Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 430
ปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในนครออซเซ็นยังคงดำเนินต่อไป และที่ใดมีสงคราม ที่นั่นย่อมต้องเต็มไปด้วยความตาย หากรวมจำนวนผู้เคราะห์ร้ายจนกระทั่งในช่วง 2 วันที่ผ่านมา อาจมีทหารที่ตายไปภายในนครออซเซ็นอย่างน้อยก็ 40,000 คน
มวลจิตสังหารบนท้องฟ้าที่ปกคลุมทั่วทั้งนครออซเซ็นและทำให้ผู้คนต้องรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก ราวกับว่ามีหินก้อนใหญ่มากดทับหน้าอกของพวกเขาเอาไว้ แม้แต่ยอดฝีมือบางคนก็สัมผัสได้ว่าธาตุมนตราที่กระจายอยู่ทั่วไปนั้นดูจะได้รับผลกระทบจากพลังงานนี้ด้วยเช่นกัน
หานซั่วยืนอยู่บนหอนาฬิกาของปราสาท พลางมองขึ้นไปยังท้องฟ้า แล้วกระแสพลังขนาดใหญ่ที่หมุนวนก็ก่อร่างขึ้น มันค่อย ๆ กลืนกินพลังงานชั่วร้ายที่กระจายอยู่ทั่วนครออซเซ็นทีละน้อย พร้อมกันกับที่คมมีดพิชิตมารพุ่งขึ้นไปบนฟ้า และก่อให้เกิดกลุ่มเมฆสีเลือดปรากฏบนท้องฟ้าอีกครั้ง
ในครั้งนี้ หานซั่วระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อคมมีดพิชิตดูดกลืนพลังงานด้านลบเหล่านั้นอย่างช้า ๆ ทำให้ความเร็วของกลุ่มเมฆสีเลือดที่ค่อย ๆ หนาแน่นขึ้นนั้นเชื่องช้าลงไปด้วย การเปลี่ยนแปลงของพลังงานภายในคมมีดจึงเป็นไปอย่างลื่นไหล ซึ่งหานซั่วก็สามารถจัดการให้พลังงานที่เป็นปฏิปักษ์กันนั้นผสมผสานกันได้ในที่สุด ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายมันเข้าสู่ภายในด้ามของคมมีดพิชิตมาร
ไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะการดูดกลืนพลังจาก “นิลทรหด” ไปเมื่อครั้งที่แล้วหรือไม่ แต่ความเร็วในการชำระล้างจิตสังหารของหานซั่วนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก จิตสังหารอันหนาแน่นที่เคยถูกดูดกลืนโดยกระแสพลังที่หมุนวนบนฟ้าเมื่อครู่จะถูกขจัดความไม่บริสุทธิ์ไปอย่างรวดเร็ว และพลังงานที่ได้รับการชำระล้างนั้นจะหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของหานซั่ว ซึ่งแก่นมนตราจะทำหน้าที่หล่อหลอมต่อไปอีกทอดหนึ่ง เพื่อให้กลายเป็นพลังงานที่เหมาะสมพอให้ตัวอ่อนปีศาจได้ดูดซับเอาไว้ และด้วยกระบวนการสกัดกลั่นความบริสุทธิ์ถึง 2 ขั้นตอนนี้เอง หานซั่วจึงดูดกลืนจิตสังหารอันหนาแน่นไปแล้วถึง 1 ใน 10 แม้จะดูเหมือนน้อย แต่เป็นเพราะจำนวนผู้เคราะห์ร้ายที่ตายในนครออซเซ็นมีมากมายเหลือคณา เพียง 1 ใน 10 ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อหานซั่วได้อย่างน่าตกตะลึง
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
หลังจากที่เข้าสู่ภาวะปีศาจเมื่อครั้งที่แล้ว หานซั่วก็ระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม ไม่โลภมาก และไม่ใจร้อนเพื่อหวังผลในความเร็ว เขาค่อย ๆ ดูดกลืนพลังไปทีละน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองต้องคุ้มคลั่งและตกสู่ภาวะปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวอีกครั้ง
เวลาผ่านไปอย่างเงียบเชียบ เมื่อครบวัน ท้องฟ้าเหนือปราสาทก็แปรเปลี่ยนเป็นสีเลือดโดยสมบูรณ์ เมื่อพระอาทิตย์สาดส่องลงมา ก็ทำให้ทั้งปราสาทดูราวกับว่าถูกปกคลุมไปด้วยเลือด พร้อมกับกลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ
กระแสพลังหมุนวนที่ดำทะมึนนั้นเต็มไปด้วยสายฟ้าที่ลั่นอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางกลุ่มเมฆสีเลือดขนาดใหญ่ แล้วจิตสังหารอันชั่วร้ายก็แผ่กระจายออกไป ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไปตาม ๆ กัน
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานถึง 3 วัน และแล้ว พวกชาวเมืองต่างก็รู้สึกว่าอาการแน่นหน้าอกนั้นจู่ ๆ ก็หายเป็นปลิดทิ้ง เหล่ายอดฝีมือเองก็สัมผัสได้ถึงพลังมนตราที่อบอวลภายในนครออซเซ็นต่างรวมตัวกันพุ่งไปทางเขตเหนือ และอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่เหล่ายอดฝีมือที่ปกป้องลอว์เรนซ์ก็ตระหนักได้ว่าปรากฏการณ์ประหลาดทั้ง 2 อย่างบนท้องฟ้านั้นค่อย ๆ ลดน้อยลง รวมทั้งกลิ่นคาวเลือดอันรุนแรง ส่วนกลุ่มเมฆหนาแน่นเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นสีแดงดุจเลือดอีกต่อไป และเริ่มจางลงเรื่อย ๆ …ภายใน 2 วัน กลุ่มเมฆที่ลอยปกคลุมเหนือปราสาทก็ถูกพัดจนกระจายหายไป และกระแสพลังที่หมุนวนเหนือหอนาฬิกาก็อันตรธานหายไปด้วยเช่นกัน ภาพท้องฟ้าอันสดใสของเขตเหนือปรากฏขึ้นอีกครั้ง แสงอาทิตย์อันอบอุ่นสาดส่องไปทั่วทุกมุมเมืองภายในเขตเหนือ ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกสบายและอบอุ่น
หานซั่วถอนหายใจอย่างแผ่วเบา เขาค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมาจากภาวะการเข้าฌาน และสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง มันปกคลุมทั้งเส้นชีพจร กระดูก หรือแม้แต่เนื้อหนังของเขาเอาไว้ ทำให้หานซั่วรู้สึกราวกับร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที หานซั่วรู้ดีว่าพลังงานบนท้องฟ้าทั้งหมดถูกดูดกลืนเข้าสู่ร่างกายของเขาแล้ว และเขาก็จำเป็นต้องเก็บตัวฝึกฝนอย่างจริงจัง เพื่อควบคุมพลังงานเหล่านั้นให้ผสานเข้ากับพลังงานดั้งเดิมในร่างกายของเขาอย่างสมบูรณ์ และบรรลุสู่อาณาจักรพลังระดับต่อไป
คมมีดพิชิตมารลอยกลับมาสู่มือของเขาอย่างเงียบเชียบและอ่อนแรง อย่างไรก็ตาม หานซั่วยังคงสามารถสัมผัสถึงการโคจรอันดุเดือดของพลังงานภายในนั้นได้ เป็นเพราะคมมีดพิชิตมารดูดกลืนพลังงานไปมากกว่าหานซั่ว พลังงานเหล่านั้นจึงคุ้มคลั่งและควบคุมได้ยากยิ่งกว่า ซึ่งถ้าหากว่ามันดูดกลืนพลังงานเข้าไปอย่างเต็มพิกัด ก็อาจต้องใช้เวลามากกว่านี้มากทีเดียว
เช่นนั้นแล้ว ทั้งหานซั่วและคมมีดพิชิตมารจึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการจัดการกับพลังทั้งหมดที่ดูดกลืนมา ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
หลังจากที่เดินลงจากหอนาฬิกา หานซั่วก็มุ่งหน้าไปยังห้องรับรองบริเวณชั้น 2 ที่ซึ่งเอมิลี่ แฟนนี่ และฟีบี้อยู่ โดยระหว่างทาง ปีศาจอาคมทั้ง 12 ตนก็คอยประจำตำแหน่งอยู่ตามจุดต่าง ๆ เพื่อสะท้อนภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ กลับมายังหานซั่ว
หลังจากที่ไม่กี่วันผ่านไป สงครามภายในทั้ง 4 เขตของนครออซเซ็นก็สิ้นสุดลง รวมทั้งการต่อสู้ที่เกิดขึ้นภายในปราสาท ลอว์เรนซ์และกลุ่มผู้สนับสนุนต่าง ๆ ได้ย้ายไปยังพระราชวังเป็นการชั่วคราว ในขณะที่คฤหาสน์ของแอชเบิร์นและลอว์เรนซ์นั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของการต่อสู้จนพังทลายไม่มีชิ้นดี
“ไบรอัน!”
แฟนนี่ร้องตะโกนขึ้นด้วยความประหลาดใจทันทีที่เธอเห็นหานซั่วเดินใกล้เข้ามา
ในขณะที่เอมิลี่กำลังนั่งสมาธิเพื่อเพิ่มพูนพลังจิต และฟีบี้ก็กำลังฝึกซ้อมการต่อสู้ของตนเอง เมื่อได้ยินเสียงร้องของแฟนนี่ พวกเธอก็หยุดทุกสิ่งอย่างที่กำลังทำอยู่ และรีบพุ่งตัวไปยังห้องนั่งเล่นที่แฟนนี่อยู่ทันที สายตาของทั้ง 3 คนจับจ้องไปที่หานซั่วเป็นตาเดียว
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
“คนบ้า ไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าจะหนีไปฝึกคนเดียวในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย!”
ฟีบี้บ่นอุบอย่างขุ่นเคือง
“สถานการณ์ในนครออซเซ็นเป็นยังไงบ้างแล้วล่ะ?”
หานซั่วเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้มเจื่อน ๆ
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ดยุคแอชเบิร์นถูกท่านจอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลฆ่าตาย เจ้าชายชาลส์ก็ถูกนำตัวไปคุมขังแล้ว ส่วนเจ้าชายอีก 2 พระองค์ที่เหลือก็ละทิ้งความคิดที่จะต่อสู้เพื่อแย่งชิงบัลลังค์ เพราะประจักษ์แล้วว่าอำนาจและอิทธิพลของลอว์เรนซ์ยิ่งใหญ่กว่าตัวเองมาก ลอว์เรนซ์ในตอนนี้กำลังวุ่นอยู่กับการบริหารจัดการและพยายามเอาชนะใจผู้คน ข้าคิดว่าคงใช้เวลาไม่นานหรอก ก่อนที่เขาจะได้ขึ้นครองบัลลังค์อย่างเป็นทางการ”
เอมิลี่อธิบายกับหานซั่ว
“เยี่ยมเลย งั้นแสดงว่าสงครามการปฏิวัติของจักรวรรดิแลนซล็อตจบลงแล้วสินะ?”
หานซั่วพูดด้วยรอยยิ้ม
เอมิลี่พยักหน้า และพูดต่อ
“ก็ถือว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีกแล้วล่ะ ในเมื่อตอนนี้นครออซเซ็นอยู่ภายใต้การควบคุมของลอว์เรนซ์ และเขาก็ครอบครองขุมพลังทางการทหารไว้ได้ทั้งหมด ในเมื่อเจ้าชายชาลส์ถูกขังเอาไว้แล้ว ก็ไม่มีใครในจักรวรรดิแลนซล็อตที่กล้าคุกคามบัลลังค์ของลอว์เรนซ์ได้แล้วล่ะ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าก็โล่งอกไปที”
หานซั่วพูดด้วยรอยยิ้ม ไม่นานนัก รอยยิ้มของเขาก็จางลง ก่อนจะมองไปยังผู้หญิงทั้ง 3 คนด้วยสีหน้าลำบากใจ
“แต่ไม่ว่ายังไง ข้าก็จำเป็นต้องใช้เวลาเก็บตัวฝึกฝนอีกนานทีเดียว ข้าคงต้องแยกจากพวกเจ้าทั้ง 3 คนอีกแล้วล่ะ”
“อะไรกัน เพิ่งจะกลับมาแท้ ๆ นี่เจ้าคิดจะไปอีกแล้วเหรอ? เจ้าคนไร้หัวใจ ไม่รู้บ้างเลยรึยังไงว่าพวกเราเป็นห่วงเจ้ามากแค่ไหน?”
เมื่อฟีบี้ได้ยินว่าหานซั่วจะจากไปอีกครั้ง สีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า จึงร้องตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ
ส่วนเอมิลี่และแฟนนี่ที่ได้ยินหานซั่วพูดว่าต้องใช้เวลาฝึกฝนเป็นเวลานาน พวกเธอก็ถึงกับผงะไปเช่นกัน สายตาของทั้งคู่ที่จ้องมองหานซั่วนั้นเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์และไม่อยากจะแยกจากหานซั่ว
“ข้าไม่มีทางเลือกอื่นจริง ๆ ข้าต้องเก็บตัวเพื่อหล่อหลอมพลังงานมหาศาลที่ข้าดูดกลืนเข้าไป ไม่งั้นมันจะส่งผลต่อจิตใจของข้า และอาจทำให้เข้าสู่ภาวะปีศาจอีกครั้งก็ได้”
หานซั่วยิ้มอย่างขมขื่นขณะอธิบาย
“แล้วครั้งนี้ เจ้าต้องใช้เวลาฝึกฝนนานแค่ไหนเหรอ?”
เอมิลี่นิ่วหน้าถาม
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ อย่างเร็วที่สุด ก็น่าจะประมาณปีนึง หรืออย่างช้าก็อาจจะ 2-3 ปี เฮ้อ… ศาสตร์ต่อสู้ของข้าก็เป็นอะไรที่ต้องใช้เวลามากเสียด้วย ข้าเลยกะเวลาไม่ถูกเหมือนกันว่ามันจะนานแค่ไหน”
หานซั่วถอนหายใจ
เมื่อได้ยินว่าเวลาอย่างเร็วที่สุดคือ 1 ปี หัวใจของหญิงสาวทั้ง 3 คนก็หล่นวูบ ความเป็นกังวลและทุกข์ระทมในสายตาของพวกเธอพลันเด่นชัดขึ้นมา
“ไบรอัน มีเรื่องบางอย่างที่ข้าต้องคุยกับเจ้าตามลำพัง”
ฟีบี้เม้มปากและพูดกับหานซั่วอย่างขุ่นเคือง อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอพูดจบ ฟีบี้ก็หน้าแดงขึ้นมาทันที ตอนแรกนั้น เอมิลี่ก็มีบางอย่างจะพูดเช่นเดียวกัน แต่ในเมื่อเธอได้ยินฟีบี้ชิงพูดประโยคเดียวกันออกไปก่อน เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจ้องมองฟีบี้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ และเมื่อเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของเธอ เอมิลี่ก็เข้าใจความหมายนั้นทันที แม้จะนึกเคืองอยู่ในใจ แต่ใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นมาด้วยเช่นกัน
หานซั่วได้แต่จ้องมองอย่างงุนงงในทีแรก แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าแดงก่ำของฟีบี้ เขาก็กระจ่างทันที ก่อนจะหัวเราะออกมาและพูด
“ตกลง ข้าจะคุยกับเจ้าก่อนก็แล้วกัน แล้วหลังจากนั้น ข้าค่อยมาคุยกับเอมิลี่ต่อนะ”
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ของหานซั่ว ฟีบี้ก็เข้าใจว่าหานซั่วคงรู้อะไรบางอย่าง เธอกัดฟันกรอดขณะจ้องเขม็งไปยังหานซั่ว และเดินตรงเข้าห้องไปโดยไม่พูดอะไรอีก
“ข้าคุยกับฟีบี้ไม่นานหรอก”
หานซั่วพูดและรีบเดินไปยังห้องของฟีบี้ทันที ทิ้งเอมิลี่ที่หน้าแดงก่ำและแฟนนี่ที่ได้แต่ทำหน้างุนงงไว้เบื้องหลัง
“ท่านพี่เอมิลี่ พวกเขาคุยเรื่องอะไรกันเหรอคะ? แล้วทำไมต้องคุยกันตามลำพังแบบนั้นด้วย?”
แฟนนี่ที่ยังสับสนไม่หายร้องถามเอมิลี่
“พวกเขาก็ต้องคุยเรื่องส่วนตัวกันอยู่แล้วน่ะสิ ฮิฮิ ข้าสงสัยจริงว่ายัยตัวแสบฟีบี้จะทนได้นานแค่ไหนกันเชียว”
เอมิลี่ยิ้มอย่างยั่วยวน พลางตอบแฟนนี่และขยิบตาให้เธอ
แฟนนี่ยังคงงุนงงไปชั่วขณะ แต่แล้วจู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงหอบหายใจอย่างแผ่วเบาของฟีบี้ เธอถึงได้รู้สึกตัว ใบหน้าของเธอแดงก่ำขึ้นมาซึ่งแผ่กระจายอย่างรวดเร็วไปจนถึงคอ
“บ… บ้าที่สุดเลย!”
แฟนนี่ร้องออกมาเบา ๆ
“ข้าคิดว่าน้องแฟนนี่คงรู้แล้วสินะว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรกัน? ฮิฮิ น้องแฟนนี่ อย่าบอกนะ ว่าเจ้าวายร้ายไบรอันยังไม่ได้จัดการเจ้าไปแล้ว? ทำไมถึงยังเขินอยู่อีกล่ะ?”
เอมิลี่หัวเราะคิกคักขณะพูดแหย่แฟนนี่ ดูเธอกำลังสนุกมากทีเดียว
“ท่านพี่เอมิลี่ ท่าน… ท่านนี่ช่าง…”
แฟนนี่รู้สึกกระดากอายอย่างที่สุด พลางย่ำเท้าเดินกลับห้องไปทันทีโดยไม่พูดต่อให้จบประโยค
ภายในหอพักนั้นมีขนาดกว้างขวาง นอกเหนือจากห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่แล้ว ก็ยังมีห้องอื่น ๆ อยู่อีกประมาณ 5 – 6 ห้อง ซึ่งบอริสตระเตรียมไว้ให้พวกเธอเป็นพิเศษเพื่อที่หญิงสาวทั้ง 3 คนจะได้พูดคุยและอยู่ร่วมกันอย่างสะดวกสบาย
เมื่อเอมิลี่เห็นว่าแฟนนี่หนีเข้าห้องไปแล้ว รอยยิ้มของเธอก็กว้างขึ้นอีก และในเมื่อทั้งเอมิลี่และแฟนนี่ต่างก็เป็นนักเวทย์ และห้องทั้ง 3 ห้องก็อยู่ติดกันมาก เธอก็ต้องได้ยินเสียงทุกอย่างอยู่ดี และเมื่อแฟนนี่จากไป ก็เหลือเพียงเอมิลี่ที่อยู่ในห้องนั่งเล่นเพียงคนเดียว
เมื่อเสียงร้องครวญครางเบา ๆ ดังให้ได้ยิน หัวใจของเอมิลี่ก็เริ่มเต้นรัวเร็วไม่เป็นจังหวะ ร่างกายของเธอร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เธอแอบหันไปมองรอบ ๆ พร้อมกับใบหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง และค่อย ๆ ย่องไปทางห้องที่ฟีบี้และหานซั่วอยู่ พลางเอาหูแนบกับประตูเพื่อฟังเสียงที่เกิดขึ้นด้านใน
“อ๊า….”
ฟีบี้ส่งเสียงครางหวาน ๆ ออกมา น้ำเสียงของเธอสั่นเครือราวกับกำลังสะอื้น
หานซั่วถอดเสื้อผ้าของฟีบี้ออกหมดแล้ว มืออันใหญ่โตของเขาลูบไล้ไปตามผิวอันเรียบลื่นของเธอ ทุกความเคลื่อนไหวของมือทำให้ฟีบี้ครางออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ และผิวขาวเนียนละเอียดของเธอก็ค่อย ๆ ระเรื่อเป็นสีอมชมพูมากขึ้นเรื่อย ๆ
ภายใต้อารมณ์ของการโหยหาเพราะใกล้จะต้องแยกจากกัน ดวงตาสีน้ำตาลของฟีบี้ก็เริ่มพร่ามัว ร่างกายของเธอตอบสนองอย่างมีความสุขและตื่นเต้นขณะที่หานซั่วกำลังสำเริงสำราญกับเรือนร่างของเธอ เมื่อสติแตกกระเจิงเพราะการเล้าโลมของหานซั่ว ฟีบี้ก็หอบหายใจอย่างหนักขณะพยายามถอดเสื้อผ้าของหานซั่วออก โดยไม่รู้เลยว่าเธอตื่นเต้นมากเกินไปหรือเป็นเพราะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกต่อไปแล้ว ท่าทางของเธอรุนแรงมากกว่าเคย เมื่อเธอใจร้อนจนถึงกับฉีกเสื้อของเขาออก
สำหรับหานซั่วเองที่อดกลั้นมานาน เสียงหอบหายใจของเขาก็รุนแรงขณะขึ้นคร่อมร่างของฟีบี้ โดยไม่สนใจที่จะสร้างม่านพลังป้องกันเสียงไว้ก่อนแม้แต่น้อย
“อ๊า…!!”
ฟีบี้กรีดร้องออกมาเสียงดัง มือทั้งคู่ของเธอผลักหน้าอกของหานซั่วออก และดวงตาของเธอก็กลับมาชัดเจนอีกครั้ง
เสียงกรีดร้องของฟีบี้ดังมากจนแม้แต่แฟนนี่ที่อยู่ค่อนข้างห่างออกไปยังได้ยินอย่างชัดเจน ภายในห้องนั้น แฟนนี่ดุด่าฟีบี้เบา ๆ ที่ไม่รู้จักอายเอาเสียเลย
ส่วนเอมิลี่ที่แอบฟังอยู่ข้างนอกห้องก็ผงะไปเช่นกัน เป็นเพราะเธอตั้งใจฟังมาก เมื่อเสียงกรีดร้องดังลั่นขึ้น เอมิลี่ที่เอาหัวแนบชิดกับประตูก็รู้สึกแสบแก้วหูขึ้นมา
ยัยเด็กบ้า กรี๊ดเสียงดังชะมัด จะฆ่ากันรึไงเนี่ย!
เอมิลี่นวดหูซ้ายของเธอไปมาพลางนึกบ่นฟีบี้ในใจ
“เป็นอะไรไป?”
หานซั่วที่กำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แล้ว ก็มองไปยังฟีบี้ที่มีสีหน้าตื่นตกใจและร้องถามขึ้นมา
“เจ้าเกือบจะทับข้าตายอยู่แล้วน่ะสิ! ทำไมอยู่ดี ๆ เจ้าถึงตัวหนักขึ้นมาแบบนี้ล่ะ? โชคดีนะที่ข้าฝึกฝนออร่าต่อสู้ถึงระดับปรมาจารย์จอมดาบแล้ว ถ้าขืนเจ้าไปคร่อมผู้หญิงอื่นที่เป็นแค่คนธรรมดาล่ะก็ ป่านนี้เจ้าคงฆ่าเธอไปแล้วล่ะ!”
ใบหน้าของฟีบี้แดงก่ำ พลางลดเสียงของเธอลงและตอบกลับไปด้วยความไม่พอใจ
หานซั่วจ้องมองเธอย่างงง ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้ตัวในที่สุด หลังจากที่เขาดูดกลืนพลังของนิลทรหดเข้าไป น้ำหนักของเขาก็เพิ่มขึ้นอีกนับ 10 เท่า จึงไม่แปลกใจเลยที่ฟีบี้ถึงได้กรีดร้องด้วยความตกใจขนาดนั้น
โชคดีที่ฟีบี้เป็นคนแรก เพราะถ้าเป็นเอมิลี่หรือแฟนนี่ล่ะก็ อาจจะเกิดเรื่องขึ้นก็ได้ หานซั่วจึงรู้สึกโล่งใจและย้ำเตือนตัวเองว่าครั้งต่อไปต้องระวังให้ดี ทันใดนั้น เขาก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ และจู่โจมฟีบี้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เขาใช้มือข้างหนึ่งยันตัวเองขึ้น
หานซั่วที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะเริ่มเผด็จศึกฟีบี้ต่อ จู่ ๆ เขาก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา จึงรีบลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว และอุ้มร่างกายเปลือยเปล่าอันสมบูรณ์แบบของฟีบี้ให้ขึ้นมานั่งบนตัก ฟีบี้ร้องออกมาด้วยความตกใจ
หานซั่วอยู่ในท่านั่ง ส่วนขาของฟีบี้ก็โอบรัดเอวของเขาไว้ ในขณะที่ก้นของเธอนั่งอยู่บนตักของหานซั่ว
“คนผีทะเล! เจ้า… เจ้าคนลามก ข้าอายนะ! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”
เมื่อฟีบี้รู้สึกว่าบางอย่างของหานซั่วกำลังรุกล้ำเข้ามาในร่างของเธอ เธอก็รีบดุด่าเขาด้วยความเขินอายอย่างที่สุด
“หึหึหึ เราก็แค่เปลี่ยนท่าเท่านั้นเอง!”
หานซั่วยิ้มอย่างชั่วร้าย มืออันใหญ่โตของเขาเค้นคลึงบั้นท้ายของฟีบี้และไม่สนใจท่าทีขัดขืนของเธอเลยแม้แต่น้อย
*************************