เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 133 แย่งกันเป็นของทาน
ตอนที่ 133 แย่งกันเป็นของทาน
ด้วยเสียงตะโกนนี้ของพี่เวย นักเลงอื่นๆ พร้อมอาวุธครบมือก็พุ่งไปที่หน้าประตูร้านอาหารร่ำรวย
ถึงเมื่อวานคนที่โดนเล่นงานจะมีแค่พี่เวยคนเดียว แต่คนอื่นๆ ก็เกือบจะโดนต่อยเหมือนกัน แต่ละคนข่มความโกรธเกรี้ยวเอาไว้นานแล้ว
ถึงเถียนเหวินคุ่นจะไม่ได้วางแผนให้พวกเขามาแก้แค้นอีกรอบ แต่ด้วยความกรุ่นโกรธที่ได้รับเมื่อวาน พวกเขาก็ต้องพุ่งชน
เพล้ง!
ประตูกระจกร้านโดนทุบจนแตกละเอียด เศษกระจกร่วงลงพื้น ลมเย็นๆ ก็พัดเข้าไปทันที
พวกเหลยจื่อคอยเฝ้าอยู่ด้านในตลอด ที่จริงพวกเขาก็ได้ยินเสียงที่พูดว่า ‘ลงมือ’ ของพี่เวยเมื่อครู่แล้ว แต่พวกเขายังไม่ทันได้ออกไปต้านไว้ อีกฝ่ายก็เริ่มทุบแล้ว
“เชี่ย โคตรแม่แกสิ ไอ้หน้าไหนมันรนหาที่ตายไม่ลืมหูลืมตาวะ!”
สิ้นเสียง พวกเหลยจื่อก็เดินออกไป แต่ละคนจ้องพวกพี่เวยอย่างโหดเหี้ยม
จะว่าไป จำนวนคนของสองกลุ่มนี้ไม่ต่างกันมากนัก แต่คนของพี่เวยมีอาวุธครบมือ พวกเหลยจื่อมือเปล่ากันหมด
แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น ใบหน้าของพี่เวยก็ยังเผยความตกตะลึงออกมา
“พี่…พี่เหลยเหรอ”
แวบเดียวพี่เวยก็จำเหลยจื่อได้ ถึงอย่างไรชื่อเสียงของเสี่ยปาในวงการใต้ดินก็ยังนับว่าค่อนข้างดัง ตัวเหลยจื่อก็เป็นมือซ้ายขวาให้เขา นักเลงพวกนี้ย่อมรู้จัก
เหลยจื่อกลอกตาใส่พี่เวย เผยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม “แม่งเอ๊ย ซุนเวยเองเหรอ ไอ้เวร แกแม่งเบื่อใช้ชีวิตแล้วใช่ไหมวะ ถึงได้กล้ามาทุบร้านเสี่ยปาน่ะ!”
“สะ…เสี่ยปา?” ซุนเวยตกใจกลัว สองขาเริ่มสั่นอย่างเห็นได้ชัด “ผม…ผมไม่รู้ว่านี่เป็นร้านของเสี่ยปาครับ”
“ไม่รู้? แกไม่รู้แล้วแม่งยังทุบอยู่ ทุบหาแม่แกเหรอ แม่ง จับตัวพวกมันซะ!”
เหลยจื่อพูดจบ พวกลูกน้องด้านหลังก็เดินไป นักเลงพวกนั้นก็ปล่อยอาวุธในมือลงอย่างง่ายดาย แต่ละคนถูกล็อกแขนไว้ด้านหลัง
โลกใต้ดินที่แท้จริงก็แบบนี้ บางทีต่อให้คุณสู้ได้ แต่กลับลงมือด้วยไม่ได้ เพราะอำนาจเบื้องหลังเขาสามารถบีบคุณให้ตายได้
จุดนี้แตกต่างจากนักเลงหัวไม้ นักเลงหัวไม้ไม่รักตัวกลัวตายแม้แต่น้อย เอาแต่ต่อยตีอย่างเดียว คนแบบนี้ดูเหมือนโหดเหี้ยม แต่มักจะเอาตัวไม่รอด
เพราะนอกจากพวกเขาจะต่อยตีเป็น ก็ไม่มีอะไรดีอีกแล้ว ก็เหมือนกับพี่เจี๋ย เคอหงเทาแค่มองเขาเป็นหมา เรื่องใหญ่ๆ ไม่กล้าให้ทำ เพราะรู้ว่าถ้าให้เขาทำจะต้องเละเทะเป็นแน่
จับคนพวกนั้นไว้ในห้องเรียบร้อยแล้ว เหลยจื่อก็เปิดไฟ มองประตูกระจกที่ถูกทุบก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
เขาเดินสาวเท้ากลับมาอย่างรวดเร็ว ยกมือขึ้นตบเข้าที่หน้าของซุนเวยฉาดหนึ่ง
“แม่ง ไอ้เวร แกแม่งบ้าหรือไง จะบอกให้นะ พรุ่งนี้เวลากินข้าวยังต้องเปิดร้าน ถ้าแกซ่อมกระจกให้ไม่เสร็จภายในพรุ่งนี้ก่อนเที่ยง ข้าจะทำให้พวกแกอยู่ไม่สุขกันทั้งบ้าน!”
“ผม…พี่เหลยวางใจได้ ประตูนี่ผมจะชดใช้ให้ ผมไม่รู้จริงๆ ว่านี่เป็นร้านของเสี่ยปา ถ้ารู้ต่อให้กระทืบผมให้ตายผมก็ไม่กล้าหรอกครับ”
ซุนเวยโมโหในใจเกือบตายแล้ว ที่สำคัญคือตอนที่เถียนเหวินคุ่ยให้พวกเขามาระรานร้านนี้ก็ไม่ได้บอกว่านี่เป็นธุรกิจของเสี่ยเฉิงปาเลยแม้สักนิด ถ้ารู้ก่อนพวกเขาคงไม่กล้ารับงานนี้จริงๆ
ที่น่าโมโหที่สุดก็คือ ที่มาพังร้านคืนนี้ยังโทษเถียนเหวินคุ่ยไม่ได้ด้วย ถึงอย่างไรอีกฝ่ายบอกไว้แล้วว่าจะทำอะไรก็ทำ ไม่ได้จะให้เงินเพิ่มอยู่แล้ว…
สรุปว่า เรื่องนี้พวกเขาสมควรโดนแล้วจริงๆ
นี่ก็คือจุดที่ชาญฉลาดของเถียนเหวินคุ่ย ให้พวกซุนเวยมาระรานร้านอาหารร่ำรวยเป็นงานที่เสี่ยหวงกำชับมา แต่เรื่องพังร้าน…เขาแค่สุมไฟ ไม่ได้แสดงความเห็น
เหลยจื่อถอนหายใจยาว “ถ้าเสี่ยปารู้ ต้องต่อว่าฉันแน่ เอางี้แล้วกัน พวกแกไปซะตอนนี้ ซ่อมประตูกระจกนี่ให้เป็นเหมือนเดิม จากนั้นเก็บกวาดที่นี่ให้สะอาดด้วย”
“หา? อะไรนะครับ ตอนนี้? พี่เหลย นี่ก็ค่อนคืนแล้ว พวกผมจะไปหาประตูกระจกจากไหน…” ซุนเวยพูดด้วยใบหน้าใสซื่อ
“ไปหาแม่แกสิ ฉันสั่งพวกแกไง ถ้าก่อนฟ้าสางไม่ทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ฉันจะทำให้ครอบครัวพวกแกแม่งอยู่ไม่ได้เลยเว้ย!”
ในวงการนี้ เหลยจื่อเป็นคนที่ยึดถือเรื่องพูดคำไหนคำนั้น ซุนเวยที่ได้ยินประโยคนี้ก็หวาดกลัวจากก้นบึ้งหัวใจ
สุดท้าย พวกเขาจึงทำได้แค่ออกไปหาที่ซื้อประตูกระจกกลางดึก ถึงตอนนี้จะไม่มีร้านเปิดแล้วแน่นอน แต่ต่อให้จะต้องโทรหาหรือพังประตูที่อื่นมา พวกเขาก็ต้องหามาให้ได้
ไม่อย่างนั้น ถ้าเหลยจื่อพูดคำไหนคำนั้นแล้ว พวกเขาคงต้านรับไม่ไหวจริงๆ…
เช้าวันถัดมา ตอนที่พวกซ่งจื่อเซวียนมา พวกซุนเวยกำลังซ่อมประตูอยู่ แต่เห็นขอบตาดำคล้ำของพวกเขา ต่อด้วยหาวหวอดๆ ก็รู้ว่าไม่ได้นอนมาทั้งคืน
ซ่งจื่อเซวียนมองเหลยจื่อที่กินอาหารเช้าอยู่ข้างๆ ถามว่า “เหลยจื่อ เมื่อคืนมีเรื่องเหรอ”
เหลยจื่อรีบวางปาท่องโก๋ในมือ พูดว่า “นายท่านรอง นายนี่เทพจริงๆ ไอ้พวกเวรนี้มาพังประตูพวกเราตอนตีหนึ่งกว่าๆ ฉันก็เลยให้พวกมันออกไปหาที่ขายประตูตอนกลางดึก ตอนนี้กำลังซ่อมอยู่น่ะ”
“เหอะๆ ใส่ให้เรียบร้อยก็พอแล้ว ห้ามถ่วงเวลาทำมาหากินแม้แต่นิดเดียว” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด
“นั่นแน่อยู่แล้ว นายท่านรองวางใจเถอะ เดี๋ยวฉันให้เจ้าพวกนี้ทำความสะอาดให้” เหลยจื่อพูดพลางเทน้ำเต้าหู้ให้ซ่งจื่อเซวียนถ้วยหนึ่ง “นายท่านรองดื่มสักหน่อยสิ ยังร้อนๆ อยู่ จริงสิ นายรู้ได้ไงว่าเมื่อคืนพวกเขาจะมาชัวร์ๆ น่ะ”
“เรื่องนี้น่ะเหรอ…เหอะๆ ความลับ แต่ทุกคนจัดการเรียบร้อยก็พอแล้วล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนกระดกน้ำเต้าหู้ไปถ้วยใหญ่เสร็จ ก็เดินไปที่ครัวด้านหลังทันที
เหลยจื่อยิ้ม “ฮึ่ม นายท่านรองนี่เทพจริงๆ”
ด้านหยางกังรีบวิ่งมา พูดว่า “พี่เหลย ผมเล่าอะไรให้พี่ฟังสักหน่อยได้ไหม”
“หืม”
จากนั้น หยางกังก็เล่าเรื่องที่ปู่กุ่ยมักจะมาดื่มสุราในช่วงสองสามวันนี้ให้เหลยจื่อฟัง เหตุผลง่ายมาก หนึ่งคือตั้งแต่แรกเขาก็ไม่อยากให้ขอทานนั่นเข้ามาในร้าน สองคือเมื่อคืนถูกเปิดโปงว่าโกง หรือก็คือคับอกคับใจจริงๆ ตอนนี้จึงข่มความแค้นเอาไว้อยู่
เหลยจื่อได้ยินก็ชะงัก “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ มีขอทานมาบ่อยๆ ไม่ได้สิ เฮ้อ นายท่านรองเป็นคนจิตใจดี ก็ได้ นายไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ฉันจะบอกเสี่ยปาเอง”
ไม่นานนัก พวกซุนเวยก็ใส่ประตูกระจกเสร็จแล้ว ทั้งยังเช็ดประตูรอบหนึ่งตามที่เหลยจื่อกำชับไว้ เศษกระจกที่แตกบนพื้นก็เก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยมอ่อง
ตอนนี้แต่ละคนเหนื่อยล้ากันแล้ว ไม่ได้นอนบวกกับไปขอซื้อประตูกระจกจากทั่วทุกที่ท่ามกลางลมหนาวจนแทบจะตัวแข็งมาทั้งคืน ตอนนี้แม้แต่อาหารเช้าร้อนๆ ก็ไม่ได้กิน…
“ทำเสร็จแล้วครับพี่เหลย” ซุนเวยพูดพร้อมกับขอบตาดำเป็นวงกว้าง
เหลยจื่อมอง พยักหน้า “ไอ้อ้วนซุน มานี่ เรียกนายท่านรองสิ”
ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ได้ยินก็ผงะไป และไม่รู้ว่าเหลยจื่อจะแนะนำตนเองกับเขาทำไม
“นะ…” ซุนเวยพูดไม่ออกอยู่บ้าง ถึงอย่างไรตนเองก็เป็นคนอายุสามสิบกว่าปีแล้ว ซ่งจื่อเซวียนดูแล้วอายุยังไม่เท่าไรเลย
แต่เขาไม่พูดออกมา เหลยจื่อจึงเร่งรัด “แม่ง รีบเรียกสิวะ ข้ายังเรียกว่านายท่านรองเลย ไม่ให้แกเรียกเขาว่าบรรพบุรุษรองก็ดีเท่าไรแล้ว”
เหลยจื่อพูดแบบนี้ ซุนเวยสะดุ้งตัวโยน เดิมก็เจ็บไปหมดแถมยังง่วงอีก อีกนิดก็จะนอนกองไปกับพื้นแล้ว
“นะ นายท่านรอง…”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร
“ฉันจะบอกแกนะไอ้อ้วนซุน จากนี้ไม่ใช่แค่ร้านอาหารร่ำรวยเท่านั้น เห็นนายท่านรองต้องทักทาย นายท่านรองลืมพกเงินไปต้องรีบไปจ่ายให้ จำไว้หรือยัง”
“ครับๆๆ จำได้แล้วครับ” ซุนเวยจะไม่กล้าจำไว้ได้ยังไง พูดถึงตำแหน่ง เขาเทียบกับเหลยจื่อไม่ได้เลยสักนิด
“ไสหัวไป!”
“ขอบคุณครับพี่เหลย” ซุนเวยพูดพลางมองซ่งจื่อเซวียน “ขอบคุณครับนายท่านรอง…”
พูดจบ ถึงได้กล้าไปจากร้านอาหารร่ำรวย
จากนั้น เหลยจื่อก็หันหลังให้ซ่งจื่อเซวียน โทรศัพท์หาเสี่ยเฉิงปา เพื่อพูดคุยเรื่องปู่กุ่ยโดยเฉพาะ
“อย่างนั้นไม่ได้สิ เหลยจื่อ เรื่องนี้แกจัดการเลย ให้ขอทานนั่นไสหัวไปให้ไกลหน่อย อืม…” เสี่ยเฉิงปาพูดพลางหยุดไปครู่หนึ่ง “เรื่องนั้น…ห้ามให้นายท่านรองของแกรู้เด็ดขาด จัดการให้เรียบร้อย เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วครับเสี่ย!”
“อืม แกต้องจำจุดนี้ไว้นะ เมื่อวานขายดิบขายดี นายท่านรองใหญ่ที่สุด จำไว้นะ!” เสี่ยเฉิงปาพูด
“ครับเสี่ย ผมรู้แล้วว่าต้องทำยังไง”
คุยโทรศัพท์เสร็จ เหลยจื่อก็ไม่ได้ออกไปจากร้านอาหาร แต่จดจ้องอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า คิดในใจว่าถ้าอยู่ด้านในแล้วไล่ขอทานไป นายท่านรองจะต้องห้ามปรามแน่นอน อยู่ข้างนอกอย่างน้อยที่สุดนายท่านรองก็ไม่เห็น
ยังไม่ทันถึงช่วงเที่ยง ปู่กุ่ยก็มาที่ร้านอาหารร่ำรวยเหมือนอย่างที่คิดไว้
ตามปกติแล้วเขาจะมาหนึ่งถึงสองครั้งทุกวัน เหมือนกับเป็นพนักงานในร้านคนหนึ่ง พวกซ่งจื่อเซวียนก็ชินกันแล้ว
เมื่อเห็นปู่กุ่ย เหลยจื่อก็มั่นใจทันทีว่าคนที่หยางกังพูดถึงก็คือเขา เพราะเมื่อเห็นสายตาของปู่กุ่ย ก็เห็นได้ชัดว่าจะเข้าไปในร้านอาหารร่ำรวย แล้วดูการแต่งตัวนั่น หรือก็คือเป็นขอทานคนหนึ่ง
“เฮ้ย ตาแก่ มากินเหล้าเหรอ” เหลยจื่อถาม
ปู่กุ่ยพูดด้วยใบหน้าสุภาพ “ใช่ พี่ชายท่านนี้ก็มาทานข้าวเหมือนกันเหรอ ฉันจะบอกให้นะว่ารสชาติของร้านอาหารร้านนี้น่ะต้นตำรับมาก ท่านเจ้าของร้านก็ใจ…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ เหลยจื่อก็โบกมือ “เอาล่ะ เลิกพร่ำได้แล้ว เอ่อ…ฉันจะบอกสักหน่อยนะ จากนี้อย่ามาร้านนี้อีก”
“หืม ทำไมล่ะ เกิดเรื่อง…กับร้านพวกเขาเหรอ” ปู่กุ่ยพูดพลางไม่ลืมมองเข้าไปในร้าน
“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจเหตุผลอะไรหรอก ยังไงก็อย่ามามันถูกต้องแล้ว อย่ามาหาเรื่องไม่สบายใจให้ตัวเองเลย แล้วก็อย่าสร้างความลำบากใจให้คนในร้านด้วย เข้าใจไหม” เหลยจื่อขมวดคิ้วพูด
“แต่ว่า…”
เหลยจื่อเห็นท่าทาง ก็ล้วงเงินหนึ่งร้อยหยวนไปให้ “ก็ได้ นี่คงพอสำหรับสองสามวันแล้วมั้ง จากนี้ไม่ต้องมาแล้ว เอ้า!”
“ไม่ๆๆ พี่ชายท่านนี้ จะรับเงินโดยยังไม่ได้ทำอะไรไม่ได้สิ เงินนี่ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก ฉันก็มีเงิน ฉันมาซื้อเหล้าดื่มนะ”
ปู่กุ่ยพูดพลางล้วงธนบัตรหนึ่งหยวนออกมาหลายใบ
“ก็เป็นขอทานนี่ อะไรคือรับเงินโดยยังไม่ทำอะไรอีก เอาเงินไป แล้วไปซื้อเหล้าร้านอื่นไป!” น้ำเสียงของเหลยจื่อเริ่มแข็งขึ้น
ปู่กุ่ยสีหน้าลำบากใจ ตอนที่จะรับเงินมา ก็ยัดเงินกลับไปให้เหลยจื่อ “ก็ได้ พี่ชาย ฉันเปลี่ยนร้านก็ได้ แต่เงินนี่ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก มันไม่มีมารยาท”
พูดจบ ปู่กุ่ยก็หันหลังเดินไป
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังมา
“ปัดโธ่ นี่ใครกันเนี่ย ขอทานเฒ่า แกเองเหรอ” คนที่พูดก็คือหวังเฉิงยง วันนี้เขาก็คิดจะมาดื่มที่ร้านอาหารร่ำรวยสักหน่อย บังเอิญเห็นเหตุการณ์นี้พอดี ใครจะไปคิดว่าสองคนนี้ดูเหมือนว่าจะรู้จักกัน
ปู่กุ่ยได้ยินก็มองหวังเฉิงยงอย่างละเอียด “คุณคือ…”
“ลืมแล้วเหรอ เสี่ยวอวิ๋นซาน แกมักจะมาติดเงินดื่มเหล้าไง ผัดเส้นถั่ว นึกออกหรือยัง”
“อะ…อ๋อ…ฉันนึกออกแล้ว คุณคือเชฟของเสี่ยวอวิ๋นซาน!”
“อืม ใช่แล้ว นี่ก็ตั้งกี่ปี แกหัวขาวไปหมดแล้ว ไป เข้าไปดื่มกันสักหน่อยไหม” หวังเฉิงยงพูด
ปู่กุ่ยกลับไม่กล้าตอบรับ หันหน้าไปมองเหลยจื่อ
หวังเฉิงยงก็มองไปเหมือนกัน “ทำไมล่ะ ยังไม่ยอมให้เข้าอีกเหรอ”
พอเหลยจื่อเห็นหวังเฉงิหย่ง ก็เผยใบหน้ายิ้มแย้มออกมาทันที ในงานเลี้ยงฉลองเปิดร้านเขาก็เคยเจอเสี่ยท่านนี้ แม้แต่ซ่งจื่อเซวียนก็ต้องออกมารับเขาเข้าไปด้วยตัวเอง เขาจะกล้าล่วงเกินได้อย่างไร
“ฮ่าๆ จะไม่ได้ได้ยังไงล่ะครับ เสี่ยเข้าไปได้ แต่เขา…”
“เขาทำไมล่ะ” หวังเฉิงยงถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เขาเป็นขอทาน…”
“พูดอะไรไร้สาระ ร้านของพวกแกเขียนไว้ตรงไหนเหรอว่าห้ามขอทานเข้าน่ะ ฉันก็เป็นขอทานเหมือนกัน แกก็ลองห้ามดูไหมล่ะ”
พูดจบ หวังเฉิงยงก็คว้ามือของปู่กุ่ย แล้วลากเข้าไปในร้าน
เหลยจื่อยืนทำหน้ากระอักกระอ่วนอยู่ที่เดิม
“ขอทานนี่ยังมีคนแย่งจะเป็นอีกเหรอ…ให้ตาย คราวนี้นายท่านรองรู้เรื่องแล้วต้องว่าฉันแน่ เฮ้อ งานนี้ยากจริงๆ…”
……………………………..