เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 131 เทเหล้าให้ปู่กุ่ย
ตอนที่ 131 เทเหล้าให้ปู่กุ่ย
เช้าวันถัดมา ซ่งจื่อเซวียนได้กลิ่นหอมๆ ก็ตื่นนอน เขาหาวแล้วลุกขึ้นนั่ง
“แม่ หอมมากเลย” ซ่งจื่อเซวียนนวดตาพลางพูด
“รีบไปแปรงฟันไป วันนี้มีไข่ดาวแล้วก็ไส้กรอกให้พวกแกด้วยนะ เดี๋ยวแกเอาไปให้รุ่ยจื่อชุดหนึ่งนะ”
“ครับ เอ๊ะ แม่ลำเอียงนี่ มีของรุ่ยจื่อแต่ไม่มีให้เทียนซั่วเหรอ คนเขาเรียกแม่ว่าคุณย่าอยู่นา”
ซ่งจื่อเซวียนลุกขึ้นยืนยิ้มพูด
หานหรงกลอกตาใส่เขา “จะเหมือนกันได้ยังไงล่ะ บ้านเทียนซั่วเขาฐานะดี เขาเป็นคุณชาย แต่รุ่ยจื่อไม่เหมือนกันนี่ ที่บ้านไม่มีใครแล้ว ตอนนี้มาติดตามแก ก็อยู่ในโรงแรมห้องเล็กๆ ไม่มีคนดูแลเรื่องอาหารการกิน อยากกินอะไรอุ่นๆ ก็ยากไปหมด”
“เขาซื้อเองได้น่า แถมรุ่ยจื่อก็มีเงินไม่ขาดมือ หลังจากนี้ถ้าทางลูกมั่นคงแล้ว ก็จะเพิ่มเงินเดือนเขาให้สูงหน่อย”
ซ่งจื่อเซวียนพูดขณะที่แปรงฟัน
“ไอ้ของที่ซื้อมากินนั่นมันจะเทียบกับอาหารที่ทำที่บ้านได้ยังไงล่ะ เอ้า แกรีบหน่อย กินเสร็จก็รีบเอาไปให้เด็กคนนั้นด้วย”
“ครับ”
ซ่งจื่อเซวียนตักเข้าปากคำใหญ่สองสามคำ พูดว่า “จริงสิ แม่ อีกสองวันแม่กับพี่เก็บข้าวของสักหน่อยนะ ออกไปข้างนอกกับลูกสักหน่อย”
“หา ฉันด้วยเรอะ ฮ่าๆ ไปทำอะไรล่ะ เถ้าแก่ซ่งซานต้าเชิญเราไปเที่ยวใช่ไหมเนี่ย” ซ่งอีหนานได้ยินก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วพูด
“โอ้โห ผมนึกว่าพี่ยังไม่ตื่นนะเนี่ย แอบฟังอยู่ตรงนั้นหรอกเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“แอบฟังอะไรยะ บ้านจะใหญ่สักแค่ไหนกันเชียว รีบบอกมา ไปไหน” ซ่งอีหนานเอ่ย
“นั่นสิเจ้ารอง ไปไหนล่ะ ไปกี่วัน งานในบ้านยังมีอีกกองใหญ่เลยนะ” หานหรงพูด
ซ่งจื่อเซวียนพูดยิ้มๆ “แม่ไม่ต้องไปฟังพี่เลย ไม่กี่วันหรอก แค่คืนเดียว พวกเราออกไปกินข้าว พูดคุยสัพเพเหระกันสักวัน”
“ถุย ไอ้เด็กคนนี้ จะออกไปกินข้าวนอกบ้านทำไมกัน ทำกินในบ้านดีกว่า”
“แม่ บ้านเราก็ต้องออกไปสังสรรค์กันข้างนอกบ้างสิ กินข้าวข้างนอกไม่ต้องทำ ไม่ต้องเก็บ แม่อายุมากแล้วก็ควรจะอยู่เฉยๆ สบายๆ บ้าง”
ซ่งอีหนานพยักหน้าพูด “ใช่ค่ะแม่ ฟังเจ้ารองมันเถอะ พวกเราสามคนก็ควรจะออกไปสังสรรค์กันสักหน่อยนะ”
“ก็ได้ งั้นก็ตกลงตามนี้ คอยฟังข่าวคราวจากผมนะ” ซ่งจื่อเซวียนยัดไข่คำสุดท้ายเข้าปาก “งั้นผมไปก่อนนะ เอาอาหารเช้าไปให้รุ่ยจื่อด้วย”
“โธ่ แกก็เคี้ยวให้เสร็จก่อนค่อยออกไป อย่ารีบร้อนนักสิ ไอ้เด็กคนนี้…”
เดินออกมาจากบ้าน ซ่งจื่อเซวียนก็ถอนหายใจ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้บอกกับหานหรงและซ่งอีหนานว่าเขาคิดจะพาพวกเธอไปอ่าวชิงหลง และจุดหมายที่จะไปก็คือโรงแรมข่ายอ้อ
เหมือนกับวันปกติ ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนเดินถึงปากซอย ฟางรุ่ยก็รออยู่ตรงนั้นแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนก็เคยถามเขาว่าทำไมถึงไม่เข้าไป ฟางรุ่ยบอกว่ากลัวพวกหานหรงเห็นแล้วจะลำบากใจกัน ตอนนั้นซ่งจื่อเซวียนรู้สึกชื่นชมมาก
ถึงอย่างไรซ่งจื่อเซวียนก็เป็นคนกตัญญูรู้คคุณ เรื่องที่ทนไม่ได้ที่สุดก็คือแม่ของตัวเองเหนื่อย ฟางรุ่ยคิดได้แบบนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ถือว่าเขาเป็นคนของตัวเองแล้ว
วันนี้ถึงร้านอาหารค่อนข้างเร็ว เพราะวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ตามปกติแล้ว ร้านอาหารในวันหยุดสุดสัปดาห์จะมีอัตราหมุนเวียนรวดเร็วมากกว่าปกติ ย่อมต้องมาเตรียมตัวทำงานเร็วกว่าเดิมอยู่แล้ว
ถึงการเตรียมของทำข้าวผัดจักรพรรดิจะไม่ได้มีอะไร แต่ตอนนี้เขาก็เป็นเถ้าแก่แล้ว ซ่งจื่อเซวียนต้องพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับครัวด้านหลังกับหูเจิ้นมากยิ่งขึ้น รวมถึงงานของโถงด้านหน้าก็ต้องเตรียมการให้เรียบร้อย
เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็ขึ้นไปห้องส่วนตัวที่ชั้นสอง หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรไปหาเสี่ยเฉิงปา
“น้องชาย เป็นยังไงบ้าง ฉันได้ยินมาว่าสองวันก่อนขายไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ฉันก็ไม่กล้าถามแก”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็ยิ้มทันที เสี่ยเฉิงปาคนนี้นี่น่ารักจริงๆ คราวก่อนโดนตัวเองว่าไปยกหนึ่ง ตอนนี้ไม่กล้าถามเรื่องที่ร้านเสียแล้ว
แต่ซ่งจื่อเซวียนก็เข้าใจ เขาก็แค่ไม่ได้ถามตนเองเท่านั้น ยังติดต่อกับเหลยจื่อให้เลียบๆ เคียงๆ ถามพวกหูเจิ้นกับหยางกังได้
“วางใจเถอะครับเสี่ยเฉิงปา ร้านอาหารจะต้องดีขึ้นแน่นอน เพียงแค่มีปัญหาเรื่องเวลาเท่านั้น จริงสิ หลักๆ ที่โทรหาเสี่ยวันนี้ก็เพราะมีเรื่องหนึ่งจะพูดกับเสี่ยน่ะ”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เล่าเรื่องที่มีพวกนักเลงมาก่อเรื่องเมื่อคืนวานให้เสี่ยเฉิงปาฟังรอบหนึ่ง
“เ*ดแม่ม ไอ้พวกไม่มีพ่อแม่สั่งสอนนี่มันเป็นบ้าไปแล้วหรือไง กล้ามาก่อเรื่องในถิ่นเสี่ยปา โอเคน้องชาย แกไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฉันจะสั่งให้พวกเหลยจื่อไป”
“ไม่ต้องหรอกครับเสี่ยปา กลางวันแสกๆ แบบนี้ผมยังเปิดทำการอยู่ อีกอย่างเวลาที่พวกเขาก่อเรื่องเดาว่าน่าจะช่วงกลางคืน สองวันนี้เสี่ยให้เหลยจื่อพาลูกน้องมาช่วงกลางคืนดีกว่าครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ได้ ไม่มีปัญหา ฟังแกแล้วกัน แกว่ากี่โมงล่ะ”
เสี่ยปาก็คิดมาดีแล้ว ตอนนี้ชีวิตความเป็นอยู่ครอบครัวของตนเองผูกไว้กับซ่งจื่อเซวียนทั้งหมด ถ้าซ่งจื่อเซวียนจัดการได้ดี ตนเองก็จะรุ่งโรจน์ไร้ขีดจำกัด ถ้าจัดการไม่ดี ตนเองก็คงไม่มีที่ให้ร้องไห้
ตอนนี้นับว่าทุ่มสุดตัว เขาไม่มีทางเลือก ทำได้แค่ร่วมมือเต็มที่เท่านั้น
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด “เอาอย่างนี้ พวกเราเลิกงานสามทุ่มครึ่ง เสี่ยก็ให้พวกเหลยจื่อมาสักสามทุ่ม มาแล้วก็ให้ขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องส่วนตัวชั้นสองกันก่อน ผมจะเตรียมขนมเมล็ดแตงกับน้ำชาไว้ให้ แต่ว่า…เสี่ยปา เกรงว่าพวกเขาต้องลำบากกันสักหน่อยแล้วครับ”
“หืม หมายความว่ายังไง” เสี่ยเฉิงปาถาม
“กลัวว่าพวกเขาต้องอยู่กะดึกน่ะสิครับ เมื่อวานรุ่ยจื่อก็สั่งสอนนักเลงพวกนั้นไปแล้ว เพราะงั้นผมเดาว่าพวกเขาไม่กล้ามาช่วงกลางวันหรอก บางทีอาจจะมาแก้แค้นกลางดึก พวกเราเป็นร้านใหม่ ถ้าพังไป ถึงจะต้องจ่ายเงินซ่อมไม่เท่าไร แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ได้ยินดังนั้น เสี่ยปาก็พูดว่า “ได้ เรื่องนี้แกวางใจได้ พวกเหลยจื่อไม่มีปัญหาเลย เป็นพวกหมาโสดที่ยังไม่ขอใครแต่งงานทั้งนั้น ก็ให้พวกนั้นทำงานกะดึกไป!”
“ได้ครับ งั้นก็ต้องขอบคุณเสี่ยปาแล้ว เดาว่าคงไม่นานมากหรอกครับ เรื่องช่วงนี้น่ะ”
หลังจากวางสาย นับว่าซ่งจื่อเซวียนผ่อนลมหายใจได้ ถ้ามีคนมาก่อเรื่อง ความจริงมีคนของเสี่ยปาออกหน้าจะค่อนข้างดีกว่า อย่างไรพวกเขาก็เป็นคนในวงการใต้ดิน ที่กินกันอยู่ก็คือข้าวถ้วยนี้
ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่หวังให้คนที่อยู่ข้างกายตนเองเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นซางเทียนซั่วหรือว่าฟางรุ่ย ในเมื่อมาติดตามตน เขาก็อยากจะแสดงความรับผิดชอบ
เพิ่งจะวางสายไป ก็เห็นว่าประตูถูกเปิดออก หยางกังพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น “นะ…นายท่านรอง เร็วเข้าครับ ครัวด้านหลัง ข้าวผัดจักรพรรดิ!”
“หืม มีคนสั่งแล้วเหรอ”
“ครับ…เร็วหน่อยเถอะครับ สามที่!”
“ได้ เดี๋ยวฉันลงไป”
ปฏิกิริยาของซ่งจื่อเซวียนกลับเรียบนิ่งมาก ถึงอย่างไรก็เคยผ่านประสบการณ์มีคนมาต่อแถวทุกวันมาแล้ว สิบเอ็ดโมงออร์เดอร์หลั่งไหลมาทีเดียวยี่สิบที่ก็เลิกงานทันที
จากนั้น ครัวด้านหลังก็คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นข้าวผัด เนื่องจากคนที่สั่งไม่ได้เยอะมากนัก เตาก็ยังไม่ได้ใช้ ดังนั้นกลิ่นข้าวผัดจึงไม่ได้ถูกกลิ่นอาหารอื่นกลบ กลิ่นข้าวผัดถึงได้ฟุ้งออกไปด้านนอกเป็นพิเศษ
แม้กระทั่งพ่อครัวข้างๆ ที่กำลังทำงานยังหยุดมือกันหมด ต่างมองมาที่ซ่งจื่อเซวียน
พูดตามตรง พ่อครัวพวกนั้นเห็นอาหารสไตล์แบบนี้ก็อยากจะครูพักลักจำกันทั้งนั้น ต่อให้ไม่กล้าก็แอบชำเลืองมองได้
แต่ฝีมือของซ่งจื่อเซวียนนั้นง่ายมาก โดยเฉพาะส่วนผสมที่มีแค่ข้าวสวยกับไข่ไก่ มองอะไรไม่ออกเลยแม้แต่น้อย อยากจะครูพักลักจำไปก็เปล่าประโยชน์
ข้าวผัดจักรพรรดิสามที่ถูกจัดเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ ขณะเดียวกันซ่งจื่อเซวียนก็เดินออกไป เขาถึงได้สังเกตเห็นแขกที่คุ้นเคยสามคนของต้าสือไต้
แขกสามคนนั้นสวมเสื้อผ้าที่นับว่าหรูหรา อย่างไรคนที่สามารถกินข้าวผัดจักรพรรดิได้ตามใจนั้นต้องไม่มีฐานะทางบ้านธรรมดาแน่นอน สามที่นี้ก็เกือบสองพันเจ็ดร้อยหยวนแล้ว
“แหะๆ รสชาติถูกปากไหมครับทั้งสามท่าน” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“สุดยอดเลย พวกเราคิดว่ามีแค่ต้าสือไต้ที่จะมีรสชาติแบบนี้ได้ คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะต้นตำรับขนาดนี้”
“นั่นสิ พวกเราสามคนอยู่ที่เขตเฉิงตง จะไปต้าสือไต้ก็ค่อนข้างไกล ใครจะรู้ว่าเขตเฉิงตงของเราจะมีด้วยเหมือนกันน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ถูกปากก็ดีแล้วครับ หลังจากนี้ยังต้องรบกวนพี่ๆ ทั้งสามช่วยแนะนำด้วยนะครับ”
“พูดได้ดีๆ แต่ได้ยินมาว่าต้าสือไต้ไม่ขายข้าวผัดจักรพรรดิแล้ว น้องชาย นายคงไม่ใช่…”
“ครับ เดิมผมทำงานที่ต้าสือไต้ ตอนนี้มาทำงานที่นี่แล้วครับ” ซ่งจื่อเซวียนตอบด้วยรอยยิ้มบาง
ลูกค้าตบหน้าผาก “ฉันว่าแล้ว ที่แท้นายก็เป็นคนทำนี่เอง รสชาตินี้โคตรดีเลยจริงๆ แต่ก่อนฉันก็เคยไปที่ร้านนั้นด้วย แต่จากนั้นก็ต้องต่อคิวอยู่บ่อยๆ ฉันค่อนข้างยุ่งเลยไม่ได้ไปแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพูด “ใช่ครับๆๆ ผมว่าพี่ๆ สามคนก็คุ้นหน้าคุ้นตา เดี๋ยวผมแถมอาหารเล็กๆ น้อยให้พวกพี่สักหน่อยดีกว่า”
“เยี่ยม น้องชายนี่พิถีพิถันดีจริง!”
ไม่นานนัก ซางเทียนซั่วก็ยกอาหารสองจานมาเสิร์ฟให้ทั้งสามคน ถือเป็นของสมนาคุณ เทียบกับกำไรมหาศาลของข้าวผัดจักรพรรดิแล้ว แถมอาหารให้สองสามอย่างก็ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย
ซางเทียนซั่วเดินเข้าไปในเคาน์เตอร์ พูดว่า “อาจารย์ ใช้ได้จริงๆ ไม่มีออร์เดอร์ก็คือไม่มีออร์เดอร์เลย พอมีก็สามที่เลย อีกเดี๋ยวเสี่ยเฉิงปานั่นต้องมีความสุขจนหน้าบานเลยมั้ง”
“เหอะๆ นี่เพิ่งเริ่มเอง ที่ต้าสือไต้ข้าวผัดจักรพรรดิก็ค่อยๆ ผงาดขึ้นทีละขั้น อีกสักพักก็จะดีเอง ฉันเดาว่า…อีกเดี๋ยวก็ออร์เดอร์ไหลมาเทมาแล้ว”
ซางเทียนซั่วยิ้ม “ลองคิดๆ ดูว่าเช้าตรู่ของทุกวันจะต้องมีคนมากมายมาต่อแถวที่หน้าร้านอาหารร่ำรวยนี่ ฮ่าๆ น่าตื่นเต้นจริงๆ”
ถึงแม้ว่าช่วงเที่ยงจะขายออกไปสามที่ แต่เวลาอื่นจำนวนลูกค้าก็ไม่ได้นับว่ามากมาย จะอย่างไรก็เป็นร้านอาหารเปิดใหม่ เมนูซิกเนเชอร์ก็ยังไม่ได้โดดเด่นถึงขนาดกระตุ้นผลลัพธ์ได้ อยากจะดังระเบิดระเบ้อก็ยังค่อนข้างยาก
คืนวันนั้น กลับดีขึ้นบ้างเล็กน้อย ชั้นหนึ่งมีห้าโต๊ะ ห้องส่วนตัวชั้นสองก็มีว่างแค่ห้องเดียว โดยรวมนับว่าเติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับเมื่อสองวันก่อน
ที่สำคัญที่สุดก็คือตอนกลางคืนข้าวผัดจักรพรรดิออกอีกสองที่ รวมแล้วก็ห้าที่ เป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวเลยจริงๆ
“นายท่านรอง วันนี้ธุรกิจไม่เลวเลย เมื่อกี้โต๊ะก็เกือบเต็มแล้ว” หยางกังเช็ดโต๊ะพลางยิ้มพูด
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “การเปิดร้านอาหารในเมืองตู้เหมิน ถ้าอยากโด่งดังก็ต้องดูช่วงกลางคืน เพราะยังไงก็ไม่เหมือนกับที่อื่น คนตู้เหมินให้ความสำคัญกับมื้อค่ำที่สุด”
“ใช่ครับ เหมือนว่าจะเป็นอย่างนี้จริงๆ อาจารย์ว่ามันเป็นเพราะอะไรกันครับ ผมเห็นว่ามีเมืองมากมายที่คนกินข้าวเที่ยงเยอะกันหมด” ซางเทียนซั่วถาม
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ก็เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองตู้เหมินไง ตู้เหมินติดกับทะเลแถมยังมีแม่น้ำด้วย ดังคำกล่าวที่ว่าติดกับอะไรก็กินอันนั้น คนตู้เหมินเมื่อก่อนเลยดำรงชีวิตด้วยการทำประมงกันเยอะน่ะ”
“ถ้างั้นเพราะทำประมง…ก็เลยกินแต่มื้อเย็นกันหมดเหรอครับ” หยางกังถาม
ฟางรุ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็พูดว่า “ช่วงเที่ยงชาวประมงยังอยู่บนน้ำหรือในทะเลกันอยู่เลย จะกินข้าวกันได้ยังไงล่ะ”
“เหอะๆ ฟางรุ่ยพูดถูกครึ่งเดียว มนุษย์เราถ้าหิวก็ต้องกิน ก่อนผู้ชายจะเดินเรือออกทะเล ภรรยาก็จะทำอาหารเช้าให้เยอะๆ กันหมด ให้พวกเขากินอิ่มหนำ หรืออาจจะกินส่วนหนึ่งพกติดตัวไปส่วนหนึ่ง เลยแทบจะจัดการปัญหามื้อเที่ยงในทะเลได้หมดน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนจุดบุหรี่ พูดต่อว่า “ถึงแม้ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องอาหารได้แล้ว แต่ก็ไม่มีทางรวมตัวสังสรรค์กันได้ ดังนั้นคนตู้เหมินจึงให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงช่วงเย็นเป็นพิเศษ และเอางานเลี้ยงช่วงเย็นมาเป็นมื้ออาหารที่นัดเพื่อนสนิทมิตรสหายมารวมตัวสังสรรค์กัน ประเพณีนี้ก็สืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน”
ซางเทียนซั่วยกมือขึ้นพูด “อ๋อ ผมเข้าใจแล้ว เพราะงั้นคนตู้เหมินเลยให้ความสำคัญกับอาหารเช้าด้วย”
“ถูกต้อง” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มบาง พูดต่อ “เพราะต่อให้คนที่เดินเรืออกทะเลเอาอาหารไปด้วย มื้อเที่ยงก็แค่กินพอเป็นพิธี ดังนั้นมื้อเช้าจึงสำคัญมาก ต้องกินอิ่มและกินที่มีประโยชน์ ถึงจะมีแรงตกปลา”
หยางกังเกาหัวยิ้มๆ “แค่เรื่องกินข้าวเช้ากับมื้อเย็นยังมีความรู้เยอะขนาดนี้ นายท่านรองนี่รู้เรื่องราวเยอะจริงๆ นะครับ”
“ฮ่าๆ นายท่านรองรู้เรื่องราวเยอะมากนะ จากนี้นายก็เรียนรู้เอาสิ”
ขณะที่พวกเขาคุยกัน ก็เห็นชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้ายิ้มแย้ม เป็นปู่กุ่ยนั่นเอง
“เหอะๆ คุยกันอยู่หลายคนเชียว ท่านเจ้าของร้าน เอาเหล้าให้ฉันหน่อย”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มทันที “เทียนซั่ว เทเหล้าให้ปู่กุ่ย ถั่วลิสงหนึ่งจาน”
………………………………………….