Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 252
ตอนที่ 252 เอาคืน
ตอนนี้พาสปอร์ตกลายเป็นสิ่งไร้ค่าขึ้นมาทันทีแต่หลีไต้ก็ยังไปที่สํานักงานความมั่นคงเพื่อไปรับพาสปอร์ตกลับมาอยู่ดี
จากนั้นเขาก็จองตั๋วรถไฟกลับบ้าน เขาวางแผนที่จะไปรับพาสปอร์ตตินเช้แล้วกลับบ้านตอนเที่ยงเขาคงถึงบ้านไม่เกินมืด แล้วก็ได้กินข้าวมื้อเย็นกับครอบครัว
“รูปในพาสปอร์ตฉันนี้ดูดีน่าดูเลยนะเนี่ย ดูดีกว่าในบัตรประชาชนอีกคงต้องเปลี่ยนลุคให้ดีขึ้นตอนไปถ่ายรูปบัตรประชาชนใหม่แล้วมั่งเนี่ย”หลี่ได้มองดูรูปในพาสปอร์ต
เขาแทบจะออกมาจากที่นั่นทันที่ที่เห็นคนเป็นโหลเดินเข้าออกกันเต็มไปหมด และในตอนนั้นเองที่รถมินิบัสขับเข้ามา
“หัวหน้าครับ ทําไมไม่อยู่ต่ออีกหน่อยละครับ นานๆจะมาที่”ผู้จัดการฉินจับมือชายชราอย่างหนักแน่น
“ฉิน ฉันมีงานต้องทําในเมืองฉินหน่ะ ฉันต้องรีบไปพบกับหลายหน่วยที่อยู่ที่นี้ ฉันแค่ผ่านมาแวะเจอนายแค่นั้นเองแล้วไหนๆนายก็ดูสบายดีแข็งแรงแล้วฉันก็ไม่ต้องเป็นห่วงนายแล้วละฉันไปละ!” ชายแก่โบกมือของเขา
รองผู้จัดการข้างๆพวกเขารู้สึกประหลาดนิดหน่อยตอนที่ชายแก่คนนี้เรียกู้จัดการของพวกเขาว่าฉันเฉยๆปรกติในสํานักงานความมั่นคงทุกคนที่เจอผจก.ฉินก็จะเรียกเขาว่าผจก.ฉินกันทุกคนด้วยความเคารพแล้วนี้ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินคนเรียกผู้จัดการว่าฉินเฉยๆ
แต่ถึงอย่างงั้น พวกเขาก็รู้จักชายแก่คนนั้นเป็นอย่างดีเขาเป็นถึงคนที่เรียกผู้จัดการว่าฉันได้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในกองทัพผู้จัดการฉินนั้นเคยเป็นหัวหน้าหน่วยส่วนชายแก่คนนั้นเป็นผู้บังคับบัญชาของเขา แล้วพอพวกเขา ยุบหน่วยไป ชายแก่คนนี้ก็ไปที่ฮั่วจิงแล้วไปมีตําแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสเขาเป็นคนที่ทุกคนเคารพเสมอไม่ใช่เพียงเพราะความสามารถและประวัติการทํางานแต่รวมไปถึงตําแหน่งของเขาด้วย
ชายแก่คนนั้นหันหลังกลับแล้วกําลังจะจากไปทันใดนั้นเขาก็เจอหลีไต้ยืนอยู่ไม่ไกลจากบันไดหน้าประตูทางออกของตึก
“หนุ่มคนนั้นก็มาที่เมืองฉนด้วยเหรอ”หลังจากที่คิดไม่นาน เขาก็พูด”ฉันเจอคนรู้จักนิดหน่อยเดี๋ยวฉันว่าจะไปทักซักหน่อย พวกนายอยู่นี้ก่อนนะ ไม่ต้องตามฉันมา”ผู้จัดการฉินพยักหน้าทันทีแล้วมองดูเขาเดินไปหาหลีไตส่วนคนที่เหลือก็เห็นผู้จัดการฉันทําตามคําสั่งเลยไม่กล้าเดินตามไปเหมือนกัน
ชายแก่คนนั้นเดินไปหาหลีใต้แล้วหลีไต้ก็เห็นเขาพอดี
“สวัสดีพ่อหนุ่มเราเจอกันอีกแล้วนะ!จําฉันได้ไหม”ชายแก่พูดด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีครับ จําได้ซิครับ ไม่คิดเหมือนกันครับว่าจะเจอคุณที่นี้”หลี่ไต้เดินเข้าหาเขาแล้วถาม “ช่วงนี้ได้วิ่งมาราธอนอยู่ไหมครับยังเป็นตะคริวที่ขาอยู่บ้างไหมครับ?”
ชายแก่คนนี้คือคนที่ล้มลงระหว่างการแข่งฮาฟมาราธอนที่ทะเลสาบจินหยาน หลี่ได้เป็นคนที่ช่วยเขาแล้วก็นวดให้เขาจนหาย
“ขาฉันหายดีแล้ว แต่ฉันวิ่งมาราธอนอีกไม่ได้แล้วละ” พอเห็นพาสปอร์ตของหลี่ได้ ชายแก่ก็พูด “นายมาเอาพาสปอร์ตเหรอ จําไปต่างประเทศเหรอ ฉันจําได้ว่านายเป็นโค้ชนี้จะไปแข่งต่างประเทศเหรอ”
“ไม่ได้ไปแข่งครับ แต่ไปดูงานมากกว่าครับ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้ไปแล้วละครับ สิทธิ์ในการไปของผมโดนเจ้าหน้าที่บางคนแย่งไปแล้วครับ”หล่ไต้พูดด้วยน้ําเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“โดนเจ้าหน้าที่เอาไปงั้นเหรอ” ชายแก่คนนั้นเปลี่ยนน้ําเสียงทันทีที่รู้ว่ามีใครเอาที่ของหลี่ได้ไป “ตอนที่ฉันยังหนุ่มฉันมีโอกาสไปที่ฮังการี่ครั้งหนึ่ง ฉันก็โดนบอกว่าไม่ได้ไปก่อนได้ไปเพียงแค่2วันเหมือนกันนายไปประเทศไหนละ”
“อเมริกาครับ ทางกรมการกีฬาได้จัดให้โค้ชไปเรียนรู้ที่ศูนย์ฝึกที่อเมริกา แต่ละทีมส่งโค้ชไปได้คนนึงทีมผมส่งผมไปแต่หัวหน้าซักหน่วยนึ่งเอาที่ของผมไป”
“หัวหน้าหน่วยไหนละ? ถึงได้อยากจะไปต่างประเทศจนตัวสั่นขนาดนั้น” ชายแก่ถามด้วยรอยยิ้ม
“หน่วยเจ้าหน้าที่ปลดประจําการครับ”หลี่ไต้ตอบ
“หน่วยเจ้าหน้าที่ปลดประจําการเหรอ ไอ้พวกนั้นจะไปเรียนรู้อะไรที่อเมริกาได้ละ พวกนั้นเป็นแค่เจ้าหน้าที่ที่เกษียรไปแล้วนะเปลืองงบประมาณประเทศจัง!” ชายแก่ขมวดคิ้ว
“ก็ใช่หน่ะซิครับ ผมจะไม่บ่นเลยถ้ามันเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับการฝึกการแข่งหรือไม่ก็ในวงการกีฬาแต่นี้อะไรเจ้าหน้าที่ปลดประจําการไปแล้วพวกเขาจะไปเพื่อ?”หลี่ได้โกรธนิดหน่อย
ชายแก่พยักหน้าแล้วจําเรื่องนี้ไว้ในใจ เขาเปลี่ยนเรื่องแล้วพูด “เออ พ่อหนุ่ม คราวที่แล้วเรารีบร้อนกันไปหน่อยเลยไม่ทันได้ถามชื่อเลย”
“ชื่อของผมคือหลีไต้ครับ ผมเป็นโค้ชจากทีมกรีฑาเขตนี้” หลี่ได้บอกชื่อตัวเองทันที
“ฉันชื่อเจียงตาหยง ฉันคิดว่าฉันน่าจะแก่กว่าพ่อนายหน่อยๆ งั้นเรียกฉันว่าลุงเจียงก็ได้”ชายแก่พูดด้วยรอย
หลี่ไต้พยักหน้าแล้วมองไปทางที่ลงเจียงมา เหมือนกับว่ามีกลุ่มคนกําลังรอเขาอยู่
“ลุงเจียงเป็นหัวหน้าของสํานักงานความมั่นคงเหรอครับ?”หลีไต้ถามอย่างรอบคอบ
“ฉันไม่ใช่หัวหน้าหรอกฉันจะเกษียรอยู่แล้ว”จากนั้นเจียงตาหยงก็ชี้ไปทางคนพวกนั้น “เมื่อก่อนฉันอยู่ในกองทัพหน่ะแล้วคนพวกนั้นก็เป็นเพื่อนเก่าฉันเองฉันมาแวะเยี่ยมพวกเขาเฉยๆหน่ะ”
“ไอ้หนุ่มนั้นมันเป็นใครหน่ะ? เขาไปรู้จักหัวหน้าเจียงได้ไง? พวกเขาดูสนิทกันด้วย เขาอาจจะมีอํานาจหน้าดูเลย”
ดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนนั้นจะมาทําธุระอะไรซักอย่างนะ ดูนั้นซิ เขามีพาสปอร์ตอยู่ในมือด้วยเขาน่าจะมาทําพาสปอร์ตละมั้ง?”อาจจะเป็นไปได้แต่แต่ก็ดีนะถ้าเขามทําพาสปอร์ตจริงเราจะได้รู้ข้อมูลของเขาได้ว่าเขาเป็นใครคนในกลุ่มนั้นกระซิบกันไปมาเอาจริงๆพวกเขาไม่ได้แคร์หรอกว่าหลี่ไต้จะเป็นใคร แต่ที่พวกเขาแคร์คือทุกย่างก้าวของเจียงตาหยงมากกว่า
หอประชุมหมายเลขหนึ่งของคณะกรรมการพรรคเขตนั้นเต็มไปด้วยหัวหน้าของสถาบันรวมไปถึงบริษัทต่างๆ ที่มีส่วนในส่วนบริหารของเขต
เหล่าผู้นําใหญ่ๆของเขตนั่งกันในแท่นยกสูงอย่างเป็นธรรมชาติ ทุกคนหน้าคุ้นตาหมด ยกเว้นเพียงต้าหยง
เจียงต้าหยงนั่งใกล้ๆกับตรงกลางของแท่นนั้น เขาใส่แว่นสายตาแล้วอ่านกระดาษในมืออย่างฉะฉาน”การตรวจสอบการใช้งบประมาณของรัฐนั้นเป็นปัจจัยหลักที่กลุ่มตรวจสอบอย่างพวกเราถือเป็นอย่างมากในระหว่างการตรวจสอบในหลายๆจังหวัดเราได้พบปัญหาในหลายปัจจัย ในบางพื้นที่ข้อมูลในด้านการใช้งบประมาณของ รัฐนั้นไม่โปร่งใสและขาดการกํากับดูแลในบางพื้นที่การกํากับดูแลรวมไปถึงการตรวจสอบข้อมูลทางการเงินนั้น ขาดแคลนเป็นอย่างมากรวมไปถึงบางหน่วยงานก็ยังได้รับงบประมาณไม่เพียงพอด้วย ในบางพื้นที่ มีการใช้งบประมาณเกินอย่างฟุ่มเฟือยเกิดขึ้นตลอดทุกปี และค่าใช้จ่ายที่แจ้งมากลับไม่เคยสอบคล้องกับงบประมาณที่มีเลยจากนั้น เจียงตาหยงก็ทําเสียงเยือกเย็นขึ้นแล้วพูด”นอกจากนี้การใช้งบประมาณของรัฐไปอย่างฟุ่มเฟือยก็ยังเกิดขึ้นหลายๆครั้งบัญชีงบประมาณในบางหน่วยงานเรียกว่าแทบจะเป็นขยะด้วยซ้ําค่าใช้จ่ายที่ระบุไว้ไม่ได้ระบุครบถ้วนหรือไม่ก็ไม่ได้ระบุตรงกับที่ใช้ไปในบางหน่วยงาน ถึงขึ้นไม่มีหลักฐานการใช้งบประมาณของรัฐเลยด้วยซ้ําแต่เขียนอ้างอยู่ในบัญชีงบประมาณพวกเขาใช้งบประมาณของรัฐไปในทางที่มิชอบแม้แต่ของที่ผิดกฎหมายอย่างเช่นของฝากหรือของขวัญในหน่วยงานก็เจออยู่ในบัญชีด้วยการไปต่างประเทศด้วยเงินของรัฐก็เช่นกันการขาดความรับผิดชอบยังคงเกิดขึ้นในบางหน่วยงาน พวกเขาถือเอาการไปดูงานต่างประเทศ เป็นการไปเที่ยวคนที่ควรจะได้สิทธิ์ไปกลับไม่มีโอกาสได้ไป แต่คนที่ไม่ควรได้ไปกลับได้ไปแทนตัวอย่างเช่นเรากํา ลังจะส่งโค้ชกีฬาบางคนไปศึกษาดูงานการฝึกที่อเมริกาที่ๆมีความก้าวหน้าทางการฝึกกีฬามากกว่าเราแต่ทําไมถึงมีหน่วยงานที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างเช่นคนจากกรมแรงงาน หน่วยเจ้าหน้าที่ปลดประจําการหรือสํานักงานบริหารจัดการครอบครัวไปแทนโค้ชได้ละแบบนี้มันเรียกว่าเปลืองงบประมาณของรัฐได้ไหม
อเมริกาเป็นประเทศทุนนิยม แล้วกรมแรงงานของเราจะไปเรียนอะไรจากพวกเขาได้ละเรียนรู้การประท้วงหยุดงานเหรอ? แล้วหน่วยเจ้าหน้าที่ปลดประจําการจะไปเรียนรู้อะไรจากพวกเขาได้ละอเมริกามีระบบการ เกษียณอายุที่เหมือนกับเรางั้นเหรอ แล้วสํานักงานบริหารจัดการครอบครัวอีกละ? ผมไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในเขตนี้ เรากําลังจะไปเรียนรู้ประสบการณ์การฝึกกีฬาดังนั้นเราควรจะให้คนที่รู้เรื่องนี้โดยตรงไปดีกว่าไหมอย่างเช่นพวกโค้ชแนวหน้าเราไม่ควรจะอนุญาตให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องถือเอาการดูงานนี้เป็นการไปเที่ยวโดยใช้เงินจากภาครัฐและภาษีจากประชาชนเราต้องตระหนักว่าเงินนั้นมันเป็นของประเทศเงินนั้นมันเป็นเงินของประชาชนพี่น้องทั้งหลาย เงินที่พวกเราได้มานั้น มันเป็นเงินของประชาชนเงินของส่วนรวมไม่ใช่ของส่วนตน ทุกๆ แดงที่มีเราควรใช้อย่างคุ้มค่าอย่าให้เสียแม้แต่หยวนเดียวมันไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่มันเป็นเรื่องความรับผิดชอบมันเป็นหน้าที่ของเรา!“เหล่าผู้นําเริ่มปรบมือน้ํา แล้วคนที่เหลือก็ปรบมือตาม
ผู้จัดการฉางจากกรมการกีฬาเริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆ”เรากําลังจะจัดให้โค้ชของเราไปดูงานที่อเมริกาพอดีแล้วทําไมหัวหน้าเจียงจากหน่วยงานตรวจสอบส่วนกลางถึงเอาเรื่องนี้มาเป็นตัวอย่างในการพูดได้วะแทนที่จะเป็นเรื่องอื่นนี้มันบังเอิญเกินไปละเขาพยายามจะแฝงอะไรไว้รึเปล่า หรือเขาต้องการที่จะแซะเราจริงๆ?“ผู้จัดการฉางร้อนตัวทันทีความรู้สึกของเขาบอกได้เลยว่าเจียงตาหยงไม่ใช่คนที่อยากจะพูดอะไรก็พูดถ้าไม่มีหลักฐาน”เขามาจากหน่วยงานการตรวจสอบของประเทศ เขาไม่ใช่เด็กพูดเล่นแน่ๆ ฉันต้องตรวจดูแล้วว่ามีอะไรผิดพลาดในกรมของตัวเองไหม”
ต่อมาผู้จัดการฉางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมข้อความทันที