายรุนแรงให้กับปราสาทได้เช่นกัน มันยังเป็นเวทย์มนตร์ที่ต้องได้รับการปรับปรุง
ตูมมมมมมม!
ปราสาทลอยฟ้าขนาดใหญ่ถูกดึงลงมาที่สู่พื้น
ไม่มีการยั่วยุใดใหญ่โตกว่านี้อีกแล้ว
มันไม่สามารถสร้างความเสียหายได้เท่าไหร่ แต่ถ้าซองมินเป็นเอนโรธเขาจะต้องเสียหน้ามากแน่ๆ
ฟูมมมมมมม!
อย่างที่คาดไว้ ปราสาทเริ่มลอยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับพลังที่โต้ตอบแรงโน้มถ่วง
เอนโรธกำลังแทรกแทรงเวทของซองมิน แต่ด้วยเหตุนี้เบซองมินจึงสามารถระบุตำแหน่งของเอนโรธผ่านจุดศูนย์กลางของพลังนั้นได้
“ตรงนั้น”
สูงขึ้นเล็กน้อยจากกึ่งกลางของตัวปราสาท
เบซองมินส่งตำแหน่งของเอนโรธ และข้อมูลทุกสิ่งที่ทราบให้เบซูจีด้วยพลังเวท
เบซี่ซูจีพยักหน้า
“ ฉันจะยุติสงครามนี้เอง”
เธอต้องเข้าไปก่อนที่ปราสาทจะลอยขึ้นอีกครั้ง
เบซูจีพุ่งตัวออกไปราวกับลูกธนู ในขณะที่เบซองมินยังคงเผชิญหน้ากับความภาคภูมิใจของเอนโรธ
***
“ นี่คืออัลโนวา มันเป็นคัมภีร์ที่มีพลังเวทไหลเวียนอยู่มากมาย”
ผู้ดูแลมอบอัลโนวาให้มูยอง มันเป็นเหมือนหินอ่อนขนาดเล็กมากกว่าคัมภีร์เสียอีก
อย่างไรก็ตาม ชัดเจนว่ามันไม่ใช่หินอ่อนธรรมดา
เมื่อมูยองตรวจดูมันอย่างใกล้ชิด ข้อมูลจำนวนมากก็ไหลหลั่งเข้าสู่สมองของเขาทันที
“อึก”
มูยองเซถอยหลัง ข้อมูลที่มีอยู่นั้นกว้างใหญ่เกินกว่าที่เขาจะเห็นหมดทุกส่วน
“ วิญญาณของเจ้าจะถูกทำลายถ้ามองมันเป็นเวลานาน”
“ ผมก็คิดอย่างนั้น”
ขนาดมีพลังครึ่งเทพยังไม่สามารถจัดการข้อมูลของอัลโนวาได้ทั้งหมด
หินอ่อนนี้จะโจมตีไปที่จิตสำนึกและจิตวิญญาณของคุณโดยตรง
ยังไงก็ตาม เขาสามารถจดจำเวทมนตร์ที่สำคัญในช่วงเวลาสั้นๆนั้นได้
“ เรื่องราวของเจ้าน่าสนใจมาก ข้าหวังว่าเราจะได้พบกันอีก”
จากนั้นผู้ดูแลแห่งความว่างเปล่าก็หายตัวไป ส่วนมูยอง เขามองดูสถานที่ที่ตัวเองยืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหันหลังกลับ
เขาได้รับสมบัติที่ไม่คาดคิด เขาไม่ทราบว่าจะเจอพื้นที่แห่งความว่างเปล่าในขณะที่จิตวิญญาณอยู่ในสภาวะที่เล็กที่สุด
นอกจากนี้…มูยองยังได้รับคำใบ้ว่าโซโลมอนยังมีชีวิตอยู่
‘ฉันจะตามหาเขา ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่’
มูยองต้องไปถามเกี่ยวกับความรับผิดชอบที่โซโลมอนมอบให้
เขาพร้อมแล้วที่จะออกไป
วิญญาณของเขาเริ่มขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆจนไปปรากฏตัวอยู่บนโลกปกติ
บูมมมม!
สิ่งแรกที่ได้ยินหลังจากลืมตาคือเสียงระเบิด
จริงๆแล้วพวกมันอยู่ค่อนข้างไกล แต่มูยองสามารถได้ยินสิ่งนั้นราวกับว่ามันกำลังเกิดขึ้นข้างๆ
‘เอนโรธบุกมาแล้ว’
มันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เขาคาดไว้
มูยองยืนขึ้น
ฟู่ว
แล้วก็หายไปเหมือนควัน
***
“ พวกเรากำลังถูกตีกลับจนถอยร่น!”
เบซองมินหาข้อสรุป
สงครามเริ่มเสียเปรียบเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ
พวกเขาจำเป็นต้องถอยกลับ และเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือ
เขากังวลเกี่ยวกับเบซูจีอยู่บ้าง แต่ความเป็นไปได้ที่เธอจะประสบความสำเร็จนั้นเล็กน้อยมาก เขาไม่สามารถปกป้องสถานที่แห่งนี้ต่อไปโดยหวังเดิมพันกับความน่าจะเป็นเล็กๆนั้น
‘แบบนี้คงไม่มีหวัง’
เอนโรธรุกคืบเร็วเกินไป
สิ่งเดียวที่เบซองมินสามารถทำได้ตอนนี้คือถ่วงเวลาไว้ อย่างไรก็ตามเขาคงทำได้อีกไม่นานนัก
“อย่าให้หลุดไปแม้สักคนเดียว! ปิดกั้นเส้นทางหลบหนีให้หมด!”
“ นี่คือการล่า! ว๊าฮ่าๆๆ!”
ปีศาจวิ่งไล่อย่างบ้าคลั่ง แต่บางอย่างก็ไม่ได้บ้าไปอย่างสมบูรณ์ เพราะความสามารถในการ ‘ล่า’ ของพวกมันยังมีประสิทธิภาพอยู่
สิ่งนั่นทำให้ซองมินรู้สึกรำคาญ
การถอยแบบนี้เขาจะต้องสูญเสียนักรบไปกว่าสองถึงสามพันคน แต่หากไม่ทำกองกำลังทั้งหมดจะต้องถูกกวาดล้าง
“ฟูม … .”
ปังงงงงง!
มันเป็นในขณะนั้น
บางสิ่งกำลังพุ่งลอยมา
ลักษณะของมันราวกับเป็นลูกกระสุนปืนใหญ่ แต่จากระยะที่ไกลมากนั่นปืนใหญ่ไม่มีทางที่จะเทียบได้
หลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้น และปีศาจเกือบ 500 ตัวก็ตายเพราะแรงสั่นสะเทือนจากมัน
เปลวเพลิงลุกท่วม!
เปลวไฟรุนแรงเผาผลาญปีศาจที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณนั้นจนกลายเป็นจุล
เหล่าปีศาจล้วนประหลาดใจและล้มหายตายจาก ปกติแล้วเมื่อปีศาจตายจะไม่ทิ้งศพไว้ ดังนั้นปีศาจที่หนีไม่ทันจึงกลายเป็นเพียงฝุ่นก่อนจะกระจายหายไป
ทว่าเหมือนมีผู้หนึ่งอยู่ตรงกลางของหายนะแห่งเปลวเพลิงดังกล่าว
“เจ้านาย?”
‘มูยอง!
เขาปรากฏตัวแล้ว
ฟูม!
เจ้าแห่งเปลวเพลิง เปลวเพลิงที่สร้างโดยนายที่แท้จริงนั้นไม่สามารถดับได้ ในตอนแรกมันเป็นพลังของเดียโบล แต่ตอนนี้พลังดังกล่าวกลายเป็นอำนาจที่สมบูรณ์ของมูยองแล้ว
ปีกทั้งหกต่างก็ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิง
มูยองเดินเข้ามาในสภาพนั้น
และไม่มีปีศาจหน้าไหนกล้าคิดเดินไปใกล้เขา
“ เบซูจีอยู่ที่ไหน?”
“ เธอเข้าไปในปราสาท”
เบซองมินคุกเข่าและตอบ
มูยองขมวดคิ้ว
“ ทำไมนายไม่หยุดเธอล่ะ”
“ มันเป็นสิ่งที่เธอต้องการ และอย่างน้อยเธอก็สามารถซื้อเวลาได้”
“ แล้วนายพอใจกับเรื่องนั้นเหรอ?”
เมื่อมาถึงจุดนี้เบซองมินเงยหัวขึ้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มูยองถามสิ่งที่น่ารำคาญเช่นนั้น
“ มีเหตุผลไหนที่ผมไม่ควรพอใจ?”
เขาจำเธอไม่ได้เหรอ?
จะบังเอิญเกินไปไหม ที่เขาไม่รู้เพราะมูยองไม่ได้บอก
ยังไงก็ตามมูยองไม่สามารถเมินเฉยได้
เขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้อีก
มันจะกลายเป็นความขุ่นเคืองขนาดไหนถ้าเขาไม่เคยรู้ความจริงตรงหน้า?
ที่เขาปล่อยผ่านมาจนถึงตอนนี้ เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายมากขึ้น แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายได้เจอกันแล้วเรื่องก็ไม่ควรจบลงเช่นนี้
และมูยองไม่ต้องการให้พวกเขาสองคนตกอยู่ในสถานการณ์ที่โหดร้ายจากความไม่รู้อีกด้วย
มูยองกล่าว
“ เบซูจีเป็นลูกสาวของนาย”
————
YOU MAY ALSO LIKE
Tips: Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipisicing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna aliqua. Ut enim ad minim veniam, quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea commodo consequat. Duis aulores eos qui ratione voluptatem sequi nesciunt. Neque porro quisquam est, qui dolorem ipsum quia dolor sit ame