Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 395
“ยอมเหรอ? เธอยอมเรื่องอะไรกัน?”
หานซั่วได้แต่จ้องมองอย่างคิดอะไรไม่ออกและถามด้วยความสงสัย
“เอาจริง ๆ ก็คือยอมรับเรื่องของพวกเราทั้งสองคนไงล่ะ”
เอมิลี่อธิบายอย่างอารมณ์ดี
“ข้าเล่าให้เธอฟังทุกอย่างเลย ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเรา แล้วข้าก็เน้นย้ำว่าเป็นเพราะตัวตนและสถานะของข้า ทำให้ไม่สามารถเปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกเราได้ ข้ายังเล่าเรื่องที่จู่ ๆ สามีของข้าต้องมาตายจากไปในสนามรบทันทีที่ข้าแต่งเข้าตระกูลเบทเทอริดจ์ พอได้ฟังเรื่องทุกอย่าง ฟีบี้ก็ยังช่วยให้คำแนะนำข้าอีกตั้งพักหนึ่งแน่ะ”
หานซั่วตกตะลึง พลางคิดว่าฟีบี้นั้นเป็นคนที่ยุติธรรมและมีเหตุผลมากจริง ๆ ส่วนเอมิลี่เองก็ปราดเปรื่องอย่างที่สุดในฐานะที่เป็นสมาชิกองครักษ์ชุดดำมานาน และการที่สามารถทำให้ฟีบี้ยอมรับในสถานะของเธอได้ด้วยคำพูดแค่ไม่กี่คำ ก็ถือว่าพิสูจน์ความสามารถของเธอได้มากพอ
เมื่อได้ยินเอมิลี่พูดดังนั้น หานซั่วก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที เขายิ้มและจูบเธอเบา ๆ
“เอมิลี่ เจ้านี่พึ่งพาได้มากเลยจริง ๆ”
“เอาล่ะ ๆ เลิกปากหวานได้แล้ว”
เอมิลี่ผลักหานซั่วออกอย่างร่าเริง ก่อนจะพูดต่อ
“นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่แล้วล่ะ แล้วไหนข้าจะต้องไปลาท่านพ่อก่อนเข้านอนอีก”
เมื่อได้ยินเอมิลี่พูดถึง ฮานน์ หัวหน้าตระกูลเบทเทอริดจ์ขึ้นมา หานซั่วก็ครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยถามออกไป
“ท่านฮานน์สนับสนุนเจ้าชายองค์ไหนเหรอ?”
“ไม่รู้เลย บางทีอาจจะเป็นเพราะท่านพ่อเกษียณตัวเองจากกองทัพมาเป็นเวลานานเกินไปแล้วก็ได้ ช่วงที่จักรวรรดิตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ท่านก็ไม่ได้เข้าร่วมกับทางสภาปกครองอยู่แล้ว แถมยังไม่เอ่ยถึงเรื่องของพวกเจ้าชายกับข้าเลยสักครั้ง”
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
เมื่อเห็นว่าหานซั่วถามอย่างจริงจัง เอมิลี่ก็ขมวดคิ้วและตอบออกไป หลังจากที่เธอเงียบไปครู่หนึ่ง หานซั่วก็พูดต่อ
“ถ้าท่านฮานน์พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หรือแม้แต่เรื่องแผนการที่จะสนับสนุนเจ้าชายสักคน เจ้าต้องเตือนเขาว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งทำอะไรหุนหันพลันแล่นล่ะ จะได้ไม่ทำให้ตระกูลเบทเทอริดจ์ต้องเดินไปผิดทาง”
เอมิลี่ตกตะลึงขึ้นมาทันที และถามด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมเจ้าถึงพูดแบบนี้ล่ะ?”
“เพราะทุกคนไม่คิดว่าลอว์เรนซ์จะมีโอกาสเลยน่ะสิ แต่ไม่ว่ายังไง ถ้าไม่มีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสียก่อน จักรพรรดิองค์ต่อไปก็คือลอว์เรนซ์นี่แหละ หลังจากนี้ เจ้าก็แค่คอยเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ห่าง ๆ ก็พอ ข้ามั่นใจว่าองค์จักรพรรดิจะต้องตัดสินพระทัยในอีกไม่นานนี้แล้วล่ะ”
หลังจากที่ไปเข้าเฝ้าเพื่อพูดคุยเรื่องสำคัญกับจักรพรรดิอูห์เทร็ดมา เขาก็รู้ทันทีว่าสถานการณ์ของลอว์เรนซ์จะต้องเปลี่ยนแปลงไปราวพลิกฝ่ามือ ดังนั้น เขาจึงเตือนเอมิลี่
“ข้อมูลนี้เจ้ามั่นใจรึเปล่าว่ามันถูกต้องแน่ ๆ?”
เอมิลี่ทราบถึงผลกระทบใหญ่หลวงของเหตุการณ์เช่นนี้เป็นอย่างดี จึงถามหานซั่วอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หานซั่วพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“วันนี้ข้าไปที่พระราชวังและเข้าเฝ้าพระองค์มาด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นข้อมูลนี้ก็จริงแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าต้องบอกข่าวนี้ให้ท่านพ่อกับพี่ชายของข้ารู้เดี๋ยวนี้เลย รวมทั้งสหายบางคนที่กำลังชั่งใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย ข้าต้องรีบไปเตือนพวกเขาก่อนที่มันจะสายเกินไป”
เมื่อได้ยินคำยืนยันของหานซั่ว เอมิลี่ที่มีสีหน้าวิตกกังวลก็รีบลุกขึ้นแต่งตัวทันที
เพราะเรื่องนี้อยู่ในความสนใจของบรรดาขุนนางและชนชั้นสูงทั่วทั้งจักรวรรดิ และทุกคนจำเป็นต้องเลือกข้างสนับสนุน ซึ่งถ้าเลือกผิดขึ้นมา ครอบครัวของพวกเขาจะต้องทนทรมานกับการเสื่อมถอยของตระกูล เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจึงจำเป็นต้องกำหนดจุดยืนของตนเองด้วยความระมัดระวัง
หานซั่วเข้าใจความกังวลของเอมิลี่เป็นอย่างดี เขาจึงยืนขึ้นและช่วยเธอแต่งตัวในชุดกระโปรงผ้าไหม รวมทั้งจัดผมยาวสลวยของเธอให้เรียบตรงอีกครั้ง ก่อนจะจูบเธอเพื่อให้ริมฝีปากนั้นแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มของความสุข
“เอาล่ะ ระหว่างทางก็ระวังตัวด้วยล่ะ”
ส่วนเอมิลี่ซึ่งเฝ้ารอให้หานซั่วช่วยเธอแต่งตัวจนเสร็จอย่างว่าง่าย และจูบเขาด้วยความปลาบปลื้มยินดี
“รู้แล้วล่ะ เจ้าเองก็ไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกินไปนะ เพราะยังไงเราก็อยู่ในคฤหาสน์ของตระกูลเบทเทอริดจ์”
“เดี๋ยวข้าก็กลับแล้วล่ะ”
หานซั่วยิ้ม ก่อนจะแต่งตัวพลางมองเอมิลี่เดินออกไปเพื่อพบฮานน์ และเขาก็จากไปอย่างเงียบเชียบ
เมื่อกลับไปถึงคฤหาสน์ หานซั่วก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันหนักอึ้งของโบลแลนด์ได้ เพียงแค่ชำเลืองมองไป เขาก็มองเห็นว่าโบลแลนด์กำลังซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
“ท่านมาร์ควิส!”
หานซั่วยังไม่ทันเดินเข้าไปในห้อง ตอนที่โบลแลนด์ร้องเรียกขึ้นมาอย่างแผ่วเบาและเดินออกมาจากเงามืด
ไม่มีทหารคุ้มกันที่แข็งแกร่งคนใดอยู่ในคฤหาสน์ นอกจากตัวหานซั่วเองแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นอีกเลยที่เขาต้องเป็นกังวล เขาจึงไม่ได้วางกับดักอะไรไว้ เพราะไม่ว่ายังไง นักฆ่าฝีมือฉกาจอย่างโบลแลนด์ก็ไม่มีวันทำให้ใครพบเห็นได้ง่าย ๆ
โบลแลนด์อยู่ในชุดคลุมยาวสีเทา และใบหน้าดูชั่วร้ายที่อบอวลไปด้วยจิตสังหารรุนแรง ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป เพียงได้เห็นเขาก็ต้องรู้สึกพรั่นพรึงอย่างแน่นอน
“เข้ามาคุยข้างในเถอะ”
หานซั่วมองโบลแลนด์และยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าห้องไปโดยมีโบลแลนด์เดินตามเข้ามาข้างหลัง
ภายในห้อง หานซั่วส่งปีศาจอาคมออกไปสำรวจบริเวณโดยรอบ และไม่พบคนที่น่าสงสัยอยู่แถวนั้นเลย ส่วนฟีบี้ก็กลับไปยังสมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์แล้วหลังจากที่มาหาหานซั่วแล้วไม่เจอ
หานซั่วนั่งลง ยิ้มให้โบลแลนด์และเอ่ยถาม
“ท่านตัดสินใจว่ายังไงล่ะ?”
โบลแลนด์มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจขึ้นมา ก่อนจะพยักหน้าและตอบ
“ข้าอยากเรียนศาสตร์การต่อสู้นั้น ท่านคาเรลเห็นด้วยแล้ว แต่ว่าท่านคาเรลอยากขอพบท่านเป็นการส่วนตัว”
หานซั่วไม่รู้สึกแปลกใจเลย เพราะในโลกนี้ มีเพียงหานซั่วเท่านั้นที่สามารถให้โบลแลนด์ในสิ่งที่เขาต้องการได้ ด้วยระดับความหลงใหลในศาสตร์การต่อสู้ชนิดนี้ เขาจะต้องยอมทุกสิ่งอย่างแน่นอน แต่ที่หานซั่วไม่เข้าใจ คือทำไม คาเรล แอสค็อท ถึงต้องการจะพบเขาด้วย
หานซั่วจ้องมองอย่างคิดอะไรไม่ออก ก่อนจะนิ่วหน้าถาม
“ทำไมท่านคาเรลถึงอยากจะพบข้าด้วยล่ะ”
โบลแลนด์ต้อบพลางส่ายศีรษะ
“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“เข้าใจล่ะ”
หานซั่วพึมพำกับตนเองและถาม
“เขาต้องการพบข้าเมื่อไหร่ล่ะ? แล้วข้าต้องไปพบเขาที่ไหน?”
“ถ้าท่านพอมีเวลา ท่านคาเรลก็อยากให้ข้าพาท่านไปพบเขาตอนนี้เลย”
โบลแลนด์ตอบอย่างนอบน้อม
“ถ้าอย่างนั้น ก็ไปพบเขากันเลย โอ้ แต่นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านคาเรลจะไม่หลับไปแล้วเหรอ?”
หานซั่วอยากจะพบเขาทันที แต่เมื่อลองใคร่ครวญดูดี ๆ เขาก็ฉุกคิดขึ้นมา
“ไม่เป็นไรหรอก ปกตินายท่านก็นอนดึกอยู่แล้ว ถ้าท่านว่าง พวกเราไปตอนนี้เลยก็ได้”
โบลแลนด์ตอบ
“เอาล่ะ งั้นก็ไปกันเลย”
หานซั่วตอบอย่างเยือกเย็น ก่อนจะออกเดินทางไปพร้อมกับโบลแลนด์โดยมุ่งหน้าไปยังสวนกุหลาบที่อยู่ทางตอนเหนือของเมือง
ภายใต้แสงสุกสว่างอันงดงามของดวงจันทร์ หานซั่วและโบลแลนด์กำลังมุ่งไปทางทิศเหนือ ความเร็วของโบลแลนด์ในฐานะนักฆ่าฝีมือฉกาจนั้นรวดเร็วราวสายฟ้า และเป็นเพราะเขาเคยชินกับการเคลื่อนไหวในความมืด จึงทำให้คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถมองเห็นตัวตนของเขาได้เลย
ส่วนหานซั่วที่อยู่ในอาณาจักรพลังแยกร่างปีศาจ และยังมีปีศาจอาคมที่คอยเฝ้าระวังสถานการณ์อยู่โดยรอบ หานซั่วจึงเคลื่อนที่ไปมาราวกับภูตผี โดยไม่เกรงกลัวว่าจะมีคนเห็นแม้อยู่บนถนนที่มีแสงสว่าง และความเร็วของเขาก็สูงมากจนทำให้เงาของหานซั่วดูราวกับเป็นเพียงกลุ่มควันจาง ๆ ที่พัดผ่านไปเท่านั้น
เมื่อเทียบกับความตื่นตัวของโบลแลนด์แล้ว หานซั่วดูสงบกว่ามาก เมื่อมีปีศาจอาคม หานซั่วจึงสามารถหลีกเลี่ยงพื้นที่ ๆ มีผู้คนอยู่ได้อย่างง่ายดาย และยังสามารถไล่ตามโบลแลนด์ไปได้ติด ๆ
เมื่อมาถึงอาณาเขตของสวนกุหลาบทางตอนเหนือ ทั้งคู่ก็ชะลอความเร็วลง ในช่วงเวลากลางคืนที่เงียบสงัด คือเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับเรื่องในที่ลับ เมื่อบรรดาถนนหนทางที่ตรงมายังสวนกุหลาบเต็มไปด้วยรถม้าหรูหรา ที่ค่อย ๆ เดินทางมาอย่างเงียบ ๆ และมีเพียงพ่อบ้านหรือคนรับใช้ไม่กี่คนเป็นคนขับที่นั่งอยู่ด้านหน้า
ในฐานะย่านโคมแดงที่โด่งดังที่สุดในจักรวรรดิแลนซล็อต ธุรกิจของสวนกุหลาบจึงเป็นไปได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ เมื่อมีจอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลคอยดูแลความมั่นคงปลอดภัย และมีลอว์เรนซ์เป็นเจ้าของธุรกิจที่แท้จริง สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นหลุมพรางแห่งตัณหาไปโดยปริยาย
เพราะเส้นทางไปยังสวนกุหลาบเริ่มแน่นขนัด จึงทำให้หานซั่วและโบลแลนด์ต้องชะลอความเร็วลง แต่โบลแลนด์ก็คุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดี เขาจึงนำหานซั่วไปยังประตูด้านหลัง
ประตูด้านหลังของสวนกุหลาบนั้นอยู่ไกลและไร้ซึ่งผู้คน ตามปกติแล้ว จะมีเพียงพนักงานที่ใช้ทางเข้านี้เท่านั้น หรือไม่ก็ใช้ต้อนรับลูกค้าที่มีตัวตนพิเศษมากจริง ๆ ส่วนพวกขุนนางชั้นสูงที่มาเพื่อแสวงหาความสำราญนั้นจะไม่ใช้ทางเข้าด้านนี้เลย
“โบลแลนด์ ในเมื่อท่านตัดสินใจเข้าร่วมสำนักของข้า มีเรื่องบางอย่างที่ข้าต้องพูดให้เข้าใจกันก่อนนะ”
หานซั่วพูดกับโบลแลนด์ขณะเดินตรงไปยังประตูทางเข้าด้านหลัง
“ได้โปรดบอกมาได้เลย”
โบลแลนด์พูดด้วยความเคารพ
“โบลแลนด์ ท่านไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไป ในวันข้างหน้า ท่านแค่เรียกว่าศิษย์พี่ แทนที่จะเรียกว่ามาร์ควิสก็พอ แล้วสำนักของเราก็มีชื่อว่า “สำนักอสูรสวรรค์” มีคนน้อยมาก ๆ ในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำที่รู้เกี่ยวกับพวกเรา ส่วนอาจารย์ของพวกเรา ก็คือยอดฝีมือที่มาจากภพอื่น เขาบังเอิญได้เดินทางมายังอาณาจักรแห่งความลึกล้ำโดยบังเอิญ และถ่ายทอดศาสตร์การต่อสู้นี้ให้กับข้าก่อนจะจากไป…”
หานซั่วพูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบา โดยแฝงเรื่องโกหกลงไปเล็กน้อย
โบลแลนด์ฟังอย่างตั้งใจ เมื่อหานซั่วพูดจบ โบลแลนด์ก็รู้สึกทึ่งและพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“พอรู้ว่าท่านอาจารย์คือผู้ที่ทรงพลังและมาจากภพอื่นแบบนี้ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงครอบครองศาสตร์อันลึกลับที่ทั่วทั้งอาณาจักรแห่งความลึกล้ำไม่เคยได้ยินมาก่อน การที่ไม่ได้พบบุคคลผู้นั้นช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริง ๆ!”
“ฮะ ๆ ๆ ความแข็งแกร่งของท่านอาจารย์น่ะยากเกินหยั่งถึง แต่ข้าจะถ่ายทอดศาสตร์การต่อสู้ของสำนักอสูรสวรรค์ต่อไปแทนท่านอาจารย์เอง ด้วยความสามารถของท่านแล้ว จะต้องช่วยได้มากแน่ ๆ อย่าห่วงไปเลย วิธีอำพรางจิตสังหารเป็นรากฐานของศาสตร์อสูรสวรรค์อยู่แล้วด้วย ไม่เพียงแต่ท่านจะสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ท่านจะสามารถใช้จิตสังหารได้อย่างทรงพลังมากขึ้นด้วย”
หานซั่วตอบด้วยท่าทีเคร่งขรึม
ศาสตร์การต่อสู้ที่หานซั่วจะถ่ายทอดให้กับโบลแลนด์นั้นเรียกว่า วิถีเทพพิฆาตมาร ซึ่งไม่ใช่ศาสตร์ของผู้ฝึกฝนเวทย์ปีศาจแบบดั้งเดิม เพราะแม้โบลแลนด์จะฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุด เขาก็ไม่สามารถเทียบชั้นกับหานซั่วได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากโบลแลนด์สามารถเข้าใจและฝึกฝนศาสตร์นี้ได้อย่างชำนาญ ความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าในการฝึกฝนนั้นแฝงการบ่อนทำลายบางสิ่งบางอย่างผ่านความกระตือรือร้นที่มากเกินจำเป็น เพราะมันเป็นการนำจิตสังหารอันกล้าแข็งของโบลแลนด์มาเป็นตัวแปรเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของเขา ซึ่งก็ไม่ใช่วิธีที่สามารถทำได้แบบค่อยเป็นค่อยไปเหมือนการฝึกฝนของหานซั่ว และใช่ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัดในการพัฒนาด้วยเช่นกัน หานซั่วเพียงต้องการศิษย์ผู้น้องที่จะสามารถช่วยเหลือเขาในการกำจัดฝ่ายตรงข้าม ไม่ได้ต้องการคนที่จะมาแข่งขันกับเขาในระดับพลังของเวทย์ปีศาจ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าโบลแลนด์จะสามารถพัฒนาไปได้มากเพียงใด เขาก็จะไม่มีวันทำร้ายตัวตนของหานซั่วได้อย่างแน่นอน
“ศิษย์พี่ ขอบคุณมาก”
ตอนที่พวกเขากำลังจะเข้าประตูทางด้านหลังของสวนกุหลาบ โบลแลนด์ก็โค้งคำนับหานซั่วด้วยความเคารพ
หานซั่วไม่ได้รีบร้อนเข้าไป เขาจึงยิ้มและตอบหลังจากรับการคำนับของโบลแลนด์แล้ว
“เพราะท่านยังไม่ได้เข้าร่วมสำนักอย่างเป็นทางการ ข้าก็เลยยังถ่ายทอดวิชาให้กับท่านในทันทีไม่ได้ ไว้หลังจากพบกับท่านคาเรลเรียบร้อยแล้ว ข้าจะช่วยท่านจัดการเรื่องพิธีกรรมเข้าสำนักให้เอง และหลังจากที่ท่านเข้าร่วมสำนักอสูรสวรรค์อย่างเป็นทางการ ข้าก็จะช่วยให้ท่านได้ชำระล้างและฟื้นฟูร่างกายก่อนที่จะมาเรียนรู้ศาสตร์ของสำนักเราต่อไปนะ”
“ข้าจะเชื่อฟังที่ศิษย์พี่พูดทุกอย่าง”
แม้ว่าโบลแลนด์จะอายุมากกว่า เขาก็ยังแสดงความเคารพต่อหน้าหานซั่ว และไม่กล้าที่จะแสดงท่าทีปล่อยปละละเลยแม้แต่น้อย
หานซั่วยิ้มและพยักหน้า
“เอาล่ะ พาข้าเข้าไปในสวนกุหลาบได้แล้ว”
โบลแลนด์นำหานซั่วลงไปตามเส้นทางสู่ห้องลับที่ลอว์เรนซ์เคยพาเขามาเมื่อครั้งก่อน หลังจากเปิดประตูเข้าไป โบลแลนด์ก็ยังพาหานซั่วไปตามทางที่สลับซับซ้อนอีกมากมาย ก่อนจะไปถึงห้องที่จอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลอยู่ในที่สุด
จอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลกำลังนั่งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ในห้องโถงสีขาวที่กว้างขวาง แม้ว่าเส้นผมจะเป็นสีขาวแล้ว แต่เขากลับเปล่งประกายไปด้วยพลังและความมีชีวิตชีวา ดวงตาอ่อนโยนของเขาจ้องมองไปทางด้านหน้าอย่างผ่อนคลาย เมื่อเห็นหานซั่วเดินเข้ามา คาเรลก็ยิ้ม
“พ่อหนุ่ม เจ้านี่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ นะ”
แล้วโบลแลนด์ก็ออกไปหลังจากที่พาหานซั่วมาถึงจุดหมายแล้ว ทิ้งให้คาเรลและหานซั่วได้พูดคุยกันตามลำพัง เมื่อหานซั่วได้ยินคำชมเชยของคาเรล เขาก็ยิ้มออกมาอย่างนอบน้อม
“ท่านชมข้าเกินไปแล้ว”
“สำหรับเจ้าที่มอบอาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างดาบดาราพรายให้ฟีบี้ หึหึ แค่นั้นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วล่ะว่าเจ้ามีเจตนาดีมากทีเดียว”
คาเรลยิ้ม ก่อนจะพูดต่อ
“ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายเรื่องที่เจ้าจะสอนโบลแลนด์หรอกนะ เจ้าไม่ต้องกังวล เพราะข้าไม่เคยมองโบลแลนด์ในฐานะคนรับใช้ ซึ่งเขาก็มีอิสระเป็นของตัวเองมาโดยตลอด พอได้เห็นเขาดูตื่นเต้นดีใจเหลือเกินที่จะเรียนรู้ศาสตร์การต่อสู้นี้จากเจ้า ก็แสดงว่าเจ้ามีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจของเขาได้มากจริง ๆ และข้าจะเคารพการตัดสินใจของเขา”
“ถ้าอย่างนั้น ท่านเรียกข้ามาพบทำไมรึครับ?”
หานซั่วมีท่าทีผ่อนคลาย เขายิ้มและเอ่ยถาม
“ข้าก็แค่อยากเห็นคนที่มาดามเกรซทำนายไว้ว่าจะเป็นผู้นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่จักรวรรดิแลนซล็อตเท่านั้นเอง แล้วก็อยากรู้ด้วยว่าเจ้าจะมีแผนการยังไงต่อไป”
คาเรลจ้องมองหานซั่วด้วยดวงตาเป็นประกาย และตอบด้วยรอยยิ้ม
แล้วหานซั่วก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดจักรพรรดิอูห์เทร็ดถึงมีท่าทีแปลก ๆ เช่นนั้น!
********************