Akuyaku Reijou no Naka no Hito ~Danzai sareta Tenseisha no Tame Usotsuki Heroine ni Fukushuu Itashimasu~ - ตอนที่ 18 ผู้ที่อยู่ภายในหญิงสาวแห่งดวงดาว
- Home
- All Mangas
- Akuyaku Reijou no Naka no Hito ~Danzai sareta Tenseisha no Tame Usotsuki Heroine ni Fukushuu Itashimasu~
- ตอนที่ 18 ผู้ที่อยู่ภายในหญิงสาวแห่งดวงดาว
ผู้ที่อยู่ภายในหญิงสาวแห่งดวงดาว
ฉันเกลียดพ่อ เขาขี้โมโห ชอบทุบตี และเขาปล่อยให้คนแปลกหน้าที่มีเงินมากลูบคลำร่างกายฉันโดยที่เขาไม่ช่วยเหลืออะไรเลย
ฉันจำเรื่องเกี่ยวกับคุณแม่ไม่ค่อยได้… เพราะแม่เสียชีวิตตอนที่ฉันยังเด็ก แม่เป็น ‘ทาส’ ที่พ่อซื้อมาใช้งาน หลังจากที่ฉันเกิด สุขภาพของแม่ก็ย่ำแย่ และทุกครั้งที่เขาพาแม่ออกเดินทางไปค้าขายตามที่ต่างๆ แม่ก็ทรุดโทรมลงเรื่อยๆจนกระทั่งเสียชีวิตลง พ่อบ่นให้ฟังอยู่บ่อยๆว่าไม่คุ้มกับที่ซื้อมาทั้งที่เขาใช้งานเธออย่างหนักมาตลอดแปดปี แต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
คุณแม่เสียไปในตอนที่ฉันยังเด็กมาก ไม่รู้วันเวลาที่แน่นอน เสียชีวิตที่เมืองไหน อย่างไร หลุมฝังศพก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แม้แต่ใบหน้าก็จำไม่ได้ จำได้เพียงเรื่องเดียว แม่ชอบเล่านิทานให้ฟัง… เกี่ยวกับเด็กสาวที่ถูกกดขี่ทำให้พบกับความลำบากมาตั้งแต่เกิด แต่ก็มีชีวิตต่อไปโดยไม่ย่อท้อ จนกระทั่งได้พบกับเหล่าสหาย ออกเดินทางช่วยเหลือผู้คน สุดท้ายก็ได้รับการยกย่องเชิดชูจากทุกคนและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ฉันหวังว่าสักวันจะมีความสุขได้เหมือนกับเด็กสาวในนิทาน… มีคนที่เรียกว่าเพื่อน ได้ทำในสิ่งที่ชอบ…เช่นมีร้านดอกไม้เป็นของตัวเอง มีคนที่รักดอกไม้มาซื้อไปประดับบ้าน หรือให้เป็นของขวัญกับคนอื่น ไม่ว่าอย่างไหนก็ทำให้ผู้คนมีความสุข
ไม่เคยคิดถึงเรื่องแต่งงาน… แค่อยากมีเพื่อน เพราะคุณพ่อเป็นพ่อค้า มักออกเดินทางค้าขายโดยมักจะทิ้งฉันไว้ให้เฝ้าร้าน ฉันจึงไม่มีโอกาสได้หาเพื่อน แม้บางครั้งจะได้ออกไปพบเจอและพูดคุยกับเด็กรุ่นเดียวกัน แต่ก็ต้องออกเดินทางไปค้าขายที่อื่นก่อนจะได้สนิทกัน
เมือคิดดูแล้ว เด็กสาวในนิทานของคุณแม่อาจเป็นตัวแทนความปรารถนาของคุณแม่เอง
ทุกๆวัน ฉันต้องทำงานโดยหวาดกลัวคุณพ่อ ไม่รู้ว่าเขาจะอารมณ์เสียขึ้นมาเมื่อไหร่ วันหนึ่ง ขณะที่ฉันทำงานเฝ้าร้านเป็นปรกติ มีผู้หญิงท่าทางแปลกๆมาพูดกับฉันในเรื่องยากๆที่ฉันไม่เข้าใจ เธอแนะนำตัวว่าเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ภูติ และเธอเห็นภูติมากมายล้อมรอบตัวฉัน
หลังจากบอกไปว่าฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ไปโรงเรียนและไม่เคยเข้า ‘พิธีรับพร’ เธอแสดงความโกรธต่อคุณพ่อของฉัน ฉันหวาดกลัวมากขึ้นเมื่อคิดถึงว่าความโกรธเหล่านั้นจะมาลงที่ตัวฉันต่อ จึงจำเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่ค่อยได้ เมื่อรู้ตัวอีกที ฉันก็ถูกพาตัวออกมา แยกจากคุณพ่อ และได้เป็นนักเรียนของโรงเรียนสำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์ทางเวทมนตร์
พวกเขาบอกว่าฉันมีพลังของ ‘หญิงสาวแห่งดวงดาว’ ภูติที่อยู่รอบตัวฉันกำลังกังวลในเรื่องที่ฉันไม่ได้เรียนรู้การใช้พลังนี้ จนกระทั่งพี่สาวนักเวทมาพบตัวฉัน และคุณลุงที่ดูแลฉันก็บอกมาว่า อันที่จริง เด็กที่มีพลังเวททุกคนจะต้องเข้าพิธีรับพรตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อตรวจสอบและให้เรียนรู้วิธีควบคุมและใช้งานมันได้อย่างถูกต้อง ยกเว้นกรณีของฉันที่ไม่เคยได้เรียนเพราะคุณพ่อไม่อนุญาต ฉันจึงถูกส่งมาที่โรงเรียนแห่งนี้
คุณลุงคนนั้นบอกว่ามีลูกสาวอายุไล่เลี่ยกับฉันเป็นนักเรียนของโรงเรียนที่ฉันกำลังจะเข้านี้ หวังว่าพวกเราจะเป็นเพื่อนกันได้… ฉันตั้งหน้าตั้งตารอให้พบกับเธอ
ฉันถูกดูแลอย่างดี คุณลุงซื้อปากกา สมุดจด และหนังสือภาพมาให้ฉัน เพื่อที่จะได้เรียนรู้การอ่านตัวอักษรก่อนเดินทางไปเมืองหลวง ฉันแทบอดใจไม่ไหวที่จะได้อ่านหนังสือมากมายที่อยู่ใน ‘ห้องสมุด’ ของโรงเรียน
และแล้ว ฉันก็ถูกพาเข้ามาที่ ‘วังหลวง’ รู้สึกเหงาอยู่บ้างที่ต้องบอกลาคุณลุงใจดี แต่ก็ดีใจที่ได้เป็นอิสระจากพ่อ อยากได้คนอย่างคุณลุงมาเป็นพ่อจัง…
‘หญิงสาวแห่งดวงดาว’ ตั้งเดิมคือผู้หญิงที่ช่วยเหลือผู้กล้าในการเอาชนะเทพมารและสถาปนาประเทศนี้ขึ้นมา และผู้มีพลังแบบเดียวกันก็จะถูกเรียกด้วยชื่อนั้น เป็นเรื่องที่อยู่ในหนังสือที่คุณลุงซื้อมาให้ …และเป็นเหตุผลที่ฉันได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ชายสูงอายุในชุดหรูหราบอกกับฉันมาแบบนั้น แต่ฉันก็ไม่เห็นด้วยที่จะถูกเรียกว่า ‘ท่านพีน่า’ โดยเหล่าสาวใช้ที่ถูกสั่งให้มารับใช้… ฉันถูกจับอาบน้ำ สระผม ได้รับขนมที่ไม่เคยกินมาก่อน และให้นอนบนเตียงนุ่มๆในห้องส่วนตัว
ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังอยากไปโรงเรียน ที่ที่มีนักเรียนรุ่นราวคราวเดียวกับฉันมากมาย และฉันก็จะหาเพื่อนได้มากมาย… อาจเป็นเพราะตื่นเต้นเกินไปประกอบกับร่างกายยังไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้ฉันล้มป่วยในวันถัดมา สาวใช้ทุกคนใจดีกับฉันมาก พวกเขาดูแลฉันอย่างใกล้ชิด ฉันไม่เคยได้รับการเอาใจใส่ขนาดนี้ ในตอนที่ฉันอาศัยอยู่กับพ่อ แม้ในตอนที่ล้มป่วยก็จะถูกทิ้งไว้ให้นอนอยู่กับกองลังสินค้าเพียงคนเดียว
อยากหายเร็วๆ… ได้เข้าเรียนเร็วๆ ไปเรียนเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อนกับพวกเพื่อนๆ…
ในคืนนั้น ฉันอธิษฐานและหลับไป… และเมื่อตื่นขึ้นมา ดวงตายังมองเห็น หูยังได้ยิน แต่ร่างกายกลับไม่ขยับอย่างที่ตั้งใจ แม้แต่เปิดปากพูดก็ยังทำไม่ได้ ขณะที่ฉันตกใจและสับสน ร่างกายของฉันก็เริ่มพูดบางอย่างและลุกขึ้นมา เดินโซเซเพราะพิษไข้ไปที่กระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ในห้อง หลังจากส่องดูร่างตัวเองสักพัก ร่างกายนั้นก็อ้าปากตะโกนเสียงดัง ‘เกิดใหม่ต่างโลก!’
ทำให้ฉันยิ่งตกใจและสับสนมากขึ้นไปอีก
ดูเหมือนคุณสาวใช้จะได้ยินเสียงตะโกน… จึงรีบเข้ามาดูและถามไถ่อาการของฉันด้วยความเป็นห่วง แต่ร่างกายของฉันฟังด้วยความรำคาญก่อนจะเริ่มถามกลับ ‘โลกนี้มีเวทมนตร์ไหม?’ ‘ฉันเป็นใคร? อยู่ห้องแบบนี้ เป็นขุนนางสินะ? หรือเจ้าหญิง?’ คุณสาวใช้ถูกรบเร้าด้วยคำถามแปลกๆมากมาย
หยุดเถอะ พอได้แล้ว อย่าพูดอะไรแปลกๆกับคนใจดีที่ช่วยดูแลฉันแบบนี้ ฉันพยายามตะโกนบอกแต่ก็ไม่มีเสียงออกมา แม้ร่างกายยังเคลื่อนไหวอยู่แต่ก็ขยับปากของตัวเองเพื่อส่งเสียงพูดไม่ได้เลย
คุณสาวใช้ใจดีคนนั้นมองมาที่ฉันและแสดงความประหลาดใจออกมาขณะตอบคำถามทั้งหมด ฉันรู้สึกผิดเหลือเกิน
ในที่สุด… ร่างกายของฉันก็ใจเย็นลงและพูดว่า ‘ฉันคงป่วยหนักจนเบลอไปหน่อย อย่างเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเชียวล่ะ เข้าใจไหม? …ถ้าแกไปปล่อยข่าวลือแปลกๆให้ชื่อเสียงของหญิงสาวแห่งดวงดาวเสียหายล่ะก็ ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมว่าจะโดนอะไรบ้าง?’ ฉันขอโทษคุณสาวใช้ที่ถูกร่างกายของฉันข่มขู่ออกไป ขอโทษเสียงดังจนไม่ได้ยินว่าคุณสาวใช้ตอบกลับว่าอย่างไร แม้จะไม่มีเสียงออกมาให้ได้ยินแต่ฉันก็ทำได้แค่ขอโทษต่อไป
ได้โปรด… หยุดเถอะ…
“โอโตคิชิแน่ๆแล้ว? กำลังจะเริ่มบทในรั้วโรงเรียนพอดีด้วย? สุดยอด!!! ได้เป็นนางเอกอีกต่างหาก!! รอก่อนนะ ท่านแองเจิ้ล จะเอามาเป็นของฉันให้ได้!”
“ดีจริงๆที่เริ่มมาก็เข้าเรียนเลย บทบรรยายบอกว่านางเอกโตมาน่าสงสารเพราะมีพ่อเป็นผู้ชายห่วยแตก ข้ามไปซะได้ก็ดี ไอ้พระเจ้าหรือใครที่ส่งฉันมาโลกนี้ก็ไม่โผล่มาพูดอะไรสักคำ แต่ไม่เป็นไร แค่นี้อภัยให้ได้ เพราะฉันเป็นคนที่ถูกเลือกไงล่ะ”
หลังจากนั้น ฉันก็ควบคุมการกระทำของร่างกายตัวเองไม่ได้อีกเลย ทำได้แค่เพียงเฝ้ามองจากข้างใน เมื่อได้พบกับผู้ชาย ร่างกายของฉันก็เข้าไปแตะเนื้อต้องตามใจชอบโดยอ้างว่า ‘เป็นปรกติของสามัญชน’ น่าอับอายเป็นอย่างมาก… แม้ว่าฉันจะไม่มีเพื่อนแต่ก็ได้พบกับคนมากมายตอนที่เฝ้าร้าน ฉันรู้ว่าการที่ผู้หญิงจะเข้าไปลูบไล้ผู้ชายแบบนั้นเป็นเรื่องผิดปรกติแม้แต่สำหรับสามัญชน
ในตอนนี้ ฉันเข้าใจแล้วว่าร่างกายของฉันถูกใครคนอื่นควบคุมอยู่… เคลื่อนไหวตามความคิดของคนคนนั้น โดยที่ความรู้สึกยังถูกส่งผ่านมาถึงฉัน รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
คนที่ใช้ร่างกายของฉันคือผู้หญิงที่ชื่อ ‘รีนะ’ ดูเหมือนว่ารีนะได้ตายไปแล้วในโลกของเธอ เมื่อเธอรู้สึกตัวอีกทีก็เข้ามาอยู่ในร่างของฉันแล้ว ในใจของรีนะเต็มไปด้วยความคิดร้าย อิจฉาริษยา โกรธเกลียดชิงขังผู้อื่น ความรู้สึกของเธอที่หลั่งไหลเข้ามานั้นมีแต่สิ่งน่ารังเกียจ
เธอเคยไปโรงเรียนที่แตกต่างจากที่นี่ ในช่วงประถม มัธยมต้น และมัธยมปลาย เธอมักจะนินทาว่าร้ายรวมถึงปล่อยข่าวลือให้เสียหายกับคนที่เธอแค่รู้สึกว่าไม่ชอบหน้า เมื่อเธอเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยก็ยังทำแบบเดียวกัน แต่เรื่องเลวร้ายที่เธอทำลับหลังคนอื่นถูกประจานด้วยการบันทึกจากเครื่องมือที่เรียกว่า ‘สมาร์ทโฟน’ ทำให้เธอรู้สึกอับอาย และได้ถูกพ่อแม่ต่อว่าจนรู้สึกโมโห จากนั้นก็ได้กลายมาเป็น ‘คนเก็บตัว(ฮิคิโคโมริ)’ ที่ไม่สุงสิงกับใครอีกเลย… ความทรงจำในตอนที่ตายยังคลุมเครือ มันเกี่ยวกับ ‘เครื่องปรับอากาศ’ ที่ทำงานผิดปรกติท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัดในฤดูร้อน เธอไปเรียกร้องกับพ่อแม่ของเธอให้แก้ไข แต่ก็ถูกบอกมาว่าให้ออกมาข้างนอก เธอเดินกระทืบเท้ากลับไปที่ห้อง ทำลายบรรยากาศสงบสุขของครอบครัว หลังจากนั้นก็ดื่มน้ำที่มีรสหวานเป็นปริมาณมากแต่ก็ไม่สามารถดับกระหายได้ เส้นผมเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ดวงตาพร่ามัว และสติก็เบาบางลง… เธอคงเสียชีวิตลงทั้งอย่างนั้น
ในตอนที่ชีวิตของเธอมืดดับ รีนะเคียดแค้นทุกคนรอบตัว ‘ไอพวกตาถั่ว ไม่เห็นว่าแอร์มันเสีย’ ‘คอมแอร์ข้างนอกมันไม่ทำงานไมรู้หรือไง? ตั้งใจเมินชัดๆ’ ‘ทั้งที่ฉันต้องอดทนอยู่แท้ๆ ครอบครัวก็ยังทำตัวไม่ทุกข์ไม่ร้อนอยู่ได้ น่ารังเกียจชะมัด’‘พวกผู้หญิงน่ารำคาญนั่นก็ด้วย ทำให้ฉันต้องมาอยู่แบบนี้ตั้งแต่แรก’ ฉันสัมผัสได้แต่ความรู้สึกด้านลบอย่างรุนแรง
หลังจากที่รินะกลายเป็นฉัน เธอก็ยังไม่พอใจเมื่อเห็นคนอื่นมีความสุข เกลียดคนคนนั้นทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด เพียงเพราะเธอคิดว่า ‘ไม่ยุติธรรม’ ในทางกลับกัน เธอรู้สึกสนุกและสะใจที่ได้เห็นคนอื่นเจ็บปวดทุกข์ทรมาน
แม้ว่าฉันได้ไปโรงเรียนตามที่ใฝ่ฝัน แต่ก็ทำได้เพียงเฝ้าดู… และร้องไห้โดยที่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา ภายในใจเจ็บปวดตลอดเวลา
ลูกสาวที่คุณลุงเคยพูดถึง… มารี พยายามเป็นเพื่อนกับฉัน แต่ก็ถูกผู้หญิงคนนี้พูดเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่ฝ่ายเดียว ‘หืม NPCสนับสนุนสินะ แล้วท่านวิลอยู่ไหน? เพิ่มค่าความชอบยังไง?’ และเมื่อเห็นว่ามารีเริ่มทำตัวไม่ถูก เธอก็บอกไปว่า ‘ไม่ได้เรื่อง’ และจบความสัมพันธ์ในที ฉันได้แต่มองจากข้างใน รู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้แม้แต่กล่าวขอโทษเธอ
ฉันเคยตั้งใจว่าจะหาทางกลับมาควบคุมร่างกายของตัวเองอีกครั้งให้ได้ ‘กลับมาเป็นปรกติโดยเร็วเพื่อที่จะได้ขอโทษทุกคน’ แต่ตอนนี้ ฉันมีความคิดว่า ‘พอแล้ว ไม่อยากได้ร่างกายที่เป็นแบบนี้คืนมาแล้ว’ …และฉันก็รู้สึก มุมมองที่ฉันเห็นเริ่มเปลี่ยนไป ไม่เหมือนกับปรกติที่มองดูทุกอย่างจากภายในผ่านทางดวงตา
เป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก… รู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่รอบๆร่างกายตัวเองโดยไม่มีใครเห็น อันที่จริง ฉันอยากหนีไปให้ไกลกว่านี้ จะได้ไม่ต้องเห็นความเลวร้ายที่ร่างกายของฉันทำอยู่ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันไม่สามารถขยับไปไหนได้ไกล เหมือนถูกโยงด้วยเชือกที่มองไม่เห็น ได้แต่ถอยห่างออกมานิดหน่อย
หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่มองดูรีนะใช้ร่างกายของฉันทำเรื่องแย่ๆ นินทาใส่ร้ายคนอื่นต่อไป… แม้ว่าฉันจะไม่ชอบให้เธอตามจับผู้ชายแต่ฉันก็ห้ามปรามไม่ได้ เมื่อเธออาละวาดทำลายข้าวของในห้องส่วนตัวในหอพักเพราะมีอะไรไม่ได้ดั่งใจ ฉันก็ได้แต่คิดว่ายังดีที่เธอไม่ไม่ทำร้ายฉันหรือใครคนอื่น เธออาจจะทำตัวก้าวร้าวรุนแรงแบบนี้เฉพาะเวลาที่เธออยู่คนเดียวเท่านั้น
“ยัยขี่เหร่นั่นใส่เครื่องประดับซะสวยเชียว ได้มาจากแฟนล่ะสิท่า แอบขโมยไปทิ้งดีกว่า แล้วบอกกับแฟนของมันว่าเห็นเธอโยนทิ้งพร้อมกับบ่นว่า ‘ของห่วยๆ ไม่อยากได้’ แบบนี้แหละ! เดี๋ยวได้สนุกแน่!”
“อ่อยให้ขนาดนี้ยังกล้าทำเมิน… ไม่รู้หรือไงว่าถ้าหญิงสาวแห่งดวงดาวไปร้องไห้ให้คนใหญ่คนโตในปราสาทได้ยินแล้วจะเกิดอะไรขึ้น? แล้วฟ้องไปว่าพยายามเข้ามาฉีกเสื้อผ้าตอนที่อยู่กันแค่สองคน… อุหุหุหุ”
ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว
ทุกครั้งที่ฉันต่อต้านการกระทำของร่างกาย มุมมองที่ฉันเห็นจะถอยห่างออกทีละน้อย ตอนนี้เหมือนกับการเดินตามหลังอยู่ประมาณห้าก้าว ไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้ แต่ก็ยังดีกว่าการมองจากข้างในเหมือนกับฉันเป็นคนลงมือทำเอง และยังรู้ได้ว่ารีนะรู้สึกสนุกทุกครั้งที่เธอได้ทำร้ายคนอื่น
ในตอนแรก ไม่มีใครเชื่อคำพูดของรีนะ พวกผู้ชายก็แสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกรำคาญในพฤติกรรมของเธอ ซึ่งเธอก็ดูเหมือนจะรู้ตัว จึงได้ไปซื้อน้ำหอมแปลกๆมาจากร้านน่าสงสัยในตัวเมืองมาใช้ คนรอบตัวของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไป
คำโกหกของรินะมักเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล ทุกคนได้ฟังก็บอกได้ทันทีว่ามันไม่จริง แต่ตอนนี้ ทุกคนให้ความสำคัญกับทุกคำพูดของเธอ และทุกอย่างก็เลวร้ายลงเมื่อเธอยัดเยียดชาและคุกกี้ให้เจ้าชายกินได้สำเร็จ ขนมผสมยาแปลกๆที่ซื้อมาจากร้านน่าสงสัยแห่งนั้น ฉันเห็นทุกอย่าง พยายามขอโทษทั้งที่รู้ว่าไม่มีใครได้ยิน
หลังจากเปลี่ยนเจ้าชายให้เชื่อฟังได้สำเร็จ เธอก็เริ่มการกลั่นแกล้งผู้หญิงคนหนึ่งอย่างจริงจัง คู่หมั้นของเจ้าชาย ไม่ได้เป็นการเข้าไปคุกคามโดยตรง แต่เลวร้ายกว่านั้นมาก ‘ทำให้ดูเหมือนอีกฝ่ายเป็นคนกลั่นแกล้งตัวเอง’
คุณเรมิเลียเป็นผู้หญิงที่เหมาะกับเจ้าชายที่สุด… รูปโฉมงดงามดุจเทพธิดา ตอนที่ได้เจอกันเธอก็พยายามทำดีด้วย ไม่เข้าใจเลยว่ารีนะเกลียดเธอด้วยเหตุผลอะไร
“ไอ้คนน่ารังเกียจที่แสร้งทำตัวเป็นคนดี คนแบบนี้แหละที่ฉันเกลียดที่สุด”
ตอนที่อยู่คนเดียวในห้อง รีนะจะด่าทอใครสักคนอยู่เสมอ… ระยะนี้เธอพุ่งเป้าไปที่คุณเรมิเลีย แต่ฉันคิดว่าคนที่เลวร้ายที่สุดคือผู้หญิงคนนี้ต่างหาก
ผลการเรียนของคุณเรมิเลียจะอยู่ในอันดับสูงสุดเสมอ กิริยาท่าทางก็งดงามสมบูรณ์แบบน่าหลงใหล… เห็นครั้งแรกยังเผลอคิดเลยว่า ‘อย่างกับเจ้าหญิง!’ ความสามารถทางเวทมนตร์ก็มีมากว่านักเวทระดับสูง เป็นขุนนางที่เอาใจใส่แม้แต่ชาวบ้านผู้ยากไร้ ทำงานหนักโดยไม่หวังชื่อเสียง สมแล้วที่ถูกเรียกว่า ‘สุภาพสตรีตัวอย่าง’
หากฉันยังเป็นตัวของตัวเอง ฉันจะพูดคุยกับเธอให้ดีกว่านี้ในตอนที่เธอเข้ามาบอกว่าอยากเป็นเพื่อน… ไม่แน่ว่าตอนนี้พวกเราอาจเป็นเพื่อนกันแล้วก็ได้
ฉันมองดูร่างกายของฉันทำเรื่องเลวร้ายกับคุณเรมิเลีย โกหก ใส่ร้าย จ่ายเงินให้คนอื่นๆร่วมมือ ขโมยทรัพย์สินส่วนตัวของคุณเรมิเลียมาปลอมแปลงเป็น ‘หลักฐาน’ ก่ออาชญากรรมเพื่อสร้างเรื่องอาชญากรรมปลอม
ระยะนี้ มุมมองของฉันออกห่างจากร่างกายมากขึ้นจนสามารถทะลุกำแพงห้องออกไปที่โถงทางเดินได้ จึงเป็นเรื่องดีที่ทำให้ไม่ต้องเห็นรีนะใช้ร่างกายของฉันทำเรื่องสกปรกไร้ยางอายกับผู้ชาย
และในคืนหนึ่ง… ความรู้สึกที่เหมือนกับเส้นเชือกที่ผูกฉันเอาไว้กับร่างกายก็ได้ขาดลง ในตอนที่รีนะกับพรรคพวกรวมตัวกัน… กล่าวหาคุณเรมิเลียให้เป็นเรื่องใหญ่โต ทั้งที่ไม่มีอะไรเป็นความจริงเลย…!
“สอบสวนก่อนสิ!!”
“อย่าถูกหลอกนะ! แค่ฟังดูก็น่าจะรู้แล้วว่ามันไม่จริง!!”
ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรออกไปก็ไม่มีใครได้ยิน คุณเรมิเลียกำลังเสียนใจอยู่คนเดียวตรงนั้น… ดวงตาชื้นเหมือนใกล้จะร้องไห้ ฉันตะโกน ‘หยุดเถอะ!’ ครั้งแล้วครั้งเล่าแม้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ คุณเรมิเลียถูกตราหน้าว่าเป็นคนชั่วเพราะคำโกหกของรีนะ คนดีๆอย่างเธอต้องเจ็บปวดไปกับเรื่องพวกนี้ และรีนะก็พูดออกมาเบาๆว่า ‘สมน้ำหน้า ไอ้พวกเพียบพร้อม’ ขณะยิ้มแย้มอย่างมีความสุขที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา… รู้สึกได้ถึงความคิดน่าขยะแขยง ฉันพยายามต่อต้านร่างกายนี้อย่างสุดกำลัง
ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่อยากรับรู้… พอกันทีกับเรื่องพวกนี้!!!
ให้มันจบสักทีเถอะ!!!
เมื่อรู้ตัวอีกที… ตัวฉันก็ลอยอยู่เหนือเมืองหลวง มองเห็นปราสาทอยู่ไกลๆในสายตา ไม่ได้เป็นเหมือน ‘ถอยห่างได้มากขึ้น’ เหมือนที่ผ่านๆมา แต่รู้สึกว่าสิ่งที่เชื่อมต่อตัวฉันกับร่างกายได้หายไปอย่างสิ้นเชิง
“ในที่สุด… ก็เป็นอิสระสักที!”
แตกต่างกับการเคลื่อนไหวด้วยร่างกายตอนที่มันยังเป็นของฉันเพียงคนเดียว… ฉันกำลังโบยบินอยู่ในอากาศ สูงขึ้นหรือต่ำลงได้ดั่งใจ ไม่มีอะไรมาผูกมัด ไม่ว่าลมจะแรงสักแค่ไหนก็ไม่ถูกสายลมพัดพา และไม่ต้องถูกบังคับให้ดูคนอื่นใช้ร่างของฉันทำเรื่องที่ไม่ชอบอีกต่อไป รู้สึกโล่งใจจนน้ำตาแทบไหล
“หญิงสาวแห่งดวงดาว”
“ในที่สุดก็ออกมา”
“ลำบากมากเลย ลำบากมากจริงๆ”
“…พวกคุณคือ?”
มีดวงไฟหลากสีอยู่รอบตัวฉัน พวกเขาหมุนวนอย่างร่าเริง ส่งคำพูดเข้ามาในหัวโดยตรง เป็นเสียงเล็กๆใสๆราวกับกระดิ่ง
“พวกเราคือภูติวิญญาณผู้คุ้มครองหญิงสาวแห่งดวงดาว”
“เพราะดวงวิญญาณของหญิงสาวแห่งดวงดาวถูกกักขัง พวกเราถึงเป็นห่วงเอามากๆ”
“พวกเราอยู่ข้างๆเธอมาตลอด พยายามปกป้องเธอ”
ฉันเชื่อพวกเขาเพราะเคยได้ยินมาก่อน… พวกเขาเป็นภูตที่พี่สาวนักเวทพูดถึงว่าวนเวียนอยู่รอบตัวฉัน ฉันเคยได้ยินว่ามีแต่นักเวทผู้มีพรแห่งภูติเท่านั้นที่สามารถมองเห็นตัวภูติได้ การที่ฉันมองเห็นพวกเขาอาจเป็นเพราะในตอนนี้ตัวฉันเองก็มีสภาพเป็นดวงไฟเหมือนกัน
รู้สึกอบอุ่นเมื่อได้รู้ว่าพวกเขาอยู่กับฉันมาตลอด
และพวกเขาก็ชวนให้ฉันลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
ดูเหมือนตัวฉันในขณะนี้จะเหลือเพียงดวงวิญญาณ เป็นสิ่งที่ไม่มั่นคง หากฉันยังอาศัยอยู่ในโลกนี้โดยไม่มีสื่อกลางอย่างร่างกาย ตัวฉันจะแตกสลายและหายไปในไม่ช้า ฟังดูน่ากลัวยิ่งกว่าความตาย ดังนั้นจึงต้องตามพวกเขาไป ถ้าพวกเขาล้อมรอบดวงวิญญาณของฉันเอาไว้แบบนี้ จะเป็นการปกป้องดวงวิญญาณของฉันไม่ให้หายไป แต่พวกเขาก็แนะนำว่าฉันไม่ควรอยู่ในโลกมนุษย์จะเป็นการดีที่สุด
“ทำไมถึงอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้ล่ะ?”
“เพราะราชาภูติวิญญาณบอกมา! ถ้าอยู่ต่อจะเกิดเรื่องวุ่นวาย”
“การที่พวกเรามารวมตัวกันจะเป็นการมอบพรให้กับคนรอบข้าง ทำให้โชคดี พลังเวทแข็งแกร่ง หายจากอาการเจ็บป่วยได้เร็ว ผู้คนจึงอยากใกล้ชิดกับคนที่พวกเราติดตาม เมื่อความรู้สึกเหล่านั้นมีมากขึ้นมันก็จะกลายเป็นความรัก”
“เป็นส่วนหนึ่งของพรที่ภูติวิญญาณจะมอบให้บุคคลผู้เป็นที่รักของภูติ หญิงสาวแห่งดวงดาว เพื่อให้บุคคลผู้เป็นที่รักของพวกเราได้รับการทะนุถนอมจากคนรอบข้าง และเมื่อจิตวิญญาณของหญิงสาวแห่งดวงดาวได้เชื่อมโยงกัน พวกเราก็จะปกป้องพวกเขาเหล่านั้นด้วย”
“เมื่อหญิงสาวแห่งดวงดาวได้รับความรักคนรอบข้าง และหญิงสาวแห่งดวงดาวก็ให้ความสำคัญกับพวกเขา พลังแห่งการอธิษฐานต่อดวงดาวก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
ฉันเดาว่านี่อาจมีส่วนที่ทำให้คนอื่นๆยอมเชื่อฟังรีนะกันได้ง่ายๆ ไม่ใช้แค่ผลของยาจากร้านน่าสงสัยนั่นเพียงอย่างเดียว
พวกเราลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า เบื้องล่างมองเห็นแสงไฟส่องสว่างจากทั่วทั้งเมืองหลวง แต่เหลือเพียงจุดเล็กๆเหมือนดวงดาว ลอยสูงขึ้นจนกระทั่งรู้สึกเหมือนทะลุผ่านกำแพงที่มองไม่เห็น และในชั่วพริบตา ท้องฟ้าในยามราตรีก็สว่างจ้าขึ้นมาในทันที ทั้งที่ควรจะอยู่บนท้องฟ้าเหนือก้อนเมฆ แต่กลับเป็นใจกลางทุ่งดอกไม้ และจากตัวฉันที่เคยเป็นดวงไฟ ก็กลายเป็นเหมือนมีร่างกายของตัวฉันเองในอายุสิบสี่ปีอีกครั้ง
“ให้ดวงวิญญาณของหญิงสาวแห่งดวงดาวได้พักผ่อนที่นี่”
“ยังอีกนานกว่าโลกจะถึงวิกฤตครั้งต่อไป พักผ่อนให้สบายใจ”
“ถ้าอยากจะเกิดใหม่ พวกเราจะติดตามไปด้วยกันอีกครั้ง”
เมื่อเข้ามาในโลกแห่งภูติ ก็มีภูติมากมายที่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้ออกมาต้อนรับ เป็นครั้งแรกที่ถูกคนมากมายห้อมล้อมและปฏิบัติด้วยเป็นอย่างดี ทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขที่ได้มาที่นี่
…ในตอนแรกฉันรู้สึกสนุกที่ภูติทั้งหลายสอนเรื่องต่างๆให้มากมาย แต่ฉันก็ยังมีความทรงจำในสมัยที่ถูกผูกติดกับร่างกาย… เรื่องเลวร้ายที่ทำให้เจ็บปวดทั้งหลายยังวนเวียนอยู่ในหัวอย่างชัดเจน
พวกเขาบอกว่าเพราะฉันเป็นเพียงวิญญาณ ตัวตนในจินตภาพที่ถูกทำให้คงที่ ความทรงจำของฉันก็จะไม่มีวันเลือนหายไปไหน คำตอบนี้ทำให้ฉันรู้สึกหดหู่
ทุกครั้งที่ความทรงจำอันน่าเจ็บปวดเหล่านั้นผุดขึ้นมา ทุกๆคนที่นี่ก็จะแสดงความเป็นห่วงกับฉัน ฉันเองก็ไม่อยากให้พวกเขารู้สึกไม่ดีไปกับมันด้วยเหมือนกัน
ฉันจึงถามถึงวิธีที่จะหยุดความทรงจำเหล่านั้น
“อยากเกิดใหม่ไหม?”
“หากดวงวิญญาณกลับสู่วัฏจักรของการเกิดใหม่ ความทรงจำในชีวิตก่อนทั้งหมดจะหายไป”
เหล่าภูติวิญญาณบอกว่าจะตามไปปกป้องฉัน พวกเขาจะติดตามดวงวิญญาณของหญิงสาวแห่งดวงดาวเสมอ แต่ฉันกลัว… ว่าฉันต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงและถูกทุบตีเหมือนตอนที่ยังเด็กอีกครั้ง
คุณภูติบอกว่าในตอนที่ฉันเกิด พวกเขาจะมอบพรที่ทำให้ผู้คนรอบตัวรู้สึกชอบฉันได้ง่ายขึ้น ฉันจึงสงสัยว่าเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมฉันถึงถูกคุณพ่อปฏิบัติอย่างโหดร้ายอยู่อีก พวกเขาตอบว่า ‘หากพวกเราไม่ได้อยู่ที่นั่น หญิงสาวแห่งดวงดาวจะต้องเผชิญกับความเลวร้ายมากกว่านั้นอีกหลายเท่า’ …ฉันตกใจกับคำตอบที่ได้รับ
ฉันเคยมีพี่สาว เธอถูกทุบตีรุนแรงกว่าฉันมาก ถูกใช้งานจนหมดสภาพก่อนจะถูกขายให้ ‘ซ่อง’ ในตอนที่ฉันยังเด็กอยู่มาก…
เมื่อเทียบกันแล้ว ความเป็นอยู่ของฉันถือว่าดีกว่าพี่สาวที่ไม่เคยได้พบหน้า หากฉันเลือกที่จะไปเกิดใหม่… แม้จะสูญเสียความทรงจำ แต่ก็เป็นไปได้ว่าจะเกิดเป็นลูกของคนประเภทนั้นอีกครั้ง และลงเอยด้วยความทรงจำอันน่าเจ็บปวดเช่นเดิม ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้กลัว
ยิ่งไปกว่านั้น… คนที่เข้ามาใช้ร่างกายของฉัน รีนะ ทำเรื่องน่าขยะแขยงไร้ยางอายกับผู้ชายมากมาย ฉันถูกบังคับให้รับรู้และยังจำได้ชัดเจน จึงกลัวที่จะเกิดใหม่เป็นผู้หญิง… ที่ถูกพวกผู้ชายรุมกระทำเช่นนั้น
ฉันไม่อยากอยู่กับความทรงจำอันน่าเจ็บปวดเหล่านี้ กลัวการเกิดใหม่ กลัวการเป็นผู้หญิง กลัวทุกๆอย่างจนไม่รู้จะต้องทำอย่างไร ได้แต่กอดเข่าร้องไห้อยู่กลางทุ่งดอกไม้ ถึงจะทำให้เหล่าภูติทั้งหลายเป็นห่วงแต่ก็หยุดร้องไห้ไม่ได้ ความทรงจำอันเลวร้ายและตัวตนของรีนะยังตามหลอกหลอนไปอีกนานเท่านาน
ไม่รู้ว่าร้องไห้อยู่นานแค่ไหน ในทุ่งดอกไม้แห่งนี้ที่ควรเป็นสถานที่ของภูติเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับมีหญิงสาวผู้งดงามคนหนึ่งตามคุณภูติเข้ามา
“สวัสดี …ข้าทราบมาว่าท่านคือหญิงสาวแห่งดวงดาว?”
“เอ๋?! อะ อือ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ…!”
ฉันรีบลุกขึ้นและก้มหัวตอบรับท่านเทพธิดาที่เข้ามาทักทาย เส้นผมสีทองเป็นประกาย ดวงตาสีฟ้าเหมือนท้องฟ้า พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน รูปร่างที่เห็นเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเจอ ราวกับหลุดมาจากหนังสือภาพ หากพูดถึงเทพธิดาผู้มอบพรให้กับผู้กล้าก็ต้องจินตนาการออกมาเป็นเธอคนนี้อย่างแน่นอน
“หุหุหุ ไม่ใช่ยินดีที่ได้รู้จักหรอก พวกเราเคยเจอกันแล้ว แม้ว่าไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันโดยตรงก็ตาม…”
“อะ เอ๋…? อ๊ะ!!”
จำได้แล้ว ตอนที่ตัวฉันที่ไม่ใช่ตัวฉันลงมือกลั่นแกล้งคนคนหนึ่งอย่างร้ายกาจ คำโกหกทั้งหลายได้ทำให้เธอคนนี้เป็นคนบาป เธอต้องเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ผู้หญิงที่ถูกทุกคนรุมประณามในวันนั้นเติบโตขึ้นมางดงามราวกับเทพธิดา
“ขอโทษค่ะ.. เพราะฉัน…”
“หืม ขอโทษเรื่องอะไร? ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดเลยไม่ใช่หรือ?”
“เอ๋…?”
ฉันตัวสันด้วยความกลัวและรู้สึกผิดในเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ท่านเทพธิดา…คุณเรมิเลียจับมือฉันไว้อย่างอ่อนโยนและมองเข้ามาในดวงตา
“ฉันได้แต่ดูอยู่เฉยๆ…”
“น่าสงสารเหลือเกิน ท่านคงต้องทนเห็นสิ่งน่ารังเกียจมากมาย”
“ฉันอยากให้คนคนนั้นหยุดโกหก”
“และท่านก็ได้พยายามห้ามปราม? คุณธรรมและความกล้าหาญของท่านเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง”
“สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน… คนไร้ค่าอย่างฉันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากขอโทษ…”
“นั่นมันไม่จริงเลย ท่านแบกรับความรู้สึกเหล่านั้นด้วยตัวคนเดียวมาตลอด… แต่ท่านก็ยังพยายามทำให้ทุกอย่างกลับมาถูกต้องจนถึงที่สุด แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
“อ… อึก…!!!”
และคุณเรมีเลียได้เข้ามากอดตัวฉันที่ไม่มีการเจริญเติบโตจนดูเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ ฉันร้องไห้ออกมาอย่างเต็มที่ เป็นครั้งแรกที่ถูกกอดเอาไว้แบบนี้ ถูกลูบหัวอย่างอ่อนโยน น้ำตายังไหลไม่หยุด พูดอะไรไม่ออก คุณเรมิเลียพยายามพูดปลอบฉัน ‘ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง’ ‘เรื่องเลวร้ายผ่านพ้นไปแล้ว’ ‘ท่านไม่ต้องทนอีกต่อไป’ และความเจ็บปวดที่เกาะติดอยู่กับหัวใจของฉันก็ค่อยๆเลือนหายไปทีละน้อย
เวลาผ่านไปจนฉันเริ่มสงบลง คุณเรมิเลียเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากวันนั้นระหว่างที่ฉันได้ที่นั่งร้องไห้อยู่ในโลกของภูติ เธอบอกว่าผู้หญิงที่ใช้ร่างกายของฉันหลอกลวงผู้คนมากมายได้ถูกตัดสินว่าเป็นมาร ตอนนี้เธอได้ไปชดใช้ความผิดอยู่ในคุก และยังมีเรื่องเกี่ยวกับเทพมารและโลกปีศาจที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจ แต่อย่างน้อยก็โล่งอกที่ได้ยินว่าคนไม่ดีถูกกรรมตามสนองแล้ว และคนในประเทศก็ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขมากกว่าแต่ก่อน
“หลังจากนั้น ข้าก็ตามหาท่าน”
“ตามหาฉัน…?”
“ถูกต้อง ข้ารู้สึกเป็นห่วงดวงวิญญาณดั่งเดิมของท่าน เหล่าภูติวิญญาณและราชาภูติวิญญาณก็เช่นกัน พวกเขาจึงให้ข้าได้มาพบกับท่าน”
คุณเรมิเลียเล่าว่าเธอได้รับคำพยากรณ์จากพระเจ้าว่าโลกกำลังจะเข้าสู่ช่วงวิกฤต และได้รับความรู้ถึงวิธีที่จะหยุดยั้งมัน ซึ่งตัวฉันก็จะเป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องออกเดินทางเพื่อกอบกู้โลก คุณเรมิเลียรู้จักฉันจากคำพยากรณ์ หลังจากถูกมารร้ายใช้ร่างของฉันหลอกให้ถูกขับไล่ เธอก็ยังเชื่อว่า ‘เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่การกระทำของหญิงสาวแห่งดวงดาวตัวจริง’ เพราะฉะนั้น เธอจึงกังวลว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวจริงและได้ออกตามหาฉัน คุณเรมิเลียยิ้มอย่างเศร้าหมองเพราะไม่รู้เลยว่าจะตามหาตัวฉันที่อยู่ในโลกภูติได้อย่างไร ฉันได้ฟังแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง
ฉันมันแย่จริงๆ เอาแต่ร้องไห้ ทำให้คุณภูติกับคนอื่นๆต้องเป็นห่วงอยู่เป็นประจำ ฉันบอกกับคุณเรมิเลียว่าความทรงจำที่ถูกผูกมัดกับร่างกายทำให้ฉันต้องทุกข์ทรมาน แต่ก็กลัวการไปเกิดใหม่ ฉันลำบากใจที่จะเล่าให้ฟังเพราะมันเหมือนกับเด็กน้อยพูดเรื่องน่ารำคาญกับพ่อแม่ เอาแต่บอกว่ากลัวบอกว่าไม่กล้า และไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง
“นั้นคือเหตุผลที่ข้ามาที่นี่ เพื่อขอให้ท่านตัดสินใจ… ท่านอยากเกิดเป็นลูกของข้าไหม?”
“เอ๋…?!”
“ท่านราชาภูติวิญญาณต้องการหาครอบครัวที่ดีให้ท่านได้เกิดใหม่เพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และข้า ผู้ได้รับพรจากเทพธิดาแห่งการชำระล้าง จึงถูกขอความร่วมมือในเรื่องนั้น”
“ลูกของคุณเรมิเลีย…?”
“แน่นอนว่านิยามความสุขของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน แต่ข้าจะไม่เป็นพ่อแม่ที่ทำให้ท่านต้องเป็นทุกข์อย่างแน่นอน ไม่ดุด่าทุบตีอย่างไร้เหตุผล ไม่ทำให้ลูกของตนต้องอยู่อย่างหวาดกลัวหรือมีเรื่องไม่สบายใจ”
“…ให้ฉันเกิดเป็นลูก คุณเรมิเลีย ไม่เป็นไรเหรอ?…”
“ข้าเองก็อยากต้อนรับเด็กสาวผู้น่ารัก ใจดี ขยันขันแข็ง กล้าหาญ อดทน เข้ามาเป็นครอบครัวด้วยเหมือนกัน”
เธอเอื้อมมือมาปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของฉันและเข้ามากอดอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้น วิญญาณของฉันจะเข้าไปแทนที่คนอื่น…?”
“ช่างอ่อนโยนจริงๆ แต่ไม่ต้องกังวล ดวงวิญญาณจะไม่เข้าไปสถิตก่อนมีอายุครรภ์ 6 เดือน ท่านจะถูกกำหนดให้เป็นดวงวิญญาณของทารกนั้นตั้งแต่แรก จึงไม่เป็นการเบียดเบียนผู้ใด”
“แล้วความทรงจำทุกอย่างจะหายไป?”
“ก็ไม่เชิง ครั้งนี้จะแตกต่างจากการกลับสู่วัฏจักรตามปรกติ ท่านราชาภูติวิญญาณจะทำการย้ายดวงวิญญาณเข้าสู้ร่างด้วยตนเอง แม้ว่าจะเกิดใหม่แต่ก็ยังหลงเหลือชิ้นส่วนความทรงจำ เช่น ‘รู้สึกเหมือนเคยกินอาหารชนิดนี้มาก่อน’ หรือ ‘คุ้นๆว่าเคยมาที่นี่เมื่อนานมาแล้ว’ กับสิ่งที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก”
ฟังดูเป็นเรื่องที่ดี ฉันจะได้ลืมความทรงจำอันแสนเจ็บปวดนี่สักที ความกลัวที่ทำให้ไม่กล้าตัดสินใจได้หายไปแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล ในที่สุดก็จะได้ก้าวต่อไปข้างหน้า รู้สึกโล่งขึ้นมามากจริงๆ
แต่ฉันก็ยังอยากเป็นเพื่อนกับคุณเรมิเลีย… ไม่รู้ว่าหลังจากเกิดใหม่แล้วจะยังรู้สึกแบบนี้อยู่หรือเปล่า มีแต่ความรู้สึกนี้เท่านั้นที่ไม่อยากให้หายไป
“หลับให้สบายเถิด จนกว่าจะคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย พวกเราจะได้พบกันอีกครั้ง ลูกรักของข้า”
ภูติทั้งหลายวนเวียนเข้ามาสัมผัสตัวฉัน ฉันหลับตาลงและฟังเสียงของพวกเขา ‘ราตรีสวัสดิ์’ ‘ของให้หญิงสาวแห่งดวงดาวโชคดี’ ‘จนกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง’ ‘พวกเราจะอยู่ข้างๆเธอเสมอ’ ไม่เคยคิดเลยว่าการตระหนักว่าฉันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวจะทำให้มีความสุขได้ขนาดนี้
ขณะที่เธอลูบหัวของฉัน ตัวฉันก็สลายกลายเป็นละอองแสงพัดเข้าหาตัวคุณเรมิเลีย รู้สึกว่าอัตตาของฉันค่อยๆจางหายไป ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้สึกกลัว อดีตอันเลวร้ายทั้งหมดกำลังถูกลบหายไปจากความทรงจำ
“หวังว่าจะได้ร่วมงานกับพวกท่านอีกครั้งในสถานที่แห่งนี้ ท่านภูติวิญญาณทั้งหลาย”
ไม่เสียแรงที่ข้าทำการวิจัยดวงวิญญาณมนุษย์ ทำให้ข้าประสบความสำเร็จในการมองเห็นดวงวิญญาณได้โดยตรง ถึงอย่างนั้น ข้าก็ไม่รู้เลยว่าเธอได้รับการคุ้มครองอยู่ในโลกของภูติ การค้นหาตัวเป็นไปด้วยความยากลำบาก เธอไม่ได้อยู่ในร่างของพีน่า มีความเป็นไปได้ว่าไปเกิดใหม่ แต่เธอก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย ทำให้ข้ากังวลว่าเธออาจไม่ใช่ดวงวิญญาณของมนุษย์อีกต่อไป แต่ในตอนนี้ ข้ารู้สึกยินดีเหลือเกิน
“ข้าสัญญาว่าจะทำให้หญิงสาวแห่งดวงดาวมีความสุข”
เอมิยังรักตัวละครหลัก…หญิงสาวแห่งดวงดาว เธอจึงปรารถนาให้ตัวละครโปรดทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน… ดังนั้น หากข้ารักและเอ็นดูหญิงสาวแห่งดวงดาวที่เกิดใหม่ ดูแลให้เธอมีความสุข เอมิจะต้องดีใจแน่
“ข้าทำไปเพราะเป็นห่วงดวงวิญญาณดั่งเดิมของหญิงสาวแห่งดวงดาว เป็นความต้องการของตัวข้าเอง… ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ”
‘เรมิเลีย’ ของเอมิเป็นคนอ่อนโยน จะต้องรู้สึกเป็นห่วงหญิงสาวแห่งดวงดาวจากก้นบึ้งของหัวใจ ความต้องการของเอมิก็คือความต้องการของข้าด้วยเช่นกัน
ในตอนนี้ ข้าสามารถจัดการดวงวิญญาณได้อย่างอิสระ… แต่ไม่ว่าจะฝึกฝนมากเพียงใด ข้าก็มีปัญหากับ ‘ความเสียหาย’ ที่เกิดขึ้นกับดวงวิญญาณ ข้าทำการลดลองกับอดีตสาวใช้กับอดีตคนคุ้มกันของเอมิ ลองหลายๆอย่างทำให้ดวงวิญญาณของพวกเขาเสียหาย อาจมีบางอย่างที่ต้องใช้พลังของเทพเท่านั้นที่ทำได้ แต่ข้าก็พยายามทำต่อไปโดยไม่ยอมแพ้ จนกระทั่งประสบการณ์ความเจ็บปวดของทั้ง 5 คนนั้นถูกฝังลึกเข้าไปถึงจิตวิญญาณเหมือนรอยแผลเป็น ต่อให้กลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีกสักกี่ครั้ง ความทรมานที่ถูกข้าฆ่าก็จะคงอยู่ตลอดไป ดวงวิญญาณถูกฉีกกระชากออกมาจากร่างและนำไปทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับลองวัตถุดิบทำอาหาร รู้สึกดีจริงๆ
คุณภาพวิญญาณจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ต่อให้ปล่อยให้ไปเกิดใหม่ พวกเขาก็จะยังเป็นได้แค่สวะอยู่ดี เพราะฉะนั้น ข้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เช่น พ่อแม่ที่ดีแต่มีลูกไม่เอาไหน คิดว่าทุกคนคงเคยเห็นเรื่องพวกนี้กันมาบ้างแล้ว? ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณภาพของวิญญาณดวงนั้น ถือเป็นความโชคร้ายของพ่อแม่
นี่คงเป็นจุดจบที่เหมาะสมสำหรับเหล่าสวะที่ขายเจ้านายของตัวเอง ถึงจะบอกว่าจบแต่คงไม่คิดว่าข้าจะปล่อยไปจริงๆหรอกนะ? มาลองสลักรอยแผลเป็นลงบนดวงวิญญาณให้ลึกกว่านี้อีกสักหน่อยดีไหม?
แต่ข้าก็ไม่อยากแตะต้อง ‘สิ่งของ’ สกปรกเหล่านั้นในระหว่างที่ตั้งครรภ์ ดวงวิญญาณสำหรับวิจัยถูกขังอยู่ในห้องลับของดันเจี้ยนที่ถูกข้าพิชิตเมื่อนานมาแล้วเพื่อไม่ให้ใครรู้เห็น แต่เรื่องนั้นช่างมันไปก่อน ดูเหมือนว่าข้าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเลวร้ายในระหว่าที่ตั้งครรภ์? ในความรู้ของเอมิมีเรื่องของการเรียนรู้ของทารกที่อยู่ในครรภ์ มันจะไม่ดีต่อตัวเด็ก
ถึงอย่างนั้น ข้าดีใจจริงๆที่เหล่าภูติตอบสนองทันทีที่ข้าแสดงความกังวลในเรื่องของหญิงสาวแห่งดวงดาวให้พวกเขาเห็น ข้าเคยคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีกว่าจะจัดการกับดวงวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์ หรือไม่ข้าก็ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ตอนนี้ข้าทำให้ราชาภูติวิญญาณติดหนี้ได้สำเร็จ เขาสัญญาว่าจะช่วยข้าในเรื่องเอมิเป็นการตอบแทน เท่านี้ก็สามารถรับประกันความปลอดภัยของดวงวิญญาณเอมิได้แล้ว น่ายินดีจริงๆ และข้าก็ต้องการที่จะ ‘ทดลอง’ การเลี้ยงดูบุตรด้วยตนเอง สุดท้ายแล้วมันก็ไม่เหมือนกับการใช้เด็กจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ประสบการณ์บางอย่างไม่สามารถหาได้ เช่น การดูแลครรภ์และการคลอด
“มาเป็นครอบครัวอันแสนอบอุ่นด้วยกันเถิด เจ้าจะเป็นพี่ชายที่แสนดี”