Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 249
ตอนที่ 249 เหล่าคนเศร้า
ชเหว่ยตงทองไปที่เพื่อนร่วมงานของเขาที่กาลังเฉลิมฉลองอยู่ที่ปลายสนาม ก่อนที่จะหยิกแก้มตัวเองอย่างแรง เขารู้สึกเจ็บ แล้วรู้ตัวว่านี้มันไม่ใช่ความฝัน เขาพึมพัม “นี้เราชนะจริงๆใช่ไหม”
ก่อนหน้านี้ชเหว่ยตงรู้สึกว่าคิดถูก ตอนที่รับข้อเสนอของหลได้แล้วตัดสินใจที่จะเลือกให้นักกีฬาฝึกวิ่งผลัดอย่างเดียว เพราะยังไงความสามารถส่วนบุคคลของนักวิ่งในทีมก็ไม่ได้ดีพอที่จะทําผลงานได้ดีด้วยตัวเองเพียงคนเดียวในการแข่งกีฬาชาติอยู่แล้ว
แล้วหลังจากเกิดการประท้วง มันก็ยิ่งยากเลยที่จะจัดตั้งทีมวิ่งผลัดขึ้นมา โดยเฉพาะตอนที่หลี่ไต้เจอแต่นักกีฬาระดับกลางๆที่เข้ามาสมัครเพียงแค่หยิบมือ ในตอนนั้นชูเหว่ยตงก็ไม่ได้มีความมั่นใจในทีมวิ่งผลัดเลยซักนิด
การชนะที่ 1 ในรอบคัดเลือก มันก็ทําให้ชูเหว่ยตงประทับใจมากพอแล้ว เขาไม่เคยคิดเลยว่าทีมวิ่งผลัดจะได้เหรียญทอง แต่ตอนนี้พวกเขาก็ได้มาแล้ว ชูเหว่ยตงก็ยังไม่เชื่อเลย มันรู้สึกเหมือนความฝัน ทีมวิ่งผลัดวิ่งเข้าเส้นชัยได้ที่แล้วได้เหรียญทอง ชูเหว่ยตงตื่นเต้นมาก
ถึงแม้ว่าการได้เหรียญของการแข่งแบบเดียวจะดังกว่า แต่คุณค่าของเหรียญแบบกลุ่มนี้มันมีค่ามากกว่า การได้เหรียญทองการแข่งแบบกลุ่มนั้นหมายถึงความสําเร็จของทีม แล้วก็ยังสามารถเอาไปอวดได้ในประวัติอีกด้วย ถ้าเปรียบเทียบแล้ว ความสําเร็จแบบเดียวมันก็ยังไม่น่าอวดเท่าเหรียญการแข่งแบบกลุ่มเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลยคือตอนที่เขียนรายงานไปหาเจ้านาย เราสามารถเขียนโม้ในรายงานไปได้เลยว่ากลุ่มเราโหดขนาดไหน เข้มขนาดไหน ทีมเวิร์คดีขนาดไหน แต่คําพวกนั้นไม่สามารถเอามาโมในการแข่งแบบเดียวได้เลย ถึงแม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นแชมป์โอลิมปิคก็ตาม
มันไม่ค่อยมีการแข่งแบบเดี่ยวในกรีฑามากนัก การแข่งวิ่งผลัด4×100เมตรก็แน่นอนว่าเป็นการแข่งที่เป็นที่นิยมมากที่สุด
ชูเหว่ยตงตอนนี้เริ่มนึกถึงภาพตัวเองตอนที่รับรางวัลจากท่านผู้นําแล้ว
การแข่งขันกีฬาชาตินั้นมันก็เป็นเหมือนกับโอลิมปิคภายใน สําหรับคนที่อยู่ในระดับหัวหน้าอย่างเหว่ยตงนั้น เหรียญรางวัลนี้มันเป็นเหมือนตัวแทนของความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ หรือบางทีอาจจะหมายถึงโอกาสที่ดีในอนาคตด้วย
แน่นอนที่สุดเลย! พอเราได้เหรียญทองรอบนี้ ทีมวิ่งผลัดของเราในปีหน้าคงรุ่งโรจน์แน่ๆ ชูเหว่ยตงมองไปที่หลี่ไต้ขณะคิดแบบนั้น
“ความดีความชอบทั้งหมดเป็นของหลี่ไต้หมดเลย เขาทําให้เราสําเร็จได้ขนาดนี้ เราควรจะตบรางวัลให้เขาอย่างงามหลังจากกลับไป!”
พอคิดถึงเรื่องรางวัล ชูเหว่ยตงคิด เขายังไม่ทันคิดถึงเรื่องรางวัลให้กับหลี่ไต้เลย
“แค่ให้เขาเป็นหัวหน้าทีมวิ่งเร็วก็พอนี้! แต่เดี๋ยวเขาก็จะไม่อยู่กับทีมเราแล้วนี่หน่า เขาอาจจะกลับทีมชาติไปในเร็วๆนี้ก็ได้ ตําแหน่งหัวหน้าทีมอาจจะไม่ได้มีความหมายกับเขาขนาดนั้น”
“งั้นเอาเป็นพวกเงินอัดฉีดดีไกมนะ เพราะเงินสําหรับการแข่งกีฬาชาติก็ไม่ได้เยอะอยู่แล้ว แต่สวัสดิการมันดี ถึงเราจะให้เงินหลี่ไต้8000หยวน มันก็คงไม่พอหรอก เงิน8000หยวนมันไม่ได้เยอะเลยสมัยนี้”
ชูเหว่ยตงกุมขมับ “เอาไงดีวะ เราจะให้ตําแหน่งก็ไม่ได้เงินก็ไม่ได้ แล้วจะให้อะไรดีละ”
วินาทีต่อมา ชูเหว่ยตงก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขาลังเลซักพักก่อนจะตัดสินใจ
“เอาวะ ให้หลี่ไต้ได้มีโอกาสไปอเมริกาละกัน! มันเป็นโอกาสที่ไม่เหมือนใครดี ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นโค้ชทีม ชาติก็ตาม!”
ในโรงอาหารของทีมกรีฑาเขตสั่นเบ นักกีฬารวมตัวกันกินข้าวแล้วดูข่าวในทีวี การแข่งวิ่งผลัดกีฬาชาติกำลังถ่ายทอดสดบนทีวี
พอการแข่งเริ่มขึ้น นักกีฬาทุกคนในห้องนั้นก็นั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ด้วยความตื่นเต้น
ความตื่นเต้นนั้นทําให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนเชียร์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างออกไปเกือบล้านไมล์จากสนามแข่ง แต่พวกเขาก็ยังตะโกนให้ดังที่สุดเท่าที่ทําได้เหมือนกับว่าพวกเขาอยู่ในสนามแข่ง
“เฉียนตง ทนไว้! เร็วอีก! เออ!”
ตอนที่ฉือจี้จุนกับหยางฉือจี้กําลังจะไล่ตามเฉียนตงทัย ทุกคนก็ยืนขึ้นกันหมดด้วยความลุ้น
“เย้!! เราชนะ!! เฉียนตงพุ่งเข้าเส้นชัยไปแล้ว! เราชนะ!”
เสียงตะโกนและปรบมือดังลั่นจนโรงอาหารแทบแตก เสียงดีใจนั้นลั่นยาวเกือบ10นาที แต่นักกีฬาพวกนั้นก็ยังไม่ออกกัน พวกเขายังคงจ้องมองไปที่หน้าจอ รอดูพิธีมองรางวัล
“พวกเขาออกมาแล้ว!”บนหน้าจอนั้นเอง นักกีฬาผู้ชนะทั้ง12คนเดินออกมาบนโพเดี่ยมแยกเป็นกลุ่ม
“ดูเจ้าฉางเจียเหลียงซิ ดูมันเหมือนจะมีนๆนะ นี้มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้ขึ้นสนามปะเนี่ย เขาดูกลัวๆนะ”
“ดูซิ หรูหยฮาวกําลังโบกมือให้เรา!”
“โบกมือให้กล้องโว้ย ไม่ใช่เรา!”
“ฉันมั่นใจว่าเขาโบกมือให้เราแน่ๆ เพราะเขารู้ว่าเราก่าลังคอยดูอยู่ในทีวี”
“ดูเจ้าเฉียนตงนั้นซิ แผลเต็มตัวเลยแต่ก็ยังยิ้มร่าเหมือนฟันจะหลุดออกจากปากงั้นแหล่ะ”
“ทําไมตาเฉินเค่อหนานแดงงั้นหล่ะ? เขาร้องไห้เหรอ?”
“ร้องเห็นๆเลย เฉินเค่ออายุ30กว่าแล้ว เขาจะไม่ร้องไห้ได้ไงละ ถ้าเป็นฉันฉันก็ร้องเหมือนกัน”
แล้วตอนนี้เฉินก็ได้เหรียญทองด้วย เขาไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจแล้วหลังเขาเกษียรอะ”
“ก็ใช่อะดิ การได้เหรียญทองในกีฬาชาติแล้วเกษียรออกไปอย่าภาคภูมิ แน่นอนละว่าเขาต้องได้งานดีๆหลังจากจบไปแน่ๆ บางทีท่านผู้นําอาจจะให้งานดีกับเขาก็ได้ เขาหมดห่วงแล้วละ”
หวหยฮาวก็เหมือนกัน นับแต่นี้เป็นต้นไป เขาต้องกลายเป็นเป้าหมายหลักในการฝึกของทีมเราแน่ๆหลังจากที่เขากลับมา”
“ของมันแน่อยู่แล้ว”
“ส่วนหวางเห็นเควียงก็ดูจะเป็นคนที่โชคดีที่สุดแล้วนะ เป็นตัวสํารองวิ่งก็ไม่ได้วิ่ง แต่ดันมีชื่ออยู่ในทีมวิ่งผลัด ทําให้เขาได้อานิสงค์ไปด้วยเลย”
“โคตรโชคดีเลยจริงๆ”
“ถ้าตอนนั้นฉันได้สมัครเข้าทีมวิ่งผลัดนะ บางทีฉันอาจจะได้ไปยืนบนจุดนั้นก็ได้!”ใครบางคนดูหงอยๆขึ้นมา
แย่กว่านั้นคือตอนที่เฉินกุนเดินเข้ามาได้ยินบทสนทนาพอดี
“ถ้าฉันรู้ ฉันน่าจะไปเข้าทีมวิ่งผลัดตั้งนานแล้วนะ ถ้ามันจะได้เหรียญทอง”
เฉินกุนเศร้า ถ้ามันมีเครื่องย้อนเวลา เขาใช้มันเพื่อไปเข้าทีมวิ่งผลัดแน่ๆ เชนตั้งฉานกับซูหยอหยางก็รู้สึกแบบเดียวกัน เอาจริงๆ พวกเขาเสียใจแบบนี้ตั้งแต่ทีมวิ่งผลัดเข้ารอบจริงได้แล้ว และนั้นก็เป็นเหตุผลที่พวกเขาพยายามกล่าวหาหลีใต้
แต่พอนึกๆดู พวกเขาเองนั้นละที่ไม่คิดว่าทีมวิ่งผลัดจะเข้ารอบแล้วได้เหรียญตั้งแต่แรก พอพวกเขาเห็นทีมวิ่งผลัด4คนยืนตรงนั้น แล้วกําลังห้อยเหรียญทองอยู่ พวกเขาก็ได้แต่เสียใจ
“ตอนที่ทีมวิ่งผลัดจัดตั้งขึ้น พวกเขาอยากให้เราไปเข้าทีม แต่เราดันไปประท้วง ถ้าในตอนนั้นเรายอมรับฟังที่พวกเขาพูด เราคงได้ไปยืนอยู่บนจุดนั้นในเวทีแน่ๆ”ซูหยูอี้หยางถอนหายใจแล้วก้มหัวลง “ฉันคิดว่าฉันพลาดโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตฉันไปแล้ว แล้วฉันเองเนี่ยละที่ดันเป็นคนที่เอามันไปเอง
ไม่ไกลกันนัก หลี่ถั่วตงแตะไหล่ฉาเปาจุนเบาๆ”ฉะ ฉันว่าเราพลาดแล้วว่ะ เราไม่ควรไปแข่งกับหลี่ไต้ มันเป็นความผิดของพวกเราเอง