Invincible Divine Dragon’s Cultivation System ระบบฝึกฝนมังกรอมตะ - ตอนที่ 237
ตอนที่ 237 ปัญหา
.
หวังเสียนหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับมีความเย็นชาฉายออกมาทางสีหน้าของเขาขณะที่จ้องมองไปยังชายหนุ่ม
“ทำตามที่หมอเทวะหวังพูดซะ! รีบขอโทษเธอเดี๋ยวนี้!”
เมื่อหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆเขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงและแววตาที่น่ากลัวของหวังเสียน เธอจึงรีบออกคำสั่งกับชายหนุ่มคนนั้นในทันที
ชายหนุ่มคนนั้นดูอับอายและลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะกัดฟันพร้อมกับก้มศีรษะพูดขอโทษออกมา “ผมขอโทษคุณจริงๆหมอเทวะหวังผมไม่รู้ว่าเธอเป็นน้องสาวของคุณ!”
“ฮึ! รีบไปให้พ้นๆหน้าฉันซะ!”
หวังเสียน จ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่เย็นชาก่อนที่จะไล่พวกเขาออกไปด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างจะหงุดหงิด
” หมอเทวะหวัง … เรา …”
“ฉันจะไม่พูดมันซ้ำอีกครั้ง!”
หญิงสาวคนนั้นกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่หวังเสียน ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อยเขายงคงจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
ใบหน้าของเธอนั้นเปลี่ยนไปในทันทีเธอจ้องมองหวังเสียน ด้วยสายตาที่อาฆาตแค้น ก่อนที่เธอจะหันหลังแล้วเดินจากไป
“ฮึ่ม! เสี่ยวหยู จ้องมองเด็กวัยรุ่นกลุ่มนั้นด้วยความโกรธ
เด็กสาวคนนั้นมีสีหน้าที่เคร่งขรึมและกลุ่มเด็กวัยรุ่นคนอื่นๆก็มีสีหน้าบึ้งตึงเช่นเดียวกัน
“หวั่นหวัน ทำไมพวกเราต้องกลัวพวกเขาด้วยล่ะ เขามันก็แค่หมอเทวะไร้สังกัด…!
ชายหนุ่มที่เพิ่งกล่าวคำขอโทษกับเสี่ยวหยู พูดออกมาด้วยสีหน้าที่โกรธแค้น
“เขานั้นไม่ใช่คนที่พวกเราจะสามารถเข้าไปยั่วยุได้!”
เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆในขณะที่เธอพูดออกมาว่า “สำนักวังเปลวไฟของพวกเรากำลังติดต่อกับหมอเทวะหวังที่อยู่ในอันดับ 8 ของหมอเทวะศักดิ์สิทธิ์ และถ้าเขาเข้ามาอยู่ในสำนักวังเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา ตัวของหมอเทวะหวังคนนั้นก็จะรับตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนักเลยในทันที!”
“หวั่นหวันพูดถูกแม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าร่วมกับ สำนักวังเปลวไฟ แต่เราก็ไม่สามารถทำให้เขาขุ่นเคืองได้ สำนักวังเปลวไฟของพวกเรานั้นจะไม่รุกรานบรรดาหมอเทวะอย่างไม่มีเหตุผล!”
พวกเขาเป็นเพียงสาวกทั่วไปของ สำนักวังเปลวไฟ ถึงแม้ว่าในตอนนี้สำนักของพวกเขากำลังจะทำการปรับระดับชั้นเป็นสำนักศักดิ์สิทธิ์แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะยั่วยุหวังเสียน
“แล้วพวกเราจะทำเป็นลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปแบบนี้นะเหรอ?” ชายหนุ่มคนนั้นพูดออกมาอย่างหดหู่
มู่หวั่นหวัน เชิดหน้าขึ้นมองตรงออกไปและไม่ได้เปิดปากพูดอะไรออกมาอีก
….
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ?” หวังเสียน มองไปที่ เสี่ยวหยู และถามเธอเมื่อคนกลุ่มนั้นเดินออกไปแล้ว
“มันเป็นเพราะสำนักกระบี่พฤกษาขจี ของเรา!” ผู้อาวุโสฟางขมวดคิ้วและตอบคำถามหวังเสียน
“สำนักกระบี่พฤกษาขจี?” หวังเสียน สับสนเล็กน้อยพร้อมกับถามขึ้นมาอย่างสงสัย “สำนักกระบี่พฤกษาขจี มีความขัดแย้งกับสำนักวังเปลวไฟอย่างนั้นหรือ?”
” อื้ม!” ผู้อาวุโสฟางพยักหน้า “ท่านเจ้าสำนักถังของเราและหนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักวังเปลวไฟ เคยมีเรื่องบาดหมางที่รุนแรงกันมาก่อน ดังนั้นคนในสำนักวังเปลวไฟจึงค่อนข้างที่จะจงใจหาเรื่องสำนักกระบี่พฤกษาขจีของพวกเรา!”
“อืม! พวกเราไปทานอาหารกันก่อนเถอะแล้วค่อยคุยกันระหว่างทานอาหาร!”
“มันเป็นเรื่องเก่าที่นานมาแล้ว และเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับภรรยาของท่านเจ้าสำนักถัง!” ผู้อาวุโสฟางนั่งลงและเริ่มอธิบายให้กับหวังเสียนได้รับรู้
“เฮ้ออ! เจ้าสำนักถังและผู้อาวุโสจากวังเปลวไฟมีเรื่องบาดหมางกันเพราะหญิงสาวคนหนึ่งตั้งแต่ตอนที่พวกเขายังเป็นหนุ่มอยู่ใช่หรือไม่? และสุดท้ายเจ้าสำนักถังก็เป็นฝ่ายที่ชนะใจหญิงสาวคนนั้นใช่ไหม? นี่ถือได้ว่าเป็นพล็อตเรื่องของนิยายและละคร ที่คลาสสิกมากเลยทีเดียว!” หวังเสียน พูดขึ้นมาพร้อมกับมีรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
“มันก็เป็นอะไรทำนองนั้นนั่นแหละ!” ผู้อาวุโสฟางพยักหน้าและยิ้มอย่างขมขื่น “แต่ตัวฉันเองก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับรายละเอียดมากนัก ผู้อาวุโสของสำนักวังเปลวไฟคนนั้นได้ยกระดับการฝึกฝนตนเองเลื่อนขึ้นเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญก่อกำเนิดลมปราณ และเขาก็ได้เป็นผู้อาวุโสของสำนักวังเปลวไฟ และอีกไม่นานหลังจากนี้สำนักวังเปลวไฟจะเลื่อนระดับชั้นเป็นสำนักระดับสำนักศักดิ์สิทธิ์ด้วย
“แต่ในครั้งนี้สำนักวังเปลวไฟกำลังจะรับสมัครผู้เชี่ยวชาญหลายด้านเพื่อเข้าเป็นผู้อาวุโสของสำนักและพวกเขาก็ยังรับสมัครลูกศิษย์เพิ่มอีกด้วย ในตอนนั้นเขตเทือกเขาหวู่ต้วน คงจะเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ที่ต้องการจะสมัครเข้าสำนักวังเปลวไฟ!’
“หลายคนรู้เรื่องเกี่ยวกับท่านเจ้าสำนักถังและผู้อาวุโสคนนั้นจากสำนักวังเปลวไฟ ต่อไปในอนาคตสำนักกระบี่พฤกษาขจี อาจจะต้องตกอยู่ในอันตรายก็ได้!” ผู้อาวุโสฟางพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
สำนักระดับชั้น 2 ที่ต้องการต่อต้านสำนักระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์ หากเปรียบเทียบง่ายๆ นั่นก็คือมดที่ต้องการต่อสู้กับช้าง สำนักกระบี่พฤกษาขจีไม่สามารถต้านทานสำนักวังเปลวไฟได้อย่างแน่นอน
“ท่านอาจารย์ขอเวลาให้ฉันอีกสัก 2-3 เดือน ฉันจะต้องไปถึงระดับผู้เชี่ยวชาญก่อกำเนิดลมปราณได้อย่างแน่นอน” เสี่ยวหยู กำหมัดแน่นจนตะเกียบของเธอนั้นหักคามือด้วยความโกรธ
“สำนักวังเปลวไฟ เชิญพี่เข้าร่วมสำนักของพวกเขาด้วยเหมือนกัน แต่พี่ก็ได้ปฏิเสธพวกเขาไปแล้ว!” หวังเสียน ลูบหัวของ เสี่ยวหยู ในขณะที่เขาพูดด้วยรอยยิ้ม
“หือ? คนพวกนั้นเชิญพี่เข้าร่วมสำนักของพวกเขาอย่างนั้นเหรอ?” เสี่ยวหยู รู้สึกตกใจเล็กน้อยในขณะที่เธอถามเขาขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ใช่! พวกเขานั้นต้องการเชิญพี่ให้ไปเป็นผู้อาวุโสฝ่ายทางการแพทย์ของสำนักพวกเขา !” หวังเสียน หัวเราะออกมาในขณะที่เขาพูด
“ชายชราและเด็กหนุ่มที่มาเชิญพี่นั้นหยิ่งผยองเป็นอย่างมากเลยทีเดียว!”
“พี่ชายน่ารักมากที่สุด! พี่ทำถูกแล้วล่ะที่ปฏิเสธคนพวกนั้นไป!” เสี่ยวหยู ทำปากยื่นเล็กน้อยก่อนที่จะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ท่านอาจารย์คราวนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นกับสำนักกระบี่พฤกษาขจีของพวกเราหรือไม่?” เสี่ยวหยูถามออกไปด้วยความกังวล
“ตามความคิดของข้า มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตั้งใจต่อสู้และกวาดล้างสำนักของพวกเราโดยไร้ซึ่งเหตุผลที่ดี แต่สำนักของพวกเราก็จะถูกกดดันและถูกกีดกันในทุกๆทาง และต่อไปในอนาคตสำนักของพวกเราก็คงยากที่จะเติบโตขึ้น!”
ผู้อาวุโสฟางขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่เธอมองไปที่เสี่ยวหยู “ต่อไปสำนักกระบี่พฤกษาขจี คงจะต้องขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วล่ะ!”
“ไม่ต้องห่วงท่านอาจารย์ข้าจะตั้งใจฝึกฝนให้ไปถึงระดับก่อกำเนิดลมปราณอย่างรวดเร็วที่สุด พวกเขาจะได้ไม่สามารถมารังแกพวกเราได้อีก!” เสี่ยวหยู พูดออกมาด้วยความมุ่งมั่น
หวังเสียน หัวเราะเบา ๆ ในขณะที่เขาพบว่ามันน่าสนใจที่เห็นน้องสาวของตัวเองกำลังเติบโตขึ้น
หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน หวังเสียน กับ กวนชูชิง และ หลานชิงเยว่ ก็ออกไปเดินเล่นรอบๆมหาวิทยาลัย
เสี่ยวหยู เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เธอจึงกลับไปฝึกฝนบ่มเพาะกับอาจารย์ของเธอที่วิลล่า
ในตอนนี้เธอนั้นเป็นนักรบระดับขั้นที่ 8 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับผู้อาวุโสฟาง
แต่ในแง่ของประสบการณ์การต่อสู้เธอยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับผู้อาวุโสฟางได้อย่างแน่นอน
แต่ด้วยความสามารถในการเรียนรู้ของเธอนั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมากผู้อาวุโสฟางก็ยังต้องตกตะลึงกับการเติบโตที่รวดเร็วของเธอ!
หลังเลิกเรียน หวังเสียน นั่งรถ RV กลับไปที่วิลล่าของเขาโดยที่โม่ชิงหลงนั้นเป็นคนขับ
ซุนหลิงซิ่วทักทายเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ในขณะที่เธอชงชาและทำอาหารให้กับเขา
เมื่อเห็นเทพธิดาที่บริสุทธิ์และสวยงามเช่นนี้กำลังรับใช้เขา หวังเสียน ก็รู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยสักเท่าไหร่และยังมีความกระดากอายอยู่บ้าง แต่เขานั้นก็ยังรู้สึกพึงพอใจมากเลยทีเดียว
ซุนหลิงซิ่ว ยังคงอาศัยอยู่ในวิลล่าของหวังเสียน ห้องของเธอนั้นก็อยู่ไม่ไกลจากเขามากนักและเธอก็ไม่มีความคิดที่จะออกไปอยู่ที่อื่น
หวังเสียน ตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เขามาที่สนามหญ้าของวิลล่า เขาสังเกตเห็นท่าทางที่ตื่นตกใจของเสี่ยวหยูและผู้อาวุโสฟาง พวกเธอกำลังจ้องมองเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
“นายท่าน! ครั้งนี้กระผมมารับใช้นายท่านด้วยชีวิตของกระผม มันเป็นการล่วงเกินอย่างสูงที่ทาสผู้ต้อยต่ำอย่างกระผมได้เคยล่วงเกินนายท่านเอาไว้ ขอให้นายท่านได้โปรดให้อภัยและโอกาสกระผมด้วยเถิดขอรับ!”
ชายวัยกลางคนชาวยุโรปที่สวมชุดทักซิโด้สีแดงกำลังคุกเข่าอยู่ที่ประตูทางเข้าวิลล่าด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว เขากำลังก้มหัวพูดกับ ซุนหลิงซิ่ว ด้วยใบหน้าที่สำนึกผิด
ภาษาจีนที่ผิดเพี้ยนและแปลกๆของเขา ฟังแล้วรู้สึกขัดหูเล็กน้อย
“เจ้านั้นชื่ออะไร!” ซุนหลิงซิ่วมองไปที่หมอโลหิตและถามด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง
“นายท่าน! ทาสผู้ต้อยต่ำนี้มีชื่อว่า สการ์เล็ตวินซ์ วลาดิเมียร์ !”
หมอโลหิต ตอบออกไปด้วยความเคารพ ภาษาจีนกลางที่เขาพูดออกมานั้นฟังดูค่อนข้างที่จะน่าตลก เพราะเขาพูดสลับหน้าสลับหลังไปมาได้เลอะเทอะมาก
“เอาล่ะถ้าอย่างนั้นต่อไปข้าจะเรียกเจ้าว่า เสี่ยวหง [สการ์เล็ตน้อย] ก็แล้วกัน!” ซุนหลิงซิ่วยิ้มขณะที่เธอพูดกับหมอโลหิต
“ขอบพระคุณขอรับนายท่าน! ชื่อที่นายท่านตั้งให้ทาสผู้ต้อยต่ำนั้นฟังดูดีมากเลยขอรับ !” หมอโลหิตกล่าวคำขอบคุณ ซุนหลิงซิ่ว ด้วยความเคารพและซาบซึ้งใจที่ตัวเขานั้นได้มีชื่อจีน
“อืม! ลุกขึ้นได้แล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปเจ้าสามารถติดตามข้าได้!” ซุนหลิงซิ่ว กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอรับเสี่ยงหง ขอสาบานว่า…จะมุดหัวเข้ากองเพลิง…จะยื่นขาเข้าทะเลดาบ…ยอมเป็นต้นผักและตายแทนนายท่านเพื่อแสดงความจงรักภักดีของกระผม!” หมอโลหิตตั้งใจพูดสำนวนภาษาจีนด้วยหน้าตาที่จริงจัง แต่คำพูดของเขานั้นฟังดูน่าตลกมาก
………..
จบบท