เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 134 ฉายานามของตาเฒ่าเจ้าเล่ห์
ตอนที่ 134 ฉายานามของตาเฒ่าเจ้าเล่ห์
พอเห็นว่าลูกค้าเข้ามา หยางกังก็รีบเข้าไปต้อนรับ แต่พอเห็นว่าเป็นปู่กุ่ย เขาก็อดกลอกตาอย่างจนปัญญาไม่ได้
“อะไรกันเนี่ย มีลูกค้ามาแต่ไม่ต้อนรับนี่มันทำไม” หวังเฉิงยงหรี่ตาลงมองหยางกัง
“แหะๆ ต้อนรับสิครับ คุณอยากทานอะไรครับ”
“อะไรคือมาถามว่าฉันกินอะไรไหมวะ ไม่เห็นเราสองคนหรือไง หาที่นั่งให้เสี่ยก่อนสิ” หวังเฉิงยงพูด
“ได้ครับ งั้นคุณก็เลือกเลยครับ ที่นั่งเยอะแยะนั่งได้เลยตามใจ” หยางกังพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ที่จริงวันแรกตอนที่เปิดร้าน หยางกังก็เคยเห็นหวังเฉิงยงแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นวุ่นวาย เขาก็จำไม่ค่อยได้
“เฮ้ย ไอ้หนู ท่าทางแกนี่มันอะไร ให้ตายสิ ฉันไม่ให้แกต้อนรับแล้ว” หวังเฉิงยงพูดพลางตรงไปนั่งที่โต๊ะ “ซ่งจื่อเซวียน ออกมาหาข้า!”
เห็นแบบนั้น หยางกังก็มึนงง เห็นแค่หวังเฉิงยงไปนั่งที่โต๊ะ นั่งชันเข่าขึ้นเก้าอี้ สวมเพียงรองเท้าผ้าใบ มองเห็นรอยแตกบนข้อเท้าได้อย่างชัดเจน
“แม่เจ้าโว้ย ตาเฒ่าช่วยเอาเท้าลงก่อนได้ไหม เก้าอี้ตัวนี้ผมเพิ่งเช็ดนะ”
หวังเฉิงยงไม่แม้แต่จะสนใจ สองตามองขึ้นไปด้านบน “ไม่ต้องมาพูดจาไร้สาระกับข้า เรียกซ่งจื่อเซวียนออกมา!”
แต่เหลยจื่อที่ยื่นอยู่ด้านนอกประตูเห็นแบบนี้กลับหัวเราะออกมา เดิมคิดว่าเรื่องนี้นายท่านรองจะต้องตำหนิตนเองแน่ ตอนนี้มีคนมารับภาระแล้วหนึ่งคน เยี่ยม มีละครดีๆ ให้ดูแล้ว
ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนที่สวมชุดยูนิฟอร์มเชฟอยู่เดินออกมาจากครัวด้านหลัง พอเห็นหวังเฉิงยงเป็นแบบนั้น ก็รู้ว่าจะต้องมีคนยั่วยุเขาอย่างแน่นอน
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกโมโห ลอบด่าว่าไอ้คนไหนมันหูตาคับแคบ ยั่วยุใครไม่ยั่ว ไปยั่วยุเขาเนี่ยนะ ถึงจะบอกว่าซ่งจื่อเซวียนกล้าหยอกเขาบางครั้งบางคราว แต่ต้องบอกว่าถ้าเป็นยั่วยุ เขายังไม่กล้าจริงๆ
จุดนี้หวังเฉิงยงเหมือนกับตาเฒ่าฟาง เป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ แต่ปากร้าย ใจร้อนก็ด่าเลย…
“ปัดโธ่ ผมก็ว่าใคร ที่แท้ก็เสี่ยหวังใช่ไหมเนี่ย ฮ่าๆๆ เกิดอะไรขึ้นล่ะ มีเก้าอี้ทำไมไม่นั่ง ควรจะขึ้นไปบนโต๊ะเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนเผยรอยยิ้มเดินเข้าไปต้อนรับทันที
เสี่ยหวังยักไหล่หัวเราะเบาๆ แล้วเชิดหน้าขึ้น “ไม่กล้าหรอก ร้านของนายแพงเกินไป ไม่กล้านั่ง!”
“แพง? ที่คุณพูดหมายถึงอะไรกัน ถ้าแพงจริง คุณมาก็ไม่แพงหรอก!” ซ่งจื่อเซวียนรีบพูดเอาใจเขา
“เฮอะ ไม่แพงเรอะ งั้นนายก็ลองพูดมาสิว่าไม่แพงแค่ไหน” หวังเฉิงยงพูด
“ผมเลี้ยงไง จะแพงหรือไม่แพงก็ไม่เกี่ยวกับคุณนี่ โอเคไหม” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางเดินเข้าไปประคองหวังเฉิงยง “คุณรีบนั่งลงเถอะน่า นั่งนี่แหละ ลูกค้าที่หน้าประตูเขาเห็นเข้าจะไม่กล้าเข้ามากัน ผมคงเจ๊งแน่นอน”
หวังเฉิงยงถึงได้ลงจากโต๊ะ เขาเดินปรี่ไปที่เบื้องหน้าของหยางกัง “ไอ้หนู ได้ยินหรือยังล่ะ ต่อให้แม่งเป็นซ่งจื่อเซวียนยังต้องเรียกฉันว่าเสี่ย ฉันจะกินข้าวเขายังไม่กล้าเก็บตังค์เลย แกยังกล้ามาก่อกวนฉันอีกเรอะ!”
หยางกังหน้าแดงไปหมด ในใจแต่เดิมไม่รู้ว่าเสี่ยท่านนี้เป็นใคร แต่เห็นว่าแม้แต่นายท่านรองยังเอาใจอีกฝ่าย เขาย่อมไม่กล้าปริปากอีก
ซ่งจื่อเซวียนรีบเดินเข้ามาขยิบตาให้หยางกัง “ยังไม่รีบขอโทษเสี่ยหวังอีกเหรอ”
“ขอโทษครับเสี่ยหวัง” หยางกังก้มหน้าพูด
“ไม่ต้อง ฉันกับนายน่ะ…ไม่จำเป็นหรอก” พูดจบ หวังเฉิงยงก็มองหาโต๊ะริมๆ “ขอทานเฒ่า มานี่ เรานั่งนี่กันเถอะ”
“ไม่ต้องหรอก คุณนั่งนั่นไปเถอะ ฉันนั่งที่มุมนี่ดื่มสักอึกก็พอแล้ว”
“ทำไมล่ะ ฉันให้แกมานี่ เราสองคนห่างกันขนาดนี้จะคุยกันยังไงเล่า มานี่ๆ ฉันเลี้ยงแกเอง”
ถึงปู่กุ่ยจะเดินไปอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่หวังเฉิงยงพูดเสียงแข็ง เขาเลยต้องเดินไป
“เอ่อ…ซ่งจื่อเซวียน จัดจานเนื้อมาให้เสี่ยสักสองสามจาน แล้วก็ข้าวผัดนั่นของนายด้วยก็พอแล้ว ฉันรู้เรื่องจำนวนจำกัดดี ฉันจะเพิ่มความวุ่นวายให้นายเอง”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ได้ครับ เสี่ยเอาใจใส่มากแล้ว ผมจะรีบเอามาเสิร์ฟให้”
พูดจบ เขาก็เดินไป หยางกังรีบเขยิบเข้าไปใกล้แล้วถามว่า “นายท่านรอง นี่คือเสี่ยคนไหนกัน รุนแรงจัง”
“เขาน่ะเหรอ ฉันยังไปยั่วยุไม่ได้เลย นายจำไว้นะว่า ถ้าเขามาคราวหน้า จดลงบัญชีไว้ทั้งหมด เดี๋ยวไว้ฉันจ่ายเอง” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“เข้าใจแล้วครับ เข้าใจแล้ว”
เหลยจื่อถึงได้เดินเข้ามา พูดว่า “ว่านอนสอนง่ายแล้วเหรอกังจื่อ ล่วงเกินผิดคนไปแล้วสินะ”
“โธ่ พี่เหลย ผมจะไปรู้ได้ยังไง เอ๊ะ ทำไมเมื่อกี้พี่ไม่เข้ามาล่ะ” หยางกังถาม
“หา? ฉัน…ฉันเห็นว่า นายก็ทำเรื่องล่วงเกินคนเขาไปแล้ว ฉันจะเข้ามาหาเรื่องให้โดนด่าทำไมล่ะ” พูดจบ เหลยจื่อก็เดินไปอีกทาง
ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยที่อยู่ใกล้ๆ ก็มีความสุข เพราะหยางกังคนนี้ไม่ดูตาม้าตาเรือเอาเสียเลย
ไม่นานนัก อาหารและสุราก็มาเสิร์ฟจนแน่นขนัด ทางหวังเฉิงยงและปู่กุ่ยก็เริ่มดื่มกัน ส่วนซ่งจื่อเซวียนก็ได้รับออร์เดอร์ข้าวผัดจักรพรรดิมาสองออร์เดอร์
จัดเสิร์ฟอาหารเรียบร้อย ซ่งจื่อเซวียนก็เก็บหมวกเชฟ เดินออกจากครัวด้านหลังตรงไปที่โต๊ะหวังเฉิงยง
“หมายความว่ายังไงกัน เลี้ยงเหล้าฉันแล้วนายยังจะมาละเลียดคำสองคำอีกเรอะ” หวังเฉิงยงนั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวยาว ชันขาข้างหนึ่งนั่งบนเก้าอี้พลางพูด
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “อันนั้นสดมากเลยนะ พวกคุณสองคนอายุมากแล้วจะกินกับข้าวสี่อย่างหมดเหรอ ผมกินนิดกินหน่อยจะได้ไม่สิ้นเปลืองไง”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางคีบเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปาก
“เฮ้อ ขอทานเฒ่า แกว่ายังมีคนแบบนี้อยู่อีกเรอะ เลี้ยงข้าวคนอื่นยังจะขี้งกน่ะ”
“เหอะๆ ท่านเจ้าของร้านเป็นคนดี เขาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอก แต่คุณหวังก็ล้อเล่นเหมือนกันนี่” ปู่กุ่ยพูดด้วยรอยยิ้มบาง
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด “คุณดูสิ ปู่กุ่ยยังพูดจามีมารยาท ไม่เหมือนตาแก่นี่ ไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย”
“นายว่าฉันไม่เป็นธรรมได้ยังไง ที่ฉันมากินเหล้าที่นี่ก็เป็นการไว้หน้านาย นายคิดว่าฉันจะไปร้านใครก็ได้เหรอ” หวังเฉิงยงหัวเราะเยาะ
“พอแล้วมั้ง ก็คุณนิสัยแบบนี้ไง เปิดปากก็หยาบคาย คุณอย่าเพิ่งโม้สิ ถ้าคุณไปร้านอื่นแล้วเขาเลี้ยง ตัวอักษรซ่งของผมคงเขียนกลับหัวแล้ว!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ หวังเฉิงยงก็ลูบคางครุ่นคิด “เฮ้ย นายก็อย่าเพิ่งพูดสิ เด็กคนนี้พูดจาเหมือนจะถูกจริงๆ ก็ตอนเราอยู่หน้าร้าน ฉันจ่ายเงินเขาก็ไม่ขายให้ บอกว่าฉันพูดจาไม่น่าฟังเลยไม่ขาย นายว่าน่าหงุดหงิดไหม”
“น่าหงุดหงิดอะไรล่ะ คุณก็สั่งสมคุณธรรมเอาไว้บ้างเถอะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางหยิบแก้วของหวังเฉิงยงมาดื่มจนหมด “ปู่กุ่ยคิดเหมือนกันไหมครับ”
หวังเฉิงยงผงะ “เด็กอย่างนายนี่มัน ไปเอาแก้วตัวเองมาสิ ฉันไม่ชอบนายมันสกปรก”
ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้สนใจ กินต่อไป
แต่เหมือนว่าหวังเฉิงยงจะฉุกคิดอะไรได้ พูดว่า “นายเรียกเขาว่าปู่กุ่ยเหรอ ขอทานเฒ่า เขารู้ตัวตนของแกไหม”
ปู่กุ่ยแค่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร
หวังเฉิงยงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าแกกลับเข้าไปในวงการแล้วเหรอ ฉันจะบอกแกให้นะ แกก็อายุมากขนาดนี้แล้ว ถ้าฝีมือไม่พัฒนา ระวังจะโดนตีตายคาที่เอานา”
“กลับเข้าไปในวงการ? ฝีมือ? โดนตี?” ซ่งจื่อเซวียนฟังคำพูดของหวังเฉิงยงไม่เข้าใจอย่างเห็นได้ชัด
หวังเฉิงยงเห็นแบบนั้นก็พูดว่า “โอ้ นายไม่รู้เหรอว่าตาเฒ่านี่ไม่ธรรมดาน่ะ เมื่อก่อนเป็นเทพพนันเลยนะ แต่ตั้งแต่โดนจับได้ว่าโกง ก็โดนตัดนิ้วชี้ไป ตั้งแต่นั้นก็ไม่เล่นพนันแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนชะงักไป “เทพ…พนัน?”
แต่คิดๆ ดูแล้วก็ไม่แปลกใจ ตอนที่เขาชนะหยางกังเมื่อคืน แทบจะไม่ได้แตะไพ่ในกองเลยก็สับเปลี่ยนไพ่โฮลได้แล้ว ฝีมือแบบนี้ดูเหมือนจะเกินจริงไป เพราะไม่มีช่องโหว่ใดๆ เลย
“ใช่แล้ว ขอทานเฒ่าคนนี้ไม่ได้ธรรมดาเลย รู้ไหมว่าทำไมถึงเรียกเขาว่าปู่กุ่ยน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า
“ชื่อเล่นในแก๊งขอทานคือตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ ชื่อนี่เป็นชื่อที่ดังนะ เป็นตำแหน่งปู่ที่แท้จริงเลยนะ!” หวังเฉิงยงพูดจบก็ยกแก้วสุราขึ้นชนกับแก้วของปู่กุ่ยทีหนึ่ง
ปู่กุ่ยก็ไม่ได้หลบเลี่ยง ดื่มสุราแล้วถอนหายใจ พูดว่า “เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วทั้งนั้น ตอนนี้ฉัน ตาแก่คนนี้แตะเกมนั่นไม่ได้แล้วล่ะ แต่เมื่อคืนได้เล่นกับพวกพี่ๆ ตัวน้อยสองสามคนขำๆ ที่นี่ ไม่ได้เอาเงินด้วย”
หวังเฉิงยงคีบถั่วลิสงใส่ปาก “งั้นก็ดี ไม่เล่นเงินก็พอแล้ว”
แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับสนใจเรื่องตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ แต่ก่อนเขาก็เคยฟังตาเฒ่าฟางพูดเรื่องเทคนิคพนันกับเทคนิคโกงมาก่อน อีกทั้งยังพอเข้าใจอยู่บ้าง
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าคนที่เก่งเทคนิคพนันจะถ่อมตัวและสงบนิ่งขนาดนี้ ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด “ปู่กุ่ย ผู้น้อยไม่รู้ตัวตนของท่าน ก่อนหน้านี้ละเลยแล้ว”
ปู่กุ่ยประสานหมัดคารวะกลับตามมารยาทก่อน แล้วถึงได้โบกมือ “อย่าพูดถึงเลย พูดถึงตาเฒ่าก็ละอายแก่ใจ เทียบกับท่านเจ้าของร้านไม่ได้ เมตตาธรรมสูงส่ง”
“ถูกต้อง ถึงแผนการในใจเจ้าเด็กนี่จะพูดได้ว่าแยบยลไม่น้อย แต่ยังเป็นคนดีไม่หยอก ฉันก็มองเห็นจุดนี้ของเขา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ไว้หน้ามาดื่มเหล้าที่ร้านเขาหรอก” หวังเฉิงยงพูด
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาใส่เขา “พอแล้วน่า ยังบอกจะให้ผมไปดูกระทะเหล็กที่บ้านคุณอยู่เลยนี่ ไม่มีวี่แววเลยเหรอ”
“วี่แววอะไร จะไปเมื่อไรก็ตามใจสิ!” หวังเฉิงยงพูดพร้อมด้วยฤทธิ์สุรา
“อย่าทำแบบนี้สิ สามวันเชิญ หนึ่งวันพูดถึง เป็นประเพณีดั้งเดิมที่คุณพูดไว้นี่ เกิดอะไรขึ้นล่ะ จะไม่เชิญผมเหรอ”
หวังเฉิงยงตบหน้าผาก “ปัดโธ่ ดูสมองฉันนี่สิ ได้ สามวันหลังจากนี้ นายมาบ้านฉัน ฉันจะเลี้ยงเหล้านายเอง โอเคไหม”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด “ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้!”
วันนี้รายได้ของร้านอาหารร่ำรวยสูงกว่าเมื่อสองสามวันก่อน ข้าวผัดจักรพรรดิก็เสิร์ฟไปสามที่ นับว่าไม่เลวเลย
จนสามทุ่มกว่า โถงด้านหน้าครัวด้านหลังล้วนกำลังทำความสะอาดเตรียมจะเลิกงาน ซ่งจื่อเซวียนก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาใครคนหนึ่ง
“อาเจิ้งครับ ตอนนี้คุณสะดวกไหม ผมอยากไปอ่าวชิงหลงน่ะครับ”
เจิ้งอวี่พูด “อ้อ ได้ครับได้ สะดวกมากๆ เดี๋ยวผมไปรับ”
วางสายแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็ให้ซางเทียนซั่วกับฟางรุ่ยกลับไปก่อน ส่วนตัวเองก็ทำน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายที่ครัวด้านหลังไปหนึ่งชาม ออกไปรอเจิ้งอวี่มารับ จากนั้นก็ตรงไปที่อ่าวชิงหลง
มาถึงอ่าวชิงหลงครั้งนี้ ซ่งจื่อเซวียนค่อนข้างผ่อนคลาย อาจจะเพราะคราวก่อนปูพื้นความสัมพันธ์พ่อลูกไว้เรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันความกังวลและความแปลกหน้าก็ลดทอนลงไปหลายส่วน ความตั้งหน้าตั้งตารอคอยเพิ่มมากขึ้นหลายส่วน
เนื่องจากเจิ้งอวี่แจ้งไว้แล้ว ซ่งอวิ๋นฮั่นจึงแต่งตัวเรียบร้อยรออยู่ในห้องส่วนตัวแล้ว
หลังจากซ่งจื่อเซวียนมาถึง เจิ้งอวี่ก็จากไปอย่างรู้ความ
กินน้ำแกงเกล็ดปลาทองห้าสายไปหลายคำ ซ่งอวิ๋นฮั่นก็พูดว่า “จื่อเซวียน สองวันนี้กิจการเป็นยังไงบ้าง ถ้าแกยุ่งก็ไม่ต้องรีบร้อนมาหาฉันก็ได้นะ”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ อย่างไรเขาก็รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตนเองคนนี้อาจจะเจอหน้ากันได้อีกไม่นานแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอก ร้านใหม่ไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น จริงสิ คุณเคยได้ยินเรื่องบันทึกหย่งซั่นมาก่อนไหมครับ” ความจริงนี่ก็เป็นจุดประสงค์ที่ซ่งจื่อเซวียนมาที่นี่ เพราะปัจจุบันนี้ที่หวงฟาอยากมาหาเขาก็เพราะบันทึกหย่งซั่น
ได้ยินดังนั้น ซ่งอวิ๋นฮั่นนิ่งค้างเล็กน้อยไปครู่หนึ่ง ค่อยๆ ส่ายหน้า “เหมือนว่าจะไม่เคยได้ยินมาก่อนนะ นี่เกี่ยวกับหวงฟาใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนชะงักไป อย่าบอกนะว่า…เขาจะเป็นเทพจริงๆ น่ะ
……………………………………….