Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 395
กลายเป็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพราะคำทำนายของแม่เฒ่าเกรซผู้พยากรณ์ และหานซั่วก็คือผู้กอบกู้จักรวรรดิแลนซล็อตในอนาคตอย่างนั้นจริง ๆ หรือ? ก่อนหน้านี้ที่ศูนย์บัญชาการองค์รักชุดดำ เกรซมีท่าทีแปลก ๆ ขณะมองมาที่เขา หรือว่าในตอนนั้น เธอมองเห็นอะไรบางอย่าง?
เมื่อได้ยินคำพูดของคาเรล หานซั่วก็เข้าใจทันที เขาขมวดคิ้วพลางใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น มองไปยังคาเรลและพูดขึ้น
“พูดตามตรงนะครับ ข้าเองก็เพิ่งได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ข้าก็เลยยังไม่ได้คิดวางแผนไว้เลยว่าจะทำอะไรเพื่อจักรวรรดิแลนซล็อต และยังคิดแค่เพียงเรื่องที่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น”
เมื่อคาเรลได้ยินคำตอบที่ตรงมาตรงไปของหานซั่ว เขาก็หัวเราะออกมาและพูดต่อ
“บางที การที่เจ้าทำเพื่อตัวของเจ้าเอง เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าเป็นการช่วยจักรวรรดิแลนซล็อตในการปรับเปลี่ยนอำนาจและสามารถขยายอาณาเขตออกไปได้ ยกตัวอย่างเช่น การที่เจ้าช่วยลอว์เรนซ์ในการขึ้นครองบัลลังค์ หรือแม้แต่ความปราถนาของเจ้าเองที่ต้องการโจมตีแคว้นทั้งเจ็ด ทั้งหมดนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำของเจ้าโดยส่วนตัว แต่ผลที่ได้ กลับกลายเป็นการทำเพื่อจักรวรรดิแลนซล็อตด้วยนั่นแหละ”
หานซั่วใคร่ครวญในสิ่งที่คาเรลพูดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็ตระหนักว่าสิ่งที่คาเรลพูดนั้นสมเหตุสมผล เพราะเขาเองก็ถือเป็นประชาชนคนหนึ่งของจักรวรรดิแลนซล็อตตั้งแต่ที่เข้ามายังโลกแห่งนี้ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเขาก็รู้สึกว่าชีวิตความเป็นอยู่ที่นี่นั้นดีมากทีเดียว เขามีทั้งเพื่อนมากมาย รวมทั้งคนรักที่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นแล้ว เมื่อหานซั่วตระหนักถึงความใฝ่ฝันของตัวเองขึ้นมา เขาก็ถือว่าเป็นการทำประโยชน์ให้จักรวรรดิแลนซล็อตไปด้วยในคราวเดียวกัน
“ฮะ ๆ ๆ ท่านนี่ช่างปราดเปรื่องจริง ๆ สิ่งที่ท่านพูดนั้นมีเหตุผลมากทีเดียวครับ”
หานซั่วมองไปที่คาเรล และเอ่ยปากชมเขาอย่างไม่ปิดบัง
เมื่อคาเรลได้ยินคำชมอย่างออกนอกหน้าของหานซั่ว เขาก็จ้องมองไปที่หานซั่วด้วยสายตาแปลก ๆ ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยและพูด
“ฟีบี้น่ะเป็นศิษย์รักของข้า และความสัมพันธ์ของเจ้ากับฟีบี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องเปิดเผย ยิ่งไปกว่านั้น ลอว์เรนซ์เองก็เป็นศิษย์ของข้าเช่นกัน เจ้าจึงถือว่าไม่ใช่คนอื่นคนไกลเลย เพราะงั้นก็ไม่ต่างอะไรหรอก ไม่ว่าโบลแลนด์จะติดตามข้าหรือเจ้า เพราะฉะนั้น ข้าจะพูดกับเจ้าอย่างเปิดอกล่ะนะ”
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
“หากท่านผู้อาวุโสมีคำแนะนำอะไรก็อย่าได้ลังเลเลยครับ ข้าจะจำให้ขึ้นใจเลยทีเดียว”
ในใจลึก ๆ หานซั่วยังคงวิตกกังวลว่าคาเรลจะไม่อนุญาตให้โบลแลนด์มาฝึกวิชากับเขา ในเมื่อได้ยินคาเรลเกริ่นนำมาเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลพอควร จากความสัมพันธ์ของคาเรลกับฟีบี้และลอว์เรนซ์ พวกเขาก็ถือว่าไม่ใช่คนอื่นคนไกลเลยจริง ๆ และการที่โบลแลนด์จะติดตามหานซั่ว ทุกคนก็ยังถือว่าเป็นพวกเดียวกันอยู่
อย่างไรก็ตาม หานซั่วสังหรณ์ใจว่าการที่โบลแลนด์มาพบเขาในวันนี้และให้คำตอบกับเขา อาจเป็นเพราะคาเรลได้รับข้อมูลจากแม่เฒ่าเกรซผู้พยากรณ์มาก่อนหน้านั้นแล้ว และเข้าใจว่าทั้งลอว์เรนซ์และหานซั่วคือความหวังของจักรวรรดิแลนซล็อต ดังนั้นเขาจึงยินดีที่จะให้โบลแลนด์มาฝึกฝนวิชากับหานซั่ว
เมื่อเห็นว่าหานซั่วมีความจริงใจ คาเรลก็ยิ้มและพยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น
“เจ้าคงจะรู้พื้นเพของโบลแลนด์มาจากลอว์เรนซ์บ้างแล้วสินะ เมื่อตอนที่โบลแลนด์ยังเป็นนักฆ่า ถือได้ว่าเขาเป็นคนเลือดเย็นมากทีเดียว นิสัยนักฆ่าของเขายังคงไม่หายไปแม้เวลาจะล่วงเลยมานาน ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถชี้นำเขาไปในเส้นทางที่ถูกต้องและชอบธรรม ไม่ใช่เพื่อให้กลายเป็นเครื่องมือสังหาร เจ้าให้สัญญากับข้าได้รึเปล่า? ”
ดูเหมือนว่าคาเรลจะมีเจตนาดีต่อโบลแลนด์มากทีเดียว ไม่เพียงแต่เขาจะเคารพการตัดสินใจและอนุญาตให้โบลแลนด์ออกห่างจากตัวเขา เขายังเป็นห่วงอนาคตของโบลแลนด์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม วัตถุประสงค์ของหานซั่วในการสอน วิถีเทพพิฆาตมาร ให้กับโบลแลนด์ก็เพื่อที่จะหล่อหลอมโบลแลนด์ให้กลายเป็นเครื่องมือในการกำจัดศัตรูฝ่ายตรงข้าม และด้วยการฝึกฝนเวทย์ปีศาจอย่างเหมาะสม โบลแลนด์ก็จะไม่สูญเสียซึ่งสติสัมปชัญญะ หรือกลายเป็นคนคุ้มคลั่งที่รู้จักเพียงการฆ่าเท่านั้น
หานซั่วลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาขมวดคิ้วและครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะตอบคาเรลไปตามตรง
“ความกระหายเลือดตามสัญชาติญาณของโบลแลนด์จะไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้ว่าจะฝึกวิชากับข้า อย่างไรซะ ศาสตร์การต่อสู้ของข้าจะชี้ทางที่เหมาะสมให้กับเขา และทำให้เขาไม่เสียสติและเหตุผลไป เมื่อเขาสามารถข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้แล้ว เขาก็จะไม่จำเป็นต้องพึ่งการฆ่าเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองแล้วล่ะครับ
ดังนั้น ข้าคงรับรองได้เพียงว่า เขาจะยังมีสติและไม่กลายเป็นเครื่องจักรสังหารอย่างที่ท่านกลัว อย่างไรก็ตาม ในช่วงเริ่มต้นของศาสตร์การต่อสู้ จำต้องใช้การกระตุ้นศักยภาพของเขาด้วยการฆ่า มีเพียงการปลดปล่อยจิตสังหารที่เขาเก็บกดมาตลอดหลายปีเท่านั้นที่สามารถทำให้เขาพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด”
คาเรลนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินคำอธิบายของหานซั่ว เขาจ้องมองหานซั่วเป็นเวลานานก่อนจะพูดขึ้น
“ศาสตร์การต่อสู้ที่เจ้าต้องการถ่ายทอดให้กับเขาคืออะไรกันแน่? ทำไมถึงฟังดูคล้ายกับวิชามารของพวกศาสนจักรแห่งความหายนะเลยล่ะ? หรือว่าเป็นอย่างที่ข่าวลือว่า เจ้าเป็นสาวกของศาสนจักรแห่งความหายนะงั้นรึ?”
หานซั่วส่ายศีรษะและยิ้มอย่างขมขื่นพลางอธิบาย
“มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยครับ ศาสตร์การต่อสู้ของข้าเป็นการฝึกฝนที่คล้ายคลึงกับการหล่อหลอมออร่าต่อสู้และเวทมนตร์เข้าด้วยกัน เอ่อ…. ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าจะอธิบายกับท่านอย่างไรดี แต่ไม่ว่ายังไง อาจารย์ของข้าก็บอกมาว่าศาสตร์การต่อสู้นี้ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำแห่งนี้ครับ”
คาเรลตกใจถึงขีดสุดเมื่อเขาได้ยินดังนั้น เขาจ้องมองลึกเข้าไปในตัวหานซั่วเป็นเวลานานก่อนจะพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ศาสตร์การต่อสู้ที่ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ?! นี่อาจารย์ของเจ้าเป็นคนไม่ธรรมดาแบบไหนกัน?”
“ท่านบอกข้ามาแบบนั้นจริง ๆ ท่านอาจารย์มีความแข็งแกร่งอย่างน่าสะพรึงกลัว และสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการระหว่างภพโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งเวทมนตร์ใด ๆ หากแต่มีพลังวิเศษที่สามารถขับเคลื่อนภูเขาทั้งลูก หรือแม้กระทั่งทำให้ท้องทะเลต้องเหือดแห้ง…”
หานซั่วอธิบายตามสิ่งที่เขาเข้าใจในพลังความสามารถของชูชางหลาน
ตั้งแต่ที่หานซั่วเปิดเผยพลังของเวทย์ปีศาจออกมา จักรพรรดิอูห์เทร็ดแห่งจักรวรรดิแลนซล็อตก็เข้าใจว่าหานซั่วนั้นมีศาสตร์การต่อสู้อันลี้ลับ แม้แต่จอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลเองก็รู้เรื่องนี้มานาน อย่างไรก็ตาม ที่มาของศาสตร์การต่อสู้อันลี้ลับนี้ก็ยังคงเป็นคำถามที่พวกเขาทุกคนล้วนอยากรู้คำตอบ หานซั่วจึงจำต้องปั้นแต่งเรื่องโกหกมาเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้น และยังต้องนำเรื่องที่เขาเล่าให้โบลแลนด์ฟัง มาเล่าซ้ำกับคาเรลอีกครั้ง
เมื่อหานซั่วอธิบายเสร็จ คาเรลมองเขาด้วยความตกใจและพูดขึ้น
“บางทีอาจารย์ของเจ้าอาจจะเป็นคนที่บรรลุถึงระดับเทพก็ได้นะ ข้าไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าเจ้าต้องโชคดีแค่ไหนถึงได้พบกับคนเช่นนั้นได้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเกรซถึงทำนายไว้ว่าใครก็ตามที่เจ้าสนับสนุนจะกลายเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ ดูเหมือนว่าพลังทำนายของเกรซช่างน่ามหัศจรรย์จริง ๆ”
ใครก็ตามที่ข้าให้การสนับสนุนจะกลายเป็นองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิแลนซล็อตอย่างนั้นรึ? หานซั่วรู้สึกตกใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่แปลกใจเลยว่าทำอูห์เทร็ดถึงได้มีความเว้าวอนอยู่ในน้ำเสียงตอนที่พูดกับหานซั่วเมื่อครั้งนั้น ดูเหมือนว่าแม่เฒ่าผู้พยากรณ์คนนั้นจะช่วยเขาไว้จริง ๆ
แต่อย่างไรก็ตาม หากแม่เฒ่าผู้พยากรณ์สามารถทำนายอนาคตได้ แล้วเธอจะสามารถล่วงรู้อดีตได้ด้วยหรือเปล่า? เธอจะมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา และพบว่าจริง ๆ แล้วไบรอันคนเดิมได้ตายจากไปนานแล้วหรือไม่?
“ไบรอัน แล้ว… แล้วอาจารย์ของเจ้ายังอยู่ในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำนี่รึเปล่า? ข…ข้าขอพบกับเขาได้มั้ย?”
ขณะที่หานซั่วกำลังปลดปล่อยจินตนาการของตัวเองให้ล่องลอยไปไกล ท่าทีของจอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลก็ดูสับสนขึ้นมาทันที ดวงตาของเขาเป็นประกายขณะที่มองหานซั่วและเอ่ยปากถาม
หานซั่วตื่นจากภวังค์อย่างรวดเร็ว เขายิ้มอย่างขมขื่นและส่ายศีรษะ เขาพูดซ้ำในสิ่งที่ได้บอกกับโบลแลนด์ไปแล้ว
“หลังจากที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดศาสตร์การต่อสู้นี้ให้กับข้า เขาก็ออกจากอาณาจักรแห่งความลึกล้ำไปแล้ว ข้าไม่รู้เลยว่าเขาไปอยู่ที่ไหน ต้องขอโทษด้วยครับ”
“อย่างนั้นเองหรอกรึ…”
คาเรลมีท่าทีผิดหวังอย่างเห็นได้ชัดขณะที่เขาพึมพำกับตัวเอง
“น่าเสียดายจริง ๆ ข้าเองก็อยู่ในระดับนี้มานาน หากมีโอกาสได้พบกับคนที่แข็งแกร่งขนาดนั้น ข้าคงจะขอคำชี้แนะเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ และบางทีข้าอาจจะสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้บ้าง…”
สำหรับคนที่อยู่ในระดับจอมดาบศักดิ์สิทธิ์อย่างคาเรล พวกเขาวิตกกังวลอยู่เพียงเรื่องเดียว นั่นคือการพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเอง ในช่วงอายุของคาเรล เขาจึงชินชากับทั้งความมั่งคั่ง ระดับพลัง ชื่อเสียง และอำนาจที่มี แม้แต่จักรวรรดิที่แข็งแกร่งก็ไม่สามารถหยุดยั้งคนที่มีพลังในระดับเขาได้ และพวกเขาก็ทำได้เพียงโหยหาและไล่ตามระดับพลังครึ่งเทพที่ร่ำลือมาจากเหล่าบรรพชน
“ก่อนหน้านี้ ตอนที่ข้าลงไปยังโลกใต้พิภพ ข้าได้พบกับสุดยอดสัตว์วิเศษระดับ 5 บางทีท่านอาจจะได้ฟังเรื่องของเขามาบ้างจากพวกองครักษ์ชุดดำ ราชากิ้งก่าโบราณดากัสซีได้จากไป หลังจากที่เขาก้าวข้ามไปถึงระดับครึ่งเทพ ข้าสงสัยว่าเขาจะออกจากอาณาจักรแห่งความลึกล้ำเพื่อไปสู่ภพอื่นที่กว้างใหญ่ไพศาลด้วยเช่นกัน…”
หานซั่วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
คาเรลที่กำลังใคร่ครวญกับบางสิ่งบางอย่างอยู่ก็ถูกปลุกเร้าโดยคำพูดของหานซั่วขึ้นมาทันที ไม่นานหลังจากนั้น คาเรลก็ถอนหายใจ
“ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ผู้ที่บรรลุสู่ระดับครึ่งเทพจะสามารถเข้าถึงตัวตนของผู้พิทักษ์ภพแห่งอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ และผู้พิทักษ์ก็จะช่วยเหลือคนเหล่านั้นให้หลุดพ้นจากพันธนาการของอาณาจักร
ข้อมูลเหล่านี้ถูกเล่าต่อมาจาก สตรัทโฮล์มแห่งหุบเขาสแตรงเกิลธอร์น เมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปยังแคว้นทั้งเจ็ด สตรัทโฮล์มอยู่ห่างจากระดับครึ่งเทพเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ทำให้เขาล่วงรู้ความลับที่ซ้อนเร้นอยู่ในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำอีกมากมาย บางที สัตว์วิเศษครึ่งเทพตนนั้นอาจจะมีคุณสมบัติที่จะสามารถเดินทางออกจากอาณาจักรแห่งความลึกล้ำนี้แล้วก็เป็นได้”
ปีศาจเฒ่าสตรัทโฮล์ม! หานซั่วขมวดคิ้วเมื่อเขาได้ยินชื่อของคน ๆ นี้อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มาจากปากของคาเรลเอง หานซั่วจึงเข้าใจในความแข็งแกร่งที่แท้จริงของสตรัทโฮล์ม ผู้อยู่ห่างจากระดับครึ่งเทพเพียงก้าวเดียว ดูเหมือนว่าเขาจะแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าคาเรลเสียอีก
มีเพียงผู้ที่มีความแข็งแกร่งในระดับครึ่งเทพเท่านั้นถึงจะถูกผู้พิทักษ์ภพอัญเชิญตัวไปได้ ดูเหมือนว่าในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำนี้ช่างเต็มไปด้วยความลี้ลับมากมาย หานซั่วจึงรู้สึกตกตะลึงอยู่ภายในใจ ก่อนจะเอ่ยปากตอบ
“ข้าคิดว่าดากัสซีคงจะจากไปแล้วจริง ๆ อา… ช่างเป็นความฝันที่ไกลเกินเอื้อม ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าเมื่อไหร่ข้าถึงจะมีความสามารถได้ขนาดนั้น”
“เจ้ายังมีเวลาอีกมากมายเพื่อค้นหา ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ามีอาจารย์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งน่าจะทำให้เจ้าพัฒนาได้เร็วกว่าพวกเรามาก เฮ้อ… สำหรับพวกเราที่อายุอานามมากถึงขนาดนี้แล้ว ก็ทำได้เพียงเฝ้ารออย่างขมขื่น โดยไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสก้าวข้ามไปได้หรือเปล่า”
คาเรลถอนหายใจ เส้นผมสีขาวราวหิมะและผิวเหี่ยวย่นบ่งบอกถึงความโหดร้ายของกาลเวลา แม้ยอดฝีมืออย่างเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานกว่าคนธรรมดาทั่วไป แต่หนทางบรรลุซึ่งเหลืออีกเพียงก้าวสุดท้ายนั้นช่างยาวไกลเหลือเกิน
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
ขณะที่เขาจ้องมองคาเรล นี่เป็นครั้งแรกที่หานซั่วตระหนักว่า แม้จะเป็นคนที่ทรงพลังอำนาจในจักรวรรดิ ก็มีปัญหาของตนเองเช่นกัน บางทีนี่อาจจะเป็นเพียงความวิตกกังวลเดียวที่เขามี หานซั่วไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร จึงได้แต่นิ่งเงียบอยู่เบื้องหน้าคาเรล และรอให้เขาตื่นจากอารมณ์เศร้าหมองนั้น
หลังจากนั้นพักหนึ่ง คาเรลก็ดูเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ก่อนจะหันมาจ้องมองหานซั่วด้วยความทึ่ง พลางยิ้มและพูด
“ข้าเคยได้ยินโบลแลนด์เล่าให้ฟังถึงปาฏิหาริย์มากมายของเจ้า แต่ก็ไม่เคยเห็นศาสตร์การต่อสู้ของเจ้าด้วยตาตัวเองเสียที บางทีศาสตร์การต่อสู้ของเจ้าอาจจะสร้างแรงบันดาลใจให้ข้าได้บ้าง ถ้าเจ้าไม่ว่าอะไร เรามาดวลกันสักหน่อยไหมล่ะ”
หานซั่วสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าคนที่มีระดับอย่างคาเรลมาขอเสนอให้ดวลกับตนเอง แต่อย่างไรก็ตาม หานซั่วก็รู้ดีว่าสิ่งที่คาเรลสนใจนั้นคือศาสตร์ที่เขาฝึกฝน ไม่ใช่ความแข็งแกร่งของตัวเขา
หานซั่วนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มและตอบ
“การดวลระดับพลังนั่นก็ดี แต่การที่ท่านเต็มใจชี้แนะข้า ก็นับว่ามากเกินกว่าที่ข้าจะฝันถึงได้เสียอีก ได้โปรดอภัยล่วงหน้ากับการอวดดีของข้าด้วย”
คาเรลดูจะชอบใจในความตรงมาตรงไปของหานซั่ว เขายิ้มพลางพยักหน้า
“อย่าห่วงไปเลย แค่ใช้ศาสตร์การต่อสู้ของเจ้าโจมตีข้าก็พอ ข้าล่ะสงสัยในศาสตร์การต่อสู้ของเจ้าจริง ๆ มาดูความแตกต่างของออร่าต่อสู้ที่ข้าฝึกฝนมากันเถอะ!”
หานซั่วรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อได้ยินที่คาเรลพูด เพราะเขาเองก็ยังไม่รู้ซึ้งถึงพลังที่แท้จริงของตนเองเลยตั้งแต่บรรลุสู่อาณาจักรพลังแยกร่างปีศาจ หานซั่วรู้สึกมั่นใจพอควรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูในระดับปรมาจารย์จอมดาบ แต่เขายังไม่เคยประมือกับยอดฝีมือระดับจอมดาบศักดิ์สิทธิ์มาก่อน
แม้ว่า อเดล ผู้นำหญิงแห่งเผ่าดาร์คเอลฟ์ที่เขาได้พบก่อนหน้านี้ในโลกใต้พิภพนั้นจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หานซั่วก็รู้ทันที เพราะขณะที่เขายืนอยู่ต่อหน้าคาเรลเช่นนี้ อเดลก็ยังถือว่าอ่อนแอกว่าคาเรล ยิ่งไปกว่านั้น หานซั่วไม่ได้ต่อสู้กับอเดลอย่างจริงจัง เขาเพียงใช้วิธีชั่วร้ายในการสูบเอาพลังหยินเพื่อเติมเต็มพลังหยางจากเธอจนเหือดแห้ง ซึ่งไม่เรียกว่าเป็นการต่อสู้กับเธอจริง ๆ
เพราะหานซั่วอาจจะได้รู้ซึ้งถึงพลังที่แท้จริงของตนเองในอาณาจักรพลังแยกร่างปีศาจด้วยการต่อสู้กับจอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลก็เป็นได้ และนี่จะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ หากครั้งหน้าเขาต้องพบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ดังนั้น หานซั่วจึงรู้สึกตื่นเต้นเมื่อคาเรลขอท้าดวลกับเขา
“ศาสตร์การต่อสู้ที่ข้าฝึกฝนเรียกว่า เวทย์ปีศาจ คล้ายกันกับออร่าต่อสู้ แต่มีคุณลักษณะแตกต่างกัน หลังจากนี้อีกสักพัก ท่านอาจจะพอสัมผัสมันได้บ้าง”
หานซั่วถอยออกไป 2-3 ก้าว แล้วจู่ ๆ คมมีดพิชิตมารก็มาปรากฏอยู่ในมือเขา
“สำหรับโบลแลนด์ที่นับถือในตัวเจ้ามาก นั่นก็พิสูจน์ได้แล้วว่าศาสตร์ต่อสู้ของเจ้ามีความพิเศษอยู่อย่างแน่นอน หึหึหึ ไบรอัน เจ้าไม่ต้องออมมือนะ และอย่าลังเลที่จะจู่โจมข้าเชียว”
คาเรลยืนขึ้นบนหินก้อนใหญ่ ก่อนจะเรียกดาบยาวที่โปร่งแสงออกมาจากแหวนมิติ ดาบยาวเล่มนั้นมีความกว้าง 3 นิ้ว ยาว 130 เซนติเมตร และมีสัญลักษณ์รูปไม้กางเขนสลักอยู่ตรงด้าม
************************