Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 431
ขณะที่เอมิลี่กำลังเงี่ยหูฟังเสียงหอบหายใจที่ดังอยู่ภายในห้อง ร่างกายของเธอก็เริ่มร้อนรุ่มขึ้นมา และอ่อนแรงลงอย่างไม่รู้ตัว ลมหายใจของเธอเริ่มกระเส่าไม่เป็นจังหวะ
ด้วยการกระตุ้นของหานซั่ว ฟีบี้ก็ถึงจุดสุดยอดอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเธอไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและรู้สึกราวกับว่าจิตใจกำลังล่องลอยไปไกล ในสภาพที่มิอาจหลีกหนีได้เมื่อครู่ ซึ่งเธอต้องอยู่ในท่าที่น่าอายเป็นเวลานานทีเดียว แต่สุดท้ายแล้ว เสียงครางของเธอค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ
เช่นเดียวกับเอมิลี่ แฟนนี่ซึ่งอยู่ห่างออกไปในห้องของเธอก็สามารถได้ยินแม้กระทั่งเสียงหอบหายใจที่แผ่วเบาที่สุด หัวใจของเธอกระสับกระส่าย ภาพที่เธอกับหานซั่วเคยใกล้ชิดกันผุดขึ้นมาวนเวียนอยู่ในหัว และเมื่อแฟนนี่คิดถึงสิ่งที่ฟีบี้และหานซั่วกำลังทำกันอยู่ในตอนนี้ เธอก็รู้สึกทั้งเจ็บปวดและอิจฉา
ความรู้สึกนี้ผสานเข้ากับความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ของการรอคอยอย่างคาดหวัง และทำให้หัวใจของเธอสับสนวุ่นวาย เธอไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นและไม่สามารถสงบใจลงได้ ทั้งร่างกายและใบหน้าของเธอเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา
เสียงครางยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะจบลงด้วยเสียงครางและเสียงคำรามที่ร้องดังลั่นขึ้นมาพร้อมกัน เอมิลี่ที่กำลังเข่าอ่อนขณะที่เธอเอาหูแนบกับประตู ก็หันหลังกลับและเอนพิงประตูด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่ทันใดนั้นเอง ประตูกลับไม่ได้ล็อคไว้แน่นหนาอย่างที่คิด ทำให้ประตูเปิดออกและเอมิลี่ก็หงายหลังล้มก้นจ้ำเบ้าเข้าไปในห้อง
ใบหน้าของเอมิลี่แดงเรื่อ หน้าอกของเธอกระเพื่อมไปมาขณะกำลังหอบหายใจ ภายในดวงตาของเธอรื้นไปด้วยแรงปรารถนาขณะจ้องมองอย่างตกตะลึงไปยังร่างกายเปลือยเปล่าของหานซั่วที่น่าเกรงขามอย่างร้ายกาจ
ในตอนนั้น หานซั่วเพิ่งจะวางฟีบี้ที่หมดสติไปแล้วลงบนเตียง แล้วสายตาหื่นกระหายของเขาก็จับจ้องมาที่เอมิลี่ที่เพิ่งจะล้มเข้ามาในห้อง หานซั่วรู้ถึงการเคลื่อนไหวของเธอก่อนหน้านี้ และรู้ว่าเอมิลี่กำลังแอบฟังอยู่นานแล้ว
หานซั่วซึ่งยังปลดปล่อยความใคร่ได้ไม่เต็มที่ ก็พลันคำรามออกมาและพุ่งเข้าใส่เอมิลี่ราวกับสายฟ้า เขารวบร่างกายปวกเปียกของเธอขึ้นมาและกดร่างไว้กับกำแพง มือของเขาฉีกทึ้งเสื้อผ้าของเธอออกอย่างอดรนทนไม่ได้ ส่วนเอมิลี่ที่ไม่สามารถสะกดกลั้นความปรารถนาไว้ได้อีกแล้ว เธอก็ยินยอมหานซั่วแต่โดยดี และรีบสะบัดเสื้อผ้าที่ถูกหานซั่วฉีกขาดทิ้งไปเช่นกัน เมื่อแฟนนี่ได้ยินเสียงครางของเอมิลี่ เธอก็เริ่มสาปแช่งคนทั้งสามเพราะตกใจกับพฤติกรรมของพวกเขา
หลังจากเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ หานซั่วก็คว้าเสื้อคลุมยาวขึ้นพาดบ่าและเดินไปยังห้องของแฟนนี่ แฟนนี่ที่หน้าแดงเรื่อเพราะแอบฟังการกระทำของพวกเขาอยู่ห่าง ๆ มาโดยตลอด เมื่อเธอได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ กำลังใกล้เข้ามา หัวใจของเธอก็เต้นระส่ำอย่างรุนแรงจนแทบระเบิดออกมานอกอก
เมื่อหานซั่วมาถึงห้องของเธอ แฟนนี่ก็ทำอะไรไม่ถูก และรีบยืนขึ้น ใบหน้าของเธอแดงก่ำขณะจ้องมองหานซั่วและพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก
“จ… เจ้า… เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“แล้วเจ้าคิดว่าไงล่ะ?”
หานซั่วยิ้มอย่างอ่อนโยน เขาจ้องมองแฟนนี่และเดินมาหาเธออย่างช้า ๆ
เมื่อแฟนนี่เห็นหานซั่วเดินเข้ามาหา เธอก็รีบถอยหลังไปด้วยความกลัว เมื่อเธอไม่มีพื้นที่ว่างพอให้ถอยหนีได้อีกแล้ว เธอจึงผลักหานซั่วออกไป และเอามือปิดจมูก
“เจ้า… บ้าที่สุดเลย เจ้ายังไม่ล้างเนื้อล้างตัวก่อนมาหาข้าด้วยซ้ำ วันนี้ข้าไม่ให้เจ้าทำแบบนั้นหรอก ถ้าเจ้ายังมีกลิ่นของคนอื่นติดตัวแบบนี้ ข้าไม่มีทางทนได้เด็ดขาด”
แฟนนี่ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องอย่างว่า ย่อมไม่เปิดใจกว้างอย่างเอมิลี่หรือฟีบี้ซึ่งเคยผูกพันทางกายกับหานซั่วมาเป็นระยะเวลานาน เธอจึงไม่สามารถยอมรับที่หานซั่วมาใกล้ชิดกับเธอหลังจากที่เพิ่งมีอะไรกับผู้หญิงคนอื่นมา
ขณะที่หานซั่วมองแฟนนี่ที่กำลังตื่นกลัว เขาก็รู้ว่าแฟนนี่ไม่สามารถยอมรับได้จริง ๆ หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หานซั่วก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเลิกล้มความตั้งใจ และแฟนนี่ก็ได้ช่วยเขาทำความสะอาดเหงื่อและคราบสกปรกทั้งหมดบนร่างกายในอ่างอาบน้ำของเธอ จากนั้น เขาก็สวมกอดเธออย่างอ่อนโยน และพร่ำพูดคำหวานอยู่นานสองนาน เขาไม่ได้บังคับขืนใจเธอแต่อย่างใด
หลังจากผ่านไป 1 คืน หานซั่วก็ออกจากปราสาทและตรงไปยังเขตเหนือคนเดียวโดยไม่ได้บอกลาผู้หญิงของเขา และตรงไปยังวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายในนครออซเซ็นทันที
หลังจากที่เวลาผ่านไปนาน วงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายซึ่งถูกปิดผนึกไว้โดยจอมขมังเวทย์ห้วงมิติศักดิ์สิทธิ์ซาบาคัส ก็ถูกเปิดผนึกให้กลับมาใช้ได้ตามปกติอีกครั้ง
หลังจากที่สงครามการปฏิวัติซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้สิ้นสุดลง ฐานะของหานซั่วภายในจักรวรรดิแลนซล็อตก็ถูกยกย่องเชิดชูมากขึ้นกว่าเดิม หากไม่เป็นเพราะหานซั่วเก็บฝึกฝนเพื่อดูดกลืนพลังงานเมื่อ 2-3 วันก่อน ลอว์เรนซ์คงจะแต่งตั้งยศที่สูงขึ้นให้กับหานซั่วไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหานซั่วจะหายตัวไป 2-3 วัน พวกคนใหญ่คนโตมากมายภายในนครออซเซ็นต่างก็ได้ยินกิตติศัพท์ฝีมืออันน่าตื่นตะลึงของหานซั่วในช่วงสงครามการปฏิวัติ โดยเฉพาะเรื่องที่เขาต่อสู้กับยอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์ถึง 2 คน ด้วยตัวคนเดียว และทำให้ทั้งคู่ต้องระเห็จหนีไป แม้กระทั่งเรื่องที่สามารถทำให้อัศวินศักดิ์สิทธิ์เบลานต์ถึงกับได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วจักรวรรดิแลนซล็อต
ชื่อของหานซั่วถูกกล่าวถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั่วทั้งจักรวรรดิ และยังลือกันไปอีกว่าสามารถก้าวข้ามความแข็งแกร่งของทั้งจอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรล และจอมขมังเวทย์ห้วงมิติศักดิ์สิทธิ์ซาบาคัส และกลายเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของจักรวรรดิแลนซล็อตไปเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น เมื่อหานซั่วมาถึงวงเวทย์มิติเคลื่อนย้าย สายตาของเหล่าทหารยามจึงเต็มไปด้วยความชื่นชมและตื่นเต้น เมื่อเห็นหานซั่วปรากฏตัว
“มาร์ควิสไบรอันนี่นา! ท่านมาร์ควิสไบรอันจริง ๆ ด้วย!”
“โอ ใช่เขาจริง ๆ ให้ตาย ข้าได้พบท่านมาร์ควิสด้วยล่ะ!”
“นายท่านขอรับ ท่านมาที่นี่เพื่อใช้วงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายใช่มั้ย?”
ทหารที่ยืนยามอยู่บริเวณวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายมีท่าทีปลาบปลื้มชื่นชมอย่างที่สุด ขณะเอ่ยถามหานซั่วด้วยความเคารพ แม้แต่พ่อค้าจำนวนหนึ่งที่เดินอยู่ห่าง ๆ และเห็นท่าทีตื่นเต้นของพวกทหาร พวกเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วยและรีบกรูกันเข้ามา โดยหวังว่าจะได้เหลือบมองหานซั่วสักแว่บหนึ่งก็ยังดี
เมื่อหานซั่วเห็นว่าฝูงชนกำลังรีบกรูเข้ามารุมรอบตัวเขาราวกับสายน้ำหลาก เขาจึงรีบตอบทันที
“ข้าต้องการใช้วงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายไปยังนครทะเลหมอกน่ะ ช่วยจัดการให้ข้าที”
“ไม่มีปัญหา เชิญทางนี้เลยขอรับนายท่าน ข้าจะช่วยท่านจัดการให้อย่างเร่งด่วนเลย”
หัวหน้าทหารรักษาความปลอดภัยตอบด้วยความเคารพ และก้มตัวเพื่อเชิญให้หานซั่วเข้าไปยังวงเวทย์มิติเคลื่อนย้าย
หานซั่วเพิ่งจะตระหนักได้ว่าภายหลังสงครามในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา สถานะของเขาในจักรวรรดิแลนซล็อตนั้นสูงขึ้นอย่างเหลือเชื่อ จากสายตาของพวกทหารและพ่อค้า หานซั่วสามารถบอกได้เลยว่าพวกเขาปลาบปลื้มในตัวเขาเองมากแค่ไหน เขาไม่กล้าที่จะโอ้เอ้อยู่นานนัก จึงรีบเข้าไปยืนในวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายทันที และด้วยการจัดการของหัวหน้าทหาร วงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายเริ่มรวบรวมพลังงานไว้ภายในคริสตัลเวทมนตร์ มีแสงสว่างจ้าวาบขึ้นมา แล้วหานซั่วก็มาปรากฏตัวที่นครทะเลหมอก
ทันทีที่มาถึงที่นี่ หานซั่วก็รู้สึกถึงสายสัมพันธ์บางอย่างพลันเด่นชัดขึ้นมา แล้วเขาก็รู้ในทันทีว่าผีดิบธาตุโลหะชั้นยอดได้หล่อหลอมเสร็จสมบูรณ์แล้ว
เยี่ยมไปเลย ในที่สุด ผีดิบชั้นยอดทั้ง 5 ธาตุก็หล่อหลอมครบสักที! หานซั่วรู้สึกทั้งประหลาดใจและปลาบปลื้ม เขาไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่ในนครทะเลหมอกอีกต่อไป ก่อนจะรีบพุ่งตัวไปยังมุมเงียบ ๆ มุมหนึ่ง และใช้ศาสตร์เทพอสูรเพื่อบินข้ามขอบฟ้าไปราวกับสายฟ้า เพื่อกลับไปยังนครเบรทเทลในทันที
เป็นเวลา 2-3 เดือนที่เขาไม่ได้กลับมาที่ภูเขาแพรไหม หานซั่วพบว่าจำนวนเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ นั้นมีมากกว่าเดิมถึง 5-6 เท่า ในขณะที่โรงงานยุทโธปกรณ์นั้นกินพื้นที่กว่าครึ่งของภูเขาแพรไหม ด้วยจำนวนช่างเหล็กนับพันที่กำลังหลอมอาวุธกันอย่างบ้าคลั่ง
พื้นที่โดยรอบของนครเบรทเทลนั้นอุดมไปด้วยหินแร่มากมาย เดิมทีแล้ว ไม่มีใครต้องการอยู่ในนครเบรทเทลเพราะสงครามที่เกิดขึ้นต่อเนื่องอย่างไม่รู้จบ เพราะเหตุนี้ จึงทำให้ไม่เคยมีเครื่องไม้เครื่องมือใด ๆ หรือกิจกรรมใด ๆ เกิดขึ้นที่นี่มาก่อน แม้อาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ที่เหล่าทหารต้องใช้ ก็ต้องซื้อหามาจากเมื่องอื่น
ในตอนนี้ นครเบรทเทลซึ่งผ่านสงครามทั้งเล็กและใหญ่มาหลายครั้ง ปัจจุบันได้กลายเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งราวเหล็กกล้า ใครก็ตามที่ต้องการจู่โจมนครเบรทเทลจำต้องคิดแล้วคิดอีกว่าสรรพกำลังของพวกตนเพียงพอหรือไม่ เมื่อความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สามารถวางใจได้ และนครเบรทเทลก็มีทั้งทรัพยากรและกำลังคนมากมาย การก่อตั้งโรงงานยุทโธปกรณ์จึงเกิดขึ้นตามมา หลังจากที่มาถึงภูเขาแพรไหม หานซั่วก็สำรวจบริเวณโดยรอบภูเขาด้วยวิสัยทัศน์ของปีศาจอาคม ทำให้เห็นการดำเนินการของโรงงานยุทโธปกรณ์ภายในภูเขาแพรไหม เขาพยักหน้า พลางคิดว่าด้วยโรงงานยุทโธปกรณ์พวกนี้ พวกทหารในนครเบรทเทลก็ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับอาวุธและชุดเกราะอีกต่อไป
หานซั่วเข้าไปในเหมืองตามลำพังโดยไม่ได้บอกให้เอเดิลแมนรู้ เขาเดินเตร็ดเตร่ลึกเข้าไป เมื่อเข้าไปถึงพื้นที่ที่เคยพบมนุษย์หิน เขาก็สังเกตเห็นป้ายไม้ขนาดใหญ่ เขียนเอาไว้ว่า “ห้ามเข้าไปทำเหมืองลึกกว่านี้” ด้วยตัวหนังสือขนาดใหญ่
ดูเหมือนว่าเอเดิลแมนและคนอื่น ๆ จะจดจำคำแนะนำของหานซั่วจนขึ้นใจ พวกเขาห้ามไม่ให้ใครเข้ามารบกวนพื้นที่โดยรอบแดนโลหะสัมบูรณ์ และนาน ๆ ครั้ง ถึงจะส่งคนเข้ามาเก็บแร่ที่พวกมนุษย์หินช่วยกันนำมาให้ตามคำแนะนำของหานซั่ว ด้วยเหตุนี้ จึงไมเกิดเหตุการณ์ใด ๆ กระทบกับความสัมพันธ์ซึ่งเป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ฝ่าย
เมื่อหานซั่วเข้าไปภายในแดนโลหะสัมบูรณ์ สิ่งแรกที่ประจักษ์ต่อสายตาของเขาก็คือแสงสีทองเรืองรองที่ส่องประกายออกมาจากแท่งเสาสีทอง แล้วผีดิบธาตุโลหะชั้นยอดส่งกระแสจิตมายังหานซั่วทันที ขณะที่เหล่าวิญญาณที่อยู่ภายในแดนโลหะสัมบูรณ์ก็ลอยวนเวียนอยู่รอบตัวหานซั่ว และอธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ ระหว่างที่เขาไม่อยู่ให้ฟัง
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ไม่มีใครเข้ามาที่นี่หรอก พวกเจ้ายังคงฝึกฝนอยู่ที่นี่ได้ต่อไป แต่ก็ยังต้องทำอะไรบางอย่างให้ข้าเหมือนเดิมนะ”
หานซั่วพูดกับเหล่าวิญญาณ
“พวกเรายินดีรับใช้ท่าน!”
เหล่าวิญญาณตอบ
หานซั่วไม่ได้พูดอะไรอีก และตรงไปยังบริเวณที่ผีดิบธาตุโลหะชั้นยอดอยู่ เหมือนกับครั้งที่แล้ว หานซั่วเปิดผนึกที่ปิดกั้นพลังงานธาตุโลหะเอาไว้ และปลดปล่อยผีดิบธาตุโลหะชั้นยอดออกมา
แสงสีทองเป็นประกายสว่างไสวไปทั่วพื้นที่ เมื่อผีดิบธาตุโลหะชั้นยอดซึ่งสวมใส่เกราะสีทองปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าแท่งเสาสีทอง มันวางมือทั้ง 2 ลงไปที่เสา ทำให้แหล่งพลังงานดั้งเดิมทั้งสองผสานเข้าด้วยกันในทันที
ขณะที่หานซั่วเฝ้ามองอย่างตั้งใจ เสาสีทองซึ่งเคยสูงตระหง่านก็เริ่มหดตัวลงทีละน้อย จนกลายเป็นเพียงกระบองสั้น ๆ สีทอง เจ้าผีดิบธาตุโลหะชั้นยอดจับมันไว้และเริ่มกวัดแกว่งไปมา
หานซั่วตกตะลึงในทันที ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าขุมพลังธาตุโลหะที่ใช้เวลาหล่อหลอมมานานนับล้านปีนี้เป็นเหมือนกับอาวุธลี้ลับของตัวละครในตำนานในโลกที่เขาเคยอยู่ มันคือกระบองสีทองที่เปลี่ยนขนาดได้ตามต้องการ และยังมีน้ำหนักมากเท่าภูเขา
ผีดิบชั้นธาตุโลหะยอดถือกระบองสีทองไว้ในมือ และในเมื่อผีดิบธาตุโลหะชั้นยอดถูกหล่อหลอมด้วยพลังธาตุโลหะอันบริสุทธิ์ พลังงานในตัวของมันจึงเหมาะสมและคู่ควรที่จะควบคุมกระบองทองคำ นอกจากผีดิบธาตุโลหะชั้นยอด แม้แต่หานซั่วในตอนนี้ก็พบว่ามันเป็นเรื่องยากอย่างเหลือแสนที่จะกวัดแกว่งกระบองสีทอง และไม่สามารถสำแดงพลังที่แท้จริงของกระบองออกมาได้เลย
ขณะที่ผีดิบธาตุโลหะชั้นยอดเหวี่ยงขุมพลังธาตุโลหะไปมาโดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลยแม้แต่น้อย มันก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก แต่เป็นเพราะมันเพิ่งจะได้รับการหล่อหลอมขึ้นเป็นผีดิบธาตุโลหะชั้นยอด มันจึงยังมีสติปัญญาไม่มากนัก และทำได้เพียงแสดงออกให้เห็นถึงความดีใจที่ได้เกิดใหม่อีกครั้ง
“เอาล่ะ เลิกเล่นได้แล้ว เจ้าจะเติบโตได้เร็วขึ้นหากไปที่นั่น”
หานซั่วหัวเราะ พลางร่ายเวทย์เพื่ออัญเชิญเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กมาจากมิติมืด
เมื่อเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กปรากฏตัวขึ้นจากอีกโลกหนึ่ง และเห็นผีดิบธาตุโลหะชั้นยอดที่ส่องแสงเรืองรอง ดวงตาปีศาจสีม่วงของมันก็เป็นประกายวูบวาบขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบส่งกระแสจิตเพื่อสื่อสารกับหานซั่ว
“ขอบคุณท่านพ่อ! ตอนนี้เราก็มีพี่น้องเพิ่มอีกคนแล้ว!”
“ฮะ ๆ พาเขากลับไปกับเจ้าด้วยนะ”
หานซั่วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพ่อ ทำไมเจ้าโลหะกับเจ้าไฟ ถึงมีอาวุธด้วยกันทั้งคู่ล่ะ ส่วนเจ้าดิน กับเจ้าไม้ แล้วก็เจ้าน้ำไม่เห็นจะมีเลย?”
เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กไม่ได้จากไปในทันทีอย่างที่หานซั่วตั้งใจ แต่กลับมองไปที่กระบองสีทองที่เจ้าผีดิบธาตุโลหะถืออยู่ในมือและร้องถาม
เจ้าดิน เจ้าไม้ เจ้าน้ำ เจ้าโลหะ แล้วก็เจ้าไฟอย่างนั้นรึ?
หานซั่วจ้องมองด้วยความทึ่งอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ดึงสติกลับมาได้หลังจากนั้น
ดูเหมือนเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กจะตั้งชื่อให้พวกนั้นสินะ ไม่เลวเลย ตั้งแต่ที่พวกเขามีสติปัญญามากขึ้น พวกมันก็ไม่ใช่อสูรมิติมืดธรรมดา ๆ อีกต่อไปแล้ว มีชื่อเป็นของตัวเองเสียทีก็ดีเหมือนกัน
หานซั่วคิดในใจ
“เพราะแดนอัคคีสัมบูรณ์ และแดนโลหะสัมบูรณ์อยู่มานานกว่าแดนธาตุสัมบูรณ์อีก 3 แห่งน่ะ หลังจากเวลาผ่านไปหลายล้านปี ขุมพลังธาตุไฟและธาตุโลหะก็เลยถือกำเนิดขึ้นมา ส่วนแดนธาตุสัมบูรณ์อีก 3 แห่ง เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่หมื่นปีเท่านั้นเอง เพราะงั้นก็เลยไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสร้างขุมพลังแห่งธาตุขึ้นมาได้”
หานซั่วอธิบายกับเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก
“ถ้าอย่างนั้น จะมีที่อื่นที่สามารถหล่อหลอมอาวุธแบบนั้นได้อีกรึเปล่า? ข้ารู้สึกว่าอาวุธที่เจ้าไฟกับเจ้าโลหะใช้จะถูกหล่อหลอมขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะเลย แล้วพลังของพวกนั้นก็เพิ่มขึ้นมหาศาลเพราะอาวุธนั่นด้วย ข้าอยากหาอาวุธแบบเดียวกันให้เจ้าน้ำ เจ้าดิน แล้วก็เจ้าไม้บ้าง!”
เจ้าโครงกระดูกส่งกระแสจิตออกมา
หานซั่วตัวผงะไปทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กพูด ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
จริงด้วย! อาณาจักรแห่งความลึกล้ำกว้างใหญ่จะตายไป น่าจะมีแดนสัมบูรณ์ของธาตุทั้ง 5 อยู่ที่อื่นอีก บางทีสถานที่เหล่านั้นอาจจะหล่อหลอมขุมพลังแห่งธาตุขึ้นมาก็ได้! หานซั่วคิดในใจ และมองในแง่ดีมากขึ้นหลังจากที่เขาถูกเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กเตือนสติ
“ขอบใจที่เตือนนะ ข้าจะจำไว้!”
หานซั่วยิ้มและพูดกับเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก เขาเริ่มร่ายเวทย์เพื่อเตรียมจะส่งเจ้าผีดิบธาตุโลหะชั้นยอดและเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กกลับไปยังมิติมืด
แต่ก่อนที่พวกมันจะอันตรธานหายไป เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กก็ส่งกระแสจิตออกมาอีกครั้ง
“ท่านพ่อ ข้าคิดชื่อให้ตัวเองได้แล้วล่ะ ชื่อของข้าคือ หานห้าว!”
** 韩浩 = Han hào
(浩 hào = มากมายและยิ่งใหญ่)