Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 432
GDK ตอนที่ 432 ความสามารถอันลึกลับ
หลังจากที่เจ้าผีดิบธาตุโลหะชั้นยอดและเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กถูกส่งกลับไปยังมิติมืดแล้ว หานซั่วก็รีบออกจากภูเขาแพรไหมและนครเบรทเทลทันที
ในครั้งนี้ที่เขากลับไปยังนครเบรทเทล หานซั่วก็ไม่ได้พูดอะไรหรือพยายามตรวจตราสถานการณ์ใด ๆ ภายในนครเบรทเทลให้มากขึ้น เขาเพียงไปพบกับบางคนที่คอยปกป้องดูแลเมือง และพูดคุยกับพวกเขาแค่ชั่วครู่เท่านั้น พร้อมกับอธิบายว่าเขาต้องไปเก็บตัวเพื่อฝึกฝนเป็นระยะเวลาหนึ่ง
ช่วงที่หานซั่วไม่อยู่ แจ็คและคนอื่น ๆ ก็บริหารจัดการนครเบรทเทลได้อย่างดีเยี่ยม นับวัน นครเบรทเทลก็ยิ่งเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งการพัฒนาด้านต่าง ๆ ก็เป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากที่ปีศาจอาคมทั้ง 12 ตนได้ลาดตระเวนดูสถานการณ์จนครบทั้งเมือง หานซั่วก็รู้แล้วว่าเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับนครเบรทเทลมากนัก
ในตอนนี้ที่ลอว์เรนซ์กำลังอยู่ระหว่างการขึ้นครองอำนาจในจักรวรรดิแลนซล็อต หานซั่วเชื่อว่าด้วยมิตรภาพระหว่างพวกเขาทั้งคู่ ลอว์เรนซ์จะไม่มีวันปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของหานซั่วในนครเบรทเทลอย่างไม่เป็นธรรม และหานซั่วก็รู้ดีว่าความสำคัญของเขาที่มีต่อลอว์เรนซ์ตามคำบอกเล่าของซาบาคัสและคาเรล ก็เป็นเหตุผลที่เขาจะสามารถเก็บตัวเพื่อฝึกฝนได้อย่างสบายใจ
เมื่อเขาแน่ใจว่าทุกสิ่งเป็นไปตามความเหมาะสมแล้ว หานซั่วก็เข้าไปยังห้องลับในคฤหาสน์ของเขาในนครเบรทเทล และจัดวางแท่งวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายเพื่อเดินทางไปยังสุสานแห่งความตายทันที
สุสานแห่งความตายนั้นเต็มไปด้วยออร่าอันชั่วร้ายตลอดทั้งปี และยังคงมืดขมุกขมัวเหมือนเช่นเคย หานซั่วตรงไปยังจุดที่เขาฝังเจ้าผีดิบธาตุดินชั้นยอดเอาไว้ และพบว่า ภายใต้การหล่อหลอมฟื้นฟูของแดนดินสัมบูรณ์ รอยเว้าแหว่งบริเวณอกของเจ้าผีดิบธาตุดินชั้นยอดไม่ได้ดูน่าเกลียดน่ากลัวอีกต่อไปแล้ว ดูเหมือนว่าแดนดินสัมบูรณ์จะเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยารักษาอาการบาดเจ็บของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดจริง ๆ
เมื่อเข้ามาภายในสุสานแห่งความตาย หานซั่วก็เชื่อมโยงกับมังกรดำกิลเบิร์ตได้ในทันที จากข้อความที่กิลเบิร์ตส่งกระแสจิตมาด้วยอาการสงบ ดูเหมือนว่าภายในหุบเขาแสงตะวันจะไม่มีสถานการณ์ใด ๆ ที่น่าเป็นห่วงจนถึงขั้นกิลเบิร์ตไม่สามารถรับมือได้ไหว เช่นนั้นแล้ว หานซั่วจึงบอกกิลเบิร์ตเรื่องที่เขาจำเป็นต้องเก็บตัวเพื่อฝึกฝนเป็นระยะเวลานานด้วยเช่นกัน
หานซั่วในตอนนี้อยู่ในอาณาจักรพลังแยกร่างปีศาจในบรรดาอาณาจักรพลังทั้ง 9 ขั้นของเวทย์ปีศาจ และการที่เขาจะบรรลุสู่อาณาจักรพลังกามอสูร ก็ขึ้นอยู่กับว่า เขาจะสามารถดูดซึมพลังงานมหาศาลทั้งหมดที่อยู่ภายในร่าง และจะสามารถเข้าถึงความลึกซึ้งของอาณาจักรพลังกามอสูรได้หรือไม่ด้วยเช่นกัน
ตราบใดที่ผู้ฝึกฝนเวทย์ปีศาจตั้งใจหล่อหลอมร่างทางกายภาพของตนเอง อายุขัยของพวกเขาก็จะยืนยาวกว่าเหล่านักดาบหรือนักเวทย์ที่อยู่ในโลกนี้ และสำหรับหานซั่วที่อยู่ในอาณาจักรพลังแยกร่างปีศาจ ตราบใดที่เขาไม่ถูกฆ่าตาย หรือต้องทนทุกข์ทรมานจากการฝึกฝนอันแสนสาหัส เขาก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ ได้หลายร้อยปีทีเดียว
บางที อาจเป็นเพราะ “เวลา” คือสิ่งที่ผู้ฝึกฝนเวทย์ปีศาจจำเป็นต้องใช้มากมายจนนับไม่ถ้วนระหว่างการเก็บตัวเพื่อฝึกฝนในแต่ละอาณาจักรพลัง ระยะเวลาก็แตกต่างกันไปตามอาณาจักรพลังของแต่ละคน อาณาจักรพลังยิ่งสูง ก็ยิ่งใช้เวลาในการฝึกฝนมากขึ้นตามไปด้วย
หานซั่วตั้งใจว่าจะเก็บตัวฝึกฝนเป็นระยะเวลานาน หลังจากที่จัดการธุระทางโลกทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็จะเข้าสู่ภาวะการฝึกฝนในฐานะผู้ฝึกฝนเวทย์ปีศาจอย่างเต็มตัว
เขานั่งขัดสมาธิลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยกองกระดูกสีขาวโพลนภายในสุสานแห่งความตาย พร้อมกำหนดจิตและสละทิ้งซึ่งความคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ ภายในสมอง เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวที่แทรกซึมอยู่ทุกอณูในร่างกาย มันผสมผสานเข้ากับแก่นมนตรา และกำลังนำพาพลังงานมหาศาลเหล่านั้นโคจรตรงไปยังตัวอ่อนปีศาจอย่างรวดเร็ว
กระบวนการนี้จะใช้ทั้งเวลาและพลังงานค่อนข้างมาก แต่โชคดี ที่หานซั่วมีพลังทรหดที่น่าทึ่ง และความตั้งใจอันแน่วแน่ ทันทีที่เขานั่งขัดสมาธิลงบนพื้น เขาก็ไม่ขยับเขยื้อนกายอีกเลย และจดจ่ออยู่เพียงแต่การดูดซับจิตสังหารมหาศาลภายในร่าง จนกระทั่งเข้าสู่ฌาณในระดับที่ลึกที่สุด
สุสานแห่งความตายคือสถานที่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับการฝึกฝน ด้วยม่านพลังลึกลับที่ปกคลุมอยู่ ทำให้ไม่มีใครสามารถค้นพบหรือเข้ามายังที่แห่งนี้ได้ มันจึงเงียบสงัดอย่างที่สุด และเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ฝึกฝนเวทย์ปีศาจอย่างหานซั่ว
เมื่อเขาเริ่มฝึกฝนโดยปราศจากความคิดฟุ้งซ่านใด ๆ เวลาที่ผ่านเลยไปก็ไม่มีความหมายต่อเขาอีกแล้ว จิตของเขาค่อย ๆ ว่างเปล่า จนสูญสิ้นซึ่งความคิดทั้งมวล แทบจะเรียกได้ว่าเขาหลงลืมแม้กระทั่งตัวตนของตนเอง ทุกสิ่งอย่างล้วนนิ่งสนิท รวมทั้งจิตของเขาเองก็เช่นกัน
การเข้าสู่ “ภาวะปีศาจ” ของผู้ฝึกฝนเวทย์ปีศาจมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ ประเภท ตื่นตัว และ เฉยชา ในส่วนของประเภทตื่นตัว ก็เป็นเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่ผู้ฝึกฝนเวทย์ปีศาจจะจมสู่ภาวะปีศาจที่คุ้มคลั่ง ซึ่งในระหว่างนั้น ภายในใจของผู้ฝึกฝนจะมีเพียงความปรารถนาที่จะฆ่าอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต สังหารและทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า และผู้ฝึกฝนในภาวะนี้ จะไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ไม่แม้แต่จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดใด ๆ และพลังความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าสะพรึงกลัวเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ภาวะปีศาจประเภทตื่นตัวนี้ ก็ยังถือว่าเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงสำหรับผู้ฝึกฝนเวทย์ปีศาจด้วยเช่นกัน เพราะหากพลาดไปแม้เพียงนิดเดียว ผู้ฝึกฝนอาจจมลงสู่ภาวะปีศาจนี้ไปตลอดกาล ไม่มีวันเรียกสติของตนเองคืนกลับมา และกลายเป็นเพียงเครื่องจักรสังหารในที่สุด
ก่อนหน้าที่หานซั่วจะเข้าสู่ภาวะนั้น มีช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เขายังคงมีสติสัมปชัญญะ เพราะความเคียดแค้นชิงชังที่ฝังลึกในใจ เขาจึงตั้งเป้าหมายไว้ที่อัศวินศักดิ์สิทธิ์เบลานต์อย่างแน่วแน่ และเหตุผลที่เขาเข้าสู่ภาวะปีศาจเมื่อครั้งนั้น ก็เป็นเพราะเขาไม่สามารถควบคุมพลังงานที่อยู่ภายในคมมีดพิชิตมาร ระหว่างที่พยายามควบคุมจิตสังหารภายในร่างกายของตนเองไปด้วยในเวลาเดียวกัน
เมื่อพลังงานที่ทำให้หานซั่วเข้าสู่ภาวะปีศาจถูกปลดปล่อยออกมาผ่านการจู่โจมอันบ้าคลั่งของตัวเขาเอง มวลพลังงานที่ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากร่างของหานซั่วก็สูญสลายไป ทำให้หานซั่วค่อย ๆ ได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง
และหากว่าการที่หานซั่วเข้าสู่ภาวะปีศาจเมื่อครั้งนั้นไม่ได้เป็นผลมาจากพลังงานภายนอก และมีแรงกระตุ้นจากภายในที่ทำให้จิตของเขาเข้าสู่ภาวะปีศาจ รวมทั้งตัวอ่อนปีศาจเกิดความปรารถนาที่จะฆ่าเองขึ้นมา เขาก็คงไม่สามารถฟื้นตัวและได้สติคืนมาอย่างง่ายดายนัก
และตรงข้ามกับภาวะปีศาจประเภทตื่นตัวที่แสนอันตราย ภาวะปีศาจประเภทเฉยชา นั้นเป็นภาวะที่เหล่าผู้ฝึกฝนเวทย์ปีศาจต่างปรารถนามากที่สุด เพราะการลืมตัวตนในภาวะนี้ จะทำให้ผู้ฝึกฝนปราศจากความคิดฟุ้งซ่านใด ๆ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์มากที่สุดในการฝึกฝน
แต่อย่างไรก็ตาม ภาวะปีศาจประเภทนี้ก็เข้าถึงได้ยากยิ่ง ผู้ฝึกฝนเวทย์ปีศาจบางคนอาจไม่สามารถเข้าสู่ภาวะนี้ได้เลยแม้สักครั้งในชีวิต ในขณะที่ผู้ฝึกฝนที่มีพรสวรรค์โดยกำเนิดเพียงบางคน อาจเข้าสู่ภาวะนี้ได้ด้วยความบังเอิญหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งคนเหล่านี้เองที่จะกลายเป็นผู้ทรงพลังในเส้นทางแห่งปีศาจ เปี่ยมไปด้วยทักษะอันยอดเยี่ยม และความอุตสาหะที่นำมาซึ่งความรู้ชั้นสูงอีกมากมาย
ในกรณีของหานซั่ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเข้าสู่ภาวะปีศาจ และด้วยเหตุผลใดก็มิอาจทราบได้ เขาก็สามารถเข้าสู่ภาวะอันลึกลับนี้ได้อีกครั้ง ราวกับว่าโลกทั้งใบรวมทั้งตัวตนของเขาเอง ได้ถูกถอดออกไป เหลือไว้เพียงจิตที่ว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์
หานซั่วไม่รับรู้ถึงกาลเวลาอีกต่อไปแล้ว เขาเพียงนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในสุสานแห่งความตายในภาวะไร้ซึ่งตัวตนและความรู้สึกใด ๆ เส้นแสงที่ดูราวกับกระแสไฟฟ้าสีดำโคจรไปรอบ ๆ ร่างของเขาราวกับงู พร้อมกับออร่าที่น่าสะพรึงกลัวก็แผ่ออกมาจากร่างของเขา
ไอระเหยสีเลือดลอยออกมาจากทุกอณูรูขุมขนและลอยคละคลุ้งอยู่รอบตัวของหานซั่ว เขาสูดเอาไอระเหยเหล่านั้นเข้าไปทางจมูก ซึ่งแทรกซึมผ่านเข้ามาภายร่างกายและก่อให้เกิดเป็นวัฏจักรพลังบางอย่าง
หลังจากที่เวลาผ่านไปนานเท่าใดมิอาจรู้ได้ หานซั่วก็ถูกเสียงการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วของอะไรบางอย่างปลุกขึ้นมา เมื่อรู้สึกตัว เขาก็สัมผัสได้ว่าตัวอ่อนปีศาจที่อยู่ภายในร่างนั้นกลายเป็นกระแสพลังที่กำลังหมุนวนด้วยความเร็วสูง และปลดปล่อยพลังงานไปยังแขนขา กระดูก และเส้นชีพจรของเขา
พลังงานนั้นแทรกซึมไปยังทุกอณูในร่างกาย และหล่อหลอมร่างกายอันทรงพลังที่น่าทึ่งมากอยู่แล้วของหานซั่วให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นอีก แต่ทว่า ขณะที่กระแสพลังเหล่านั้นกำลังไหลเวียนอยู่ภายในร่าง ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่คุ้นเคยก็ระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับว่ามีมีดอันแหลมคมจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังทิ่มแทงร่างของเขาอยู่
เมื่อเวทย์ปีศาจพัฒนาสู่ระดับที่สูงขึ้น ร่างกายของคนผู้นั้นก็จะถูกปรับสภาพไปตามปริมาณพลังงานแก่นมนตราที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหัน เพื่อทำให้ร่างกายปรับตัวรับกับการไหลเวียนเชิงคุณภาพของแก่นมนตราที่แปรเปลี่ยนไป ให้ศักยภาพของร่างกายกับการฝึกฝนในอาณาจักรพลังของคน ๆ นั้นอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน
หลังจากที่เคยประสบเหตุการณ์นี้มาหลายครั้ง หานซั่วก็ชินชาเสียแล้วกับความเจ็บปวดอันเสียดแทงของกระบวนการที่ทำให้ร่างทางกายภาพของเขาแข็งแกร่งมากขึ้น เมื่อพลังงานที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากตัวอ่อนปีศาจซึมซาบไปยังอวัยวะส่วนต่าง ๆ และกระดูกทั้งหมด หานซั่วก็สัมผัสได้ว่ากระดูกของเขาคือสิ่งแรกที่มีปฏิกิริยา หลังจากที่ “นิลทรหด” ได้หล่อหลอมกระดูกของเขามาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อพวกมันได้รับพลังงานจากตัวอ่อนปีศาจ ก็ก่อให้เกินการเปลี่ยนแปลงที่น่าประหลาด ในชั่วพริบตาที่หานซั่วยื่นมือซ้ายออกไป และด้วยการสั่งการในความคิด มือซ้ายของเขาก็ยืดยาวขึ้นอีกประมาณ 10 เซนติเมตรอย่างไม่คาดฝัน
หานซั่วตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่นานนัก เขาก็ลองทั้งเตะและต่อยขึ้นไปบนฟ้า และพบว่าตัวเขาเองสามารถยืดกระดูกแขนขาได้ดังใจนึก กระดูกที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าของเขามีความสามารถในการยืดหยุ่นที่น่าอัศจรรย์ขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งแล้ว
และที่น่าประหลาดใจมากที่สุดสำหรับหานซั่ว คือการที่เขาสามารถควบคุมความสั้นหรือยาวของกระดูกเหล่านั้นได้ด้วย!
อีกนัยหนึ่ง เมื่อใดก็ตามที่หานซั่วปล่อยหมัดออกไป แขนของเขาก็จะสามารถยืดออกไปได้ตามต้องการ และหากอยู่ในการจู่โจมระยะประชิด ความสามารถอันน่าอัศจรรย์ในการยืดความยาวแขนและขานี้จะต้องทำให้ศัตรูตั้งตัวไม่ทันและได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะจะไม่สามารถป้องกันได้ดีนัก
ยิ่งไปกว่านั้น หานซั่วก็สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า 10 เซนติเมตรนี้ยังไม่ใช่ขีดจำกัด ดูเหมือนว่าด้วยการฝึกฝนและพลังที่แข็งแกร่งมากขึ้นกว่านี้ จะยิ่งทำให้พัฒนาได้มากขึ้นอีก เขารู้สึกตกใจจนยากเกินพรรณาเมื่อคิดถึงความหมายของมัน และความสามารถอันน่าพิศวงนี้ย่อมไม่มีมนุษย์คนใดสามารถได้มาครอบครองอย่างแน่นอน
และความสามารถนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในความทรงจำของชูชางหลาน ที่ระบุเพียงว่าร่างทางกายภาพของผู้ฝึกฝนเวทย์ปีศาจนั้นจะแข็งแกร่งและทรงพลังเป็นอย่างมาก ซึ่งเมื่อถึงระดับที่แข็งแกร่งขั้นสุด แม้แขนขาที่ขาดก็จะสามารถงอกกลับขึ้นมาใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม ภายในความทรงจำก็ไม่ได้บรรจุข้อมูลใดที่บ่งบอกถึงความสามารถในการยืดหยุ่นของแขนขาที่หดยืดได้ดังใจนี้ไว้เลย
หานซั่วค่อย ๆ คิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง และเข้าใจว่านี่อาจเป็นเพราะ “นิลทรหด” ของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กและศาสตร์ของเวทย์ปีศาจที่ผสมผสานกันจนเกิดผ่าเหล่าขึ้นมาก็เป็นได้ เขาคิดในใจ เพราะศาสตร์ใด ๆ ก็ตามที่คิดค้นขึ้นโดยมนุษย์นั้นไม่เคยคงเดิมตลอดไป หากแต่สามารถวิวัฒนาการไปได้เรื่อย ๆ ด้วยการบำเพ็ญและฝึกฝน
นอกเหนือจากแขนขาที่ยืดหยุ่นได้ อวัยวะภายในของหานซั่ว รวมทั้งเนื้อหนังของเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้น และการหล่อหลอมรอบนี้ เส้นชีพจรของเขาก็ขยายมากขึ้นอีกอย่างน่าตกใจ รวมทั้งการโคจรของแก่นมนตราก็รวดเร็วยิ่งกว่าที่เคย
หลังจากที่ใช้จิตพิจารณาร่างกายของตนเอง หานซั่วก็พบว่า แม้ร่างทางกายภาพจะแข็งแกร่งขึ้น แต่ดูเหมือนเขายังไม่บรรลุสู่อาณาจักรพลังกามอสูร อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้ว่าตนเองยังห่างจากการระดับพลังขั้นต่อไปอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เขารู้แจ้งอย่างถ่องแท้ เขาก็จะบรรลุสู่อาณาจักรพลังกามอสูรทันที
อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนเวทย์ปีศาจในแต่ละอาณาจักรพลังนั้นก็ลึกซึ้งอย่างที่สุด และความเข้าใจก็ไม่ใช่อะไรที่สามารถฝืนบังคับกันได้ แต่ความแข็งแกร่งทางร่างกายของหานซั่วรวมทั้งแก่นมนตราในตอนนี้ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการบรรลุสู่อาณาจักรพลังขั้นต่อไป ตราบใดที่หานซั่วสามารถเข้าใจอาณาจักรพลังกามอสูรได้อย่างถ่องแท้ ตัวอ่อนปีศาจก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง และจิตของเขาก็จะบรรลุสู่อาณาจักรพลังกามอสูรได้ในที่สุด
หานซั่วหายใจออกอย่างแผ่วเบา และยิ้มอย่างขมขื่นขณะนั่งลงในท่าขัดสมาธิอีกครั้ง เขาค่อย ๆ สืบลึกเข้าไปในความทรงจำของชูชางหลาน แต่โชคร้าย แม้แต่ในความทรงจำนั้นก็แสนวุ่นวายสับสน และไม่มีข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับการเข้าถึงอาณาจักรพลังกามอสูรอยู่เลย
หานซั่วจึงรู้ทันทีว่าเขาจำเป็นต้องพึ่งความรู้ความเข้าใจของตนเอง เมื่อปัจจัยอื่นพร้อมหมดแล้ว ก็เหลือเพียงความเข้าใจที่มีต่ออาณาจักรพลังระดับต่อไปของเวทย์ปีศาจนี้เท่านั้น
“ท่านพ่อ ข้าฟื้นตัวดีแล้วล่ะ!”
ขณะที่หานซั่วกำลังนั่งใคร่ครวญอยู่เงียบ ๆ เจ้าผีดิบธาตุดินชั้นยอดก็ส่งกระแสจิตมาถึงเขา
หานซั่วผงะไปชั่วครู่ แต่ไม่นานนักก็ตั้งสติได้ เขาหันหลังกลับไปและพบว่าเจ้าผีดิบธาตุดินชั้นยอดผู้แสนซื่อได้ออกมาจากแดนดินสัมบูรณ์แล้ว และกำลังยืนจ้องมองหานซั่วอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
บริเวณที่เคยกลวงโบ๋ตรงหน้าอกของเจ้าผีดิบธาตุดินกลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์แล้วจริง ๆ
“ดีมาก ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นตัวเสียที คราวหน้า เราจะฆ่าไอ้คนชั่วนั่นให้ได้เลย ข้าสัญญา”
หานซั่วมองไปยังเจ้าผีดิบธาตุดินชั้นยอดและพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
“ข้ารู้ เพราะตอนนี้ท่านพ่อเองก็แข็งแกร่งขึ้นมาก ๆ เลย”
เจ้าผีดิบธาตุดินชั้นยอดส่งกระแสจิตตอบกลับมา
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นข้าจะส่งเจ้ากลับไปก่อน ข้าคงต้องใช้เวลาสักหน่อยที่จะค้นหาวิธีเข้าออกโลกของเจ้าได้อย่างอิสระ บางที หลังจากที่เจ้ากลับไปแล้ว ข้าอาจจะได้พบกับพวกเจ้าทั้งหมดที่โลกนั้นในอีกไม่นานนี้แล้วก็ได้นะ”
หานซั่วยิ้มพลางมองเจ้าผีดิบธาตุดินชั้นยอด
“ตกลง ข้าเองก็คิดถึงพี่น้องของข้าเหมือนกัน ท่านพ่อ รีบเข้ามาที่โลกของพวกเราให้ได้เร็ว ๆ ล่ะ ที่นั่นมีเรื่องน่าสนใจให้เสาะหาอีกเยอะแยะเลย”
เจ้าผีดิบธาตุดินชั้นยอดส่งกระแสจิตตอบ
“อื้ม ข้ารู้แล้วล่ะ”
หานซั่วรับคำ ก่อนจะส่งเจ้าผีดิบธาตุดินชั้นยอดกลับไปยังมิติมืด
หลังจากที่ส่งมันกลับไปแล้ว หานซั่วก็ไม่ได้ครุ่นคิดถึงอาณาจักรพลังกามอสูรอีกต่อไป หากแต่เริ่มค้นคว้าหาวิธีการใช้คทาหัวกระโหลกเพื่อเข้าออกมิติมืดได้อย่างอิสระ
ทั้ง “อัญมณีบริสุทธิ์” และ “นิลทรหด” ล้วนให้ประโยชน์ต่อพลังจิตและร่างทางกายภาพของหานซั่วอย่างมหาศาล สิ่งที่น่าอัศจรรย์ซึ่งมีอยู่เพียงในมิติมืดเหล่านี้กระตุ้นความสนใจของเขามากพอควร และทำให้เขารู้ว่า นอกจากมิติมืดจะเต็มไปด้วยอสูรมากมายนับไม่ถ้วนแล้ว มันยังเป็นดินแดนที่มีขุมทรัพย์อันล้ำค่ามายมายซ่อนอยู่อีกด้วย
และที่สำคัญที่สุด คือมีเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กและผีดิบแห่งธาตุชั้นยอดตนอื่น ๆ อยู่ที่นั่น ในเมื่อเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กถึงกับตั้งชื่อตัวเองว่าหานเฮ่า นั่นก็แปลว่าสติปัญญาของมันเองก็สูงขึ้นไม่น้อย นอกเหนือจากร่างกายที่เป็นโครงกระดูกแล้ว ตอนนี้ก็ถือว่าตัวตนของมันเทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั่วไปที่มีจิตใจและความนึกคิดเป็นของตัวเอง และสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองแล้วด้วยเช่นกัน
หานซั่วยังคงคิดไม่ตกและสงสัยอย่างที่สุดเกี่ยวกับทั้งเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กและผีดิบตนอื่น ๆ จึงมีเพียงการครอบครองพลังที่วิญญาณของเขาสามารถเข้าออกมิติมืดได้อย่างอิสระเท่านั้น ที่จะทำให้หานซั่วเข้าใจเกี่ยวกับพวกมัน หรือแม้แต่ช่วยให้เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กและผีดิบตนอื่น ๆ ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น