Invincible Divine Dragon’s Cultivation System ระบบฝึกฝนมังกรอมตะ - ตอนที่ 255
ตอนที่ 255 นานมากแล้วที่ฉันนั้นไม่ได้ลงมือ!
.
“พวกเจ้าเป็นใคร! กล้ามาทายสำนักวังเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วอย่างนั้นรึ?”
“คนพวกนี้มันอวดดีมากเกินไป ไม่ต้องสนหรอกว่าพวกมันเป็นใครก็แค่สังหารพวกมันให้หมดก็พอแล้ว!”
เสียงตะโกนท้าทายของกลุ่มคนทั้งสิบ ดังก้องไปทั่วทั้งภูเขา ทำให้เหล่าผู้อาวุโสและสาวกของสำนักวังเปลวไฟ จากสำนักออกมากันอย่างรวดเร็วด้วยความโกรธแค้น
ทุกคนกำลังรู้สึกมีความสุขหลังจากที่สำนักของพวกเขาได้เลื่อนขั้นเป็นสำนักศักดิ์สิทธิ์
กองกำลังหลายแห่งจากทุกมุมเมืองได้ส่งของขวัญและความปรารถนาดีมาให้แก่สำนักวังเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา
ทุกคนต่างปฏิบัติต่อสาวกของสำนักวังเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเคารพและไม่มีใครกล้าหยาบคายกับพวกเขา
ฉะนั้นในความคิดของเหล่าผู้อาวุโสและสาวกของสำนักวังเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ กลุ่มคนที่กล้ามาท้าทายสำนักของพวก คนพวกนี้ไม่สามารถให้อภัยได้และต้องถูกสังหารเสียให้สิ้น
“เฮ้ย!…ดูนั่น! มีคนสิบคนกำลังลอยอยู่บนฟ้า!”
“พวกเขา!…พวกเขากำลังลอยอยู่บนฟ้าจริงๆด้วย!”
สาวกของวังเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ทุกคนต่างประหลาดใจ เมื่อพวกเขามองไปยังท้องฟ้าเหนือประตูทางเข้าของสำนักวังเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์
“นั่น!…คนพวกนี้นั้นมีปีกเปลวเพลิงขนาดใหญ่อยู่บนข้างหลังของพวกเขา!”
“พวกเขา … พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณ!”
“ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณสิบคน!!”
“แล้วยังไงล่ะ! ตอนนี้พวกเรามีผู้อาวุโสระดับก่อกำเนิดลมปราณมากถึง 14 คน!” เหล่าบรรดาสาวกของสำนักวังเปลวไฟมีสีหน้าวิตกกังวลกันเล็กน้อยแต่พวกเขานั้นก็ยังค่อนข้างจะมั่นใจในความยิ่งใหญ่ของสำนักพวกเขา
“ใช่! ต่อให้พวกเขาทั้งสิบคนเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณ แต่มันก็ไม่มีอะไรที่จะกลัว ที่นี่คือสำนักวังเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา!”
“สำนักเทพอัคคี! พวกเจ้ากล้าดียังไงถึงได้กล้ามาก่อความวุ่นวายที่นี่ พวกเจ้าต้องการเป็นศัตรูกับสำนักวังเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราอย่างนั้นใช่หรือไม่?”
จากนั้นก็มีร่างคนค่อยๆโผล่ออกมาจากยอดเขาทั้ง 23 ยอดเขา พร้อมกับตะโกนไปทางคนทั้งสิบของสำนักเทพอัคคี
“สำนักเทพอัคคี ต่อให้พวกแถวนั้นมีความแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่พวกเจ้าก็โอหังมากเกินไป พวกเจ้าคิดว่าแค่เพียงพวกเจ้าสิบคน จะสามารถบุกเข้ามาในสำนักวังเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราได้อย่างนั้นหรือ? ในวันนี้พวกเจ้าจะต้องตายกันทุกคน!”
เสียงของชายชราดังผ่านอากาศมาจากยอดเขาหลัก ทางด้านหลังของเขานั้นมีปีกขนาดมหึมาอยู่คู่หนึ่ง และในมือของเขาก็ยังถือหอกเปลวเพลิง เมื่อมองดูแล้วชายชราคนนี้นั้นเหมือนกับเทพนักรบแห่งเปลวเพลิงเลยทีเดียว
“ข้าไม่คิดว่าพวกเจ้าจะไล่ตามมาจนถึงที่นี่ ดูเหมือนว่าพวกเจ้ายังคงไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งนั้น!”
เสียงของหมอเทวะเซิ่งหัวดังขึ้นมา หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับปีกแสงขนาดใหญ่
กลุ่มของผู้อาวุโสสำนักวังเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ก็ตามออกมายืนอยู่ทางด้านหลังของหมอเทวะเซิ่งหัว
กลุ่มผู้อาวุโสแห่งสำนักวังเปลวไฟทั้ง 14 คน พวกเขาทั้งหมดนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณกันทุกคน พวกเขาจ้องมองไปยังกลุ่มคนของสำนักเทพอัคคีพร้อมกับมีเจตนาฆ่าฟันที่รุนแรง
“พวกเจ้าไสหัวไปจากสำนักวังเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราซะ! หาไม่แล้วที่นี่จะเป็นหลุมฝังศพของพวกเจ้า!”
เจ้าสำนักแห่งสำนักวังเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่ตรงกลางด้านหน้าสุด มองไปยังกลุ่มคนของสำนักเทพอัคคีด้วยสายตาเย็นชา
“ฮึฮึ! พวกเราออกไปแน่ แต่จะไปหลังจากที่กวาดล้างสำนักของพวกเจ้าจนไม่เหลือแม้แต่หมูหมากาไก่!”
ชายชราคนหนึ่งจากสำนักเทพอัคคีที่อยู่ตรงกลางหัวเราะขึ้นมาเบาๆพร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูถูก “เจ้ากล้าขโมยของ ของสำนักพวกเราไปและยังฆ่าผู้เชี่ยวชาญในระดับอาณาจักรเจ้าชายของสำนักเรา ในวันนี้ข้าจะใช้เลือดเนื้อของคนในสำนักเจ้าเป็นเครื่องสังเวยความแค้น!”
“ก็ดี! ในวันนี้พวกเรานั้นจะสู้กันให้ถึงที่สุด ไม่ตายไม่เลิกลา แต่ข้าว่าพวกเจ้าที่มาเพียงแค่สิบคน คงจะไม่เพียงพอหรอกมั้ง ต่อให้พวกเจ้าส่งคนของสำนักเทพอัคคีมาทั้งสำนักพวกเราก็หาหวาดกลัวไม่!”
เจ้าสำนักแห่งสำนักวังเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ จ้องมองไปที่พวกเขาด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม
“ฮ่าๆๆ! อย่าขี้โม้มากไปหน่อยนักเลย ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณของสำนักพวกเจ้าทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นเพียงแค่เศษขยะ เพียงแค่ข้าคนเดียวก็สามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณของพวกเจ้าได้ถึง 2 คนโดยไม่มีปัญหา ทำไมพวกเราจึงต้องนำกลุ่มผู้อาวุโสของสำนักเทพอัคคีพวกเราทั้งหมดมาที่นี่ด้วยเล่า?”
ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ที่อยู่ทางด้านข้างของกลุ่มจ้องมองไปที่ผู้อาวุโสของสำนักวังเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างเหยียดหยาม
“ฆ่าพวกมันทั้งหมดและยึดสมบัติของพวกเราคืนมา!”
ชายชราที่เป็นผู้นำหยุดการพูดที่ไร้ประโยชน์และเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของเขามาพร้อมกับเปลวไฟอันทรงพลังที่พุ่งตรงไปที่เจ้าสำนักวังเปลวไฟ
“ฆ่า!”
เจ้าสำนักวังเปลวไฟและหมอเทวะเซิ่งหัว แสดงพลังอันน่ากลัวออกมาทันทีเมื่อเห็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณทั้งสิบคน ตั้งใจจะกำจัดพวกเขา
พวกเขาทั้งคู่รู้ถึงความแข็งแกร่งของสำนักเทพอัคคีเป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเขาจึงใช้พลังสูงสุดของพวกเขาโจมตีออกมาอย่างเต็มกำลัง
“ปิดล้อมพวกเขาเอาไว้ และสังหารพวกเขาทุกคนเสียให้หมด!”
เจ้าสำนักวังเปลวไฟรีบสั่งงานเหล่าผู้อาวุโสของสำนักวังเปลวไฟทันที เขาพุ่งตรงออกไปโจมตีชายชราที่อยู่ตรงกลางกลุ่มของสำนักเทพอัคคี
“เป็นแค่เพียงผู้เชี่ยวชาญก่อกำเนิดลมปราณขั้นสูงเพียงเท่านั้น ช่างกล้าเลื่อนระดับขั้นสำนักเป็นสำนักระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์เชียวหรือ? ตายซะ!”
ชายชราที่อยู่ตรงกลางกลุ่ม โบกมือออกไปพร้อมกับมีภาพเสมือนของปีศาจเพลิงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาที่ด้านหน้าของเขา
“เทพอสูรเพลิงนรก!”
ชายชราชกหมัดขนาดมหึมาของเขาออกมาพร้อมด้วยความแข็งแกร่งของผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณขั้นสูงสุด
“หืออ!..แข็งแกร่งมากจริงๆ!”
เขายกหอกเพลิงขึ้นมาเพื่อสกัดกั้น แต่ก็ยังถูกคลื่นพลังผลักกระเด็นถอยหลังออกไปหลายสิบเมตร
ชายชราที่มีระดับพลังขั้นก่อกำเนิดลมปราณขั้นสูงสุด แสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว
อ๊ากกกก!
เสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างสิ้นหวัง ดังขึ้นมาจากทางด้านข้าง
เปลวไฟสีน้ำเงินเข้าปกคลุมผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักวังเปลวไฟในทันที เขากรีดร้องโหยหวนออกมาอย่างน่ากลัว
ผู้อาวุโสคนนั้นพยายามใช้เปลวไฟของเขาตอบโต้เปลวไฟสีน้ำเงินอย่างเต็มกำลัง แต่เปลวไฟสีแดงของเขาดูเหมือนว่าจะเป็นตัวกระตุ้นและเพิ่มพลังให้แก่เปลวไฟสีน้ำเงิน เพราะหลังจากนั้นไม่นานเปลวไฟสีน้ำเงินก็ขยายขนาดขึ้นและความร้อนแรงของมันก็เพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัว
เสียงกรีดร้องของผู้อาวุโสคนนั้นสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนในสำนักวังเปลวไฟในทันที
หลังจากนี้ไม่นานผู้อาวุโสของสำนักวังเปลวไฟคงจะถึงแก่ความตายอย่างแน่นอน
“นี่!…มันจะเป็นไปได้ยังไงพวกเขานั้นสามารถฆ่าผู้อาวุโสของสำนักเราได้ในทันทีเลยอย่างนั้นรึ?”
“พวกเขาใช้วิธีลอบจู่โจม ช่างต่ำช้าจริงๆ พวกเขาอาศัยจังหวะที่ท่านเจ้าสำนักของพวกเรากำลังต่อสู้อยู่ลอบโจมตีผู้อาวุโสของพวกเรา!”
เหล่าบรรดาสาวกของสำนักวังเปลวไฟร้องตะโกนกันออกมาด้วยความตกใจ ผู้อาวุโสของสำนักพวกเขานั้นมีมากกว่าคนของสำนักเทพอัคคีอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่สามารถป้องกันการลอกโจมตีของคนพวกนั้นได้เลย
“เปลวไฟเทพอัคคี!”
เจ้าสำนักแห่งวังเปลวไฟตกใจเป็นอย่างมาก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที
“ลอบโจมตีอย่างนั้นรึ! พวกข้านั้นออกมาท้าทายพวกเจ้าอย่างซึ่งหน้า มันจะเป็นการลอกโจมตีไปได้อย่างไร? นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างความเป็นและความตายพวกเจ้าไม่เข้าใจหรอกหรือ?”
ชายชราผู้ที่ใช้พลังแห่งเปลวไฟเทพอัคคี พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขณะที่เปลวไฟสีฟ้ากำลังลุกโชนออกมาอยู่รอบๆตัวเขา
“ฆ่าพวกมันเสียให้หมดในทันที!”
ชายชราจากสำนักเทพอัคคีตะโกนออกมาในขณะที่เขา ส่งลูกบอลเปลวไฟขนาดยักษ์พุ่งตรงออกไปยังผู้อาวุโสของสำนักวังเปลวไฟคนหนึ่ง
ผู้อาวุโสของสำนักวังเปลวไฟคนนั้นถือดาบยาวพร้อมกับฟันไปที่ลูกบอลเปลวไฟอย่างเต็มกำลัง
บรูมมมมม!
อย่างไรก็ตามสะเก็ดไฟสีน้ำเงินที่มีลักษณะคล้ายกับเศษโลหะ ก็กระจายตัวออกไปนอกในรัศมี 100 เมตรจากระยะการระเบิดของลูกบอลเปลวไฟในทันที
อ๊าาาา!
อ๊ากกกกก!
โอเย้!..
ในเวลาเดียวกันนั้นเหล่าสาวกของสำนักวังเปลวไฟก็กรีดร้องกันออกมาอย่างโหยหวนด้วยความเจ็บปวด บางคนถึงกับส่งเสียงร้องแปลกๆออกมา!…
สะเก็ดเปลวไฟสีน้ำเงินได้ทะลุทะลวงร่างกายของนักรบระดับขั้นที่ 7 และ 8 อย่างง่ายดาย เหล่าสาวกที่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างหวาดกลัวกันจนตัวสั่น
สะเก็ดไฟบางชิ้นได้ตกลงไปที่ผืนป่าโดยรอบจนทำให้เกิดไฟไหม้อย่างรุนแรงลุกลามไปทั่วทั้งผืนป่า
“บัดซบ!…”
เจ้าสำนักและผู้อาวุโสของสำนักวังเปลวไฟต่างตกตะลึงกันเป็นอย่างมากต่อเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น จังหวะในการต่อสู้ของพวกเขานั้นหยุดลงในทันที
“ไปลงนรกซะ!”
ชายหนุ่มผมสีบรอนที่ถือคฑาสีแดง ยิงเปลวเพลิงสีน้ำเงินที่ลุกโชติช่วงอย่างร้อนแรงออกไปยังผู้อาวุโสของสำนักวังเปลวไฟคนหนึ่งในทันที
ตู้มมมม!
ผู้อาวุโสของสำนักวังเปลวไฟคนนั้น ก็ใช้กระบี่ของเขานั้นฟันไปที่เปลวไฟสีน้ำเงินอย่างลืมตัว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในก่อนหน้านี้ก็เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง สเก็ดเปลวไฟสีน้ำเงินกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณบางชิ้นของสะเก็ดเปลวไฟได้สังหารลูกศิษย์ของสำนักวังเปลวไฟไปในทันที
“ฮ่าๆๆ! ตายเสียให้หมด! ไอ้พวกโจรน่ารังเกียจ กล้าขโมยของสำนักเทพอัคคีมาก็สมควรที่จะต้องตายกันยกสำนักแล้วล่ะ!”
ในเวลานี้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งจากสำนักเทพอัคคีหยิบหอกเปลวเพลิงของเขาขึ้นมา พร้อมกับพุ่งตรงออกไป
บริเวณโดยรอบของสำนักวังเปลวไฟลุกไหม้โชติช่วงเกือบทุกยอดเขา หากมองจากระยะไกลๆภาพนี้ช่างสวยงามเป็นอย่างยิ่ง
“ช่องว่างความห่างของพวกเขานั้นยิ่งใหญ่กว่ากันมากเลยทีเดียว สำนักเทพอัคคีนั้นเป็นสำนักระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์มานานกว่าร้อยปีแล้ว สำนักวังเปลวไฟที่เพิ่งเลื่อนระดับชั้นมาเป็นสำนักศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน!”
“ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณของสำนักเทพอัคคีทั้งสิบคนนี้ มีรากฐานและความแข็งแกร่งที่สูงมากเลยทีเดียว ต่อให้พวกเขานั้นอยู่ในระดับการฝึกฝนขั้นเดียวกัน คนของสำนักวังเปลวไฟก็ยังไม่สามารถเทียบกับคนของสำนักเทพอัคคีได้เลยแม้แต่น้อย!”
“สำนักวังเปลวไฟกำลังจะถึงคราวล่มสลายในไม่ช้านี้แล้ว!” ดาบคลั่งโลหิตจีและโม่หยวน พูดออกมาอย่างตกใจ ในขณะที่หวังเสียน จ้องมองไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย
“เปลวไฟแห่งเทพอัคคีอย่างนั้นรึ!…ดูเหมือนว่ามันจะเป็นของที่ดีมากจริงๆ!”
ประกายแสงสีแดงกระพริบผ่านแววตาของหวังเสียน มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นพร้อมกับมีความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเขาได้เห็นเปลวไฟสีน้ำเงินที่คนของสำนักเทพอัคคีใช้ออกมา
มันนานมากแล้วที่ฉันนั้นไม่ได้ลงมือด้วยตัวเอง!
……….
จบบท