เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 708
ตอนที่ 708 เผ่าพันธุ์ต้องสาป
“แวมไพร์ เจ้าพวกนี้แท้จริงแล้วเป็นอสูร? มีนามว่าแวมไพร์?”
“ชื่อนี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” เหล่าผู้ติดตามออกความเห็น สีหน้ามีแต่ความมึนงง รวมถึงอู่เฉินก็เป็นหนึ่งในนั้นมันเองก็พึ่งได้ยินชื่อเรียกนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน แม้แต่ชื่อยังมิเคยได้ยินแล้วพวกมันจะทราบถึงความสามารถได้เช่นไร
“ไม่! นี่มันไม่น่าจะเป็นไปได้” ชายชรากล่าวย้ํา ตอนนี้หัวคิ้วของมันย่นจนสุด หน้าผากเป็นคลื่นตีนกาเด่นชัด บ่งบอกถึงความตึงเครียด
“มู่ชิง ท่านหมายความว่าไง?” อู่เฉินกล่าวถาม ตั้งแต่อู่เฉินจําความได้ ในเรื่องราวชีวิตของมันมักมีชายชราเป็นส่วนประกอบอยู่เสมอชายชราผู้นี้ได้รับเลือกให้ทําหน้าที่ผู้ติดตามคนสนิทมีบทบาทเทียบได้ดั่งองครักษ์ส่วนตัวตั้งแต่มันยังแบเบาะร่วมยี่สิบปีที่พวกมันตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋นี่เป็นครั้งแรกที่มันเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวั่นวิตกของชายชรา
เหล่าผู้ติดตามที่เหลือแปดนายก็มีสีหน้าไม่ต่างกันพวกมันล้วนแปลกใจต่อปฏิกิริยาที่ชายชราแสดงออก
“องค์ชายท่านมิทราบ อาจเป็นเพราะมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยากจะเห็นผู้ที่ล่วงรู้ข้อมูลของมันก็แทบจะไม่มี แวมไพร์มิใช่สัตว์อสูรและมิใช่เผ่าปีศาจ การดํารงอยู่ของมันก่ํากึ่งไม่อาจบ่งชี้ชาติพันธุ์ที่ชัดเจนไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอาจเรียกได้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่สามนอกเหนือจากเผ่าปีศาจและอสูรแต่ด้วยอัตราการเจริญพันธุ์ต่ํายิ่งทําให้ประชากรของพวกมันมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยอาจไม่ถึงหนึ่งส่วนร้อยของเผ่าอสูรบางที่รวบรวมทั้งหมดแล้วอาจจะมีไม่ถึงหนึ่งพันตนเสียด้วยซ้ําฉะนั้นหากจะเรียกพวกมันว่าเป็นอีกชนชาติหนึ่งก็คงเรียกได้มิเต็มปาก แม้พวกมันจะอาศัยอยู่ในแดนอสูรแต่มิได้เห็นอสูรเป็นมิตรแม้อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเราเผ่าปีศาจแต่มันมิได้เจาะจงมั่นหมายเป็นศัตรูกับเราพวกมันปิดกั้นตนเองไม่รุกล้ําออกนอกเขตของตนโดยอุปนิสัยของพวกมันล้วนหยิ่งทะนงย่อมไม่ ยอมตกเป็นลูกน้องเป็นเครื่องมือของใครแน่ๆ”ชายชราอธิบาย
“เผ่าปีศาจเรามีประชากรมากกว่าหลักพันหลักหมื่นล้านตน แต่พวกแวมไพร์มีเพียงพันตน? แถมในสายตาของข้ามันก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายแสนบอบบางมิน่าล่ะพวกมันถึงไม่กล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับเผ่าเราหรือเผ่าอสูร ฮ่าๆๆ” ผู้ติดตามวัยฉกรรจ์รายหนึ่งเปร่งวาจาพลางหัวเราะ
“ผิดแล้ว อย่างที่ข้ากล่าวมันมิได้เป็นศัตรูกับฝ่ายใดและไม่มีฝ่ายไหนที่มันเห็นเป็นมิตรเช่นกันทุกชีวิตที่ย่างกรายเข้าไปในอาณาเขตของมันไม่เคยมีผู้ใดรอดกลับมาสักตนเดียวแม้แต่เผ่าอสูร!!”
“แวมไพร์เผ่าพันธุ์ต้องสาป ถูกแล้วจํานวนของพวกมันน้อยยิ่งไม่อาจเทียบได้กับพวกเราชาวปีศาจและไม่แม้จะเทียบกับเผ่าอสูรที่มีจํานวนน้อยอยู่แล้วก็ตาม แต่พวกมันที่มีแค่หนึ่งพันตนยังดํารงอยู่มาได้นับหมื่นปีโดยที่ไม่สูญพันธุ์ไม่ถูกกวาดล้างนั่นเพราะไม่มีเผ่าใดสามารถเทียบเคียงพลังอํานาจของพวกมันได้!!”
“พวกมันมีทั้งสติปัญญาที่สามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องไม่ด้อยไปกว่าเผ่าปีศาจและมีร่างกายที่เป็นพรจากสวรรค์ตั้งแต่ถือกําเนิดเทียบเคียงได้กับเผ่าอสูร ดุร้ายเก่งกาจทรงภูมิปัญญามีไหวพริบ!!” ชายชรากล่าว
“นั่นพวกมันมิรับมือยากยิ่งสัตว์อสูรมิใช่รี!?” ผู้ที่ได้ยินล้วนอกสั่นขวัญแขวน
ชายชราผงกหัว
“ลั่ก!?” ในตอนนั้นเองจู่ๆผู้ติดตามวัยฉกรรจ์รายหนึ่งเค่นเสียงต่ํา มือซ้ายขย้ําทรวงอกส่วนมือขวายกขึ้นบลําคอของตนจนใบหน้าแดงก่ําเส้นเลือดทั่วทั้งร่างปูดโปนอย่างน่ากลัว สมาธิขาดหายเว้นช่วงไม่อาจควบคุมกระแสลมประคองร่างของตนให้ลอยในอากาศได้อีก
“เจ้าเป็นอะไร!!” เหล่าผู้ติดตามตกใจกับท่าทางของมันอย่างยิ่งล้วนกล่าวถามด้วยความตื่นตระหนกเร่งเข้า มาช่วยประคองมิให้มันตก
“ข-ข้าหายใจไม่ออก” มันกล่าวตะกุกตะกัก ตอนนี้รอบลําคอรวมถึงมือขวาที่บีบอยู่ล้วนขาวซีดส่วนใบหน้า ของมันรวมถึงหกลายเป็นสีแดงอมม่วงไม่มีการไหลเวียนของเลือดกรามของมันนูนเด่นมันกัดฟันแน่นจนมีเลือดไหลซิบออกจากริมฝีปาก
อู่เฉินและพรรคพวกล้วนมองหน้ากันด้วยความสับสนงงงวย มันผู้นี้เป็นอะไร? โรคประจําตัวกําเริบเฉียบพลัน? แต่โรคอะไรกันหล่ะที่ทําให้ชายฉกรรจ์ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เหนือสิ่งใดตกอยู่ในความทรมานอย่างนี้?
“น-นั่น!!?” ในตอนนั้นเองชายชราผู้มีนามว่ามู่ชิงชี้มือไปยังเบื้องล่างด้วยดวงตาเบิกโพลงราวกับเห็นผี
เหล่าผู้ติดตามรวมถึงอู่เฉินมองตามปลายทางเป้าหมายคือทัพศัตรูสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแวมไพร์ที่พวกมันกําลังลอบแอบมองอยู่และแล้วพวกมันก็ได้พบกับดวงตาสีแดงดั่งโลหิตรคู่หนึ่งที่เห็นเด่นชัดแม้จะอยู่ไกลห่างและเป็นช่วงเวลากลางคืนราวกับว่ามันเรืองแสงอยู่ใจกลางทัพแวมไพร์ มันเป็นแววตาที่น่าขนลุกอย่างยิ่ง
แวมไพร์ตนนี้มีท่าทีแปลกๆต่างไปจากตนอื่น แขนของมันข้างหนึ่งชูขึ้นเหนือศรีษะกางฝ่ามือชี้มาทางอู่เฉินและพรรคพวก นิ้วทั้งห้าเกร็งบีบกําเข้าหากันอย่างช้าๆ
ไม่ทราบเป็นเรื่องบังเอิญหรือจงใจ ชายฉกรรจ์ที่กําลังมีท่าทีพะอืดพะอมกลืนไม่เข้าคายไม่ออกพยายามบรรเทาอาการของตนโดยการบีบคอตัวเองอยู่นี้ จู่ๆก็มีอาการรุนแรงมากยิ่งขึ้นมันสําลักเลือดออกโตออกมาทางปากและจมูก
เมื่อสังเกตุเห็นเช่นนั้นชายชราม่ชิงตัดสินใจฉับพลันไม่พูดพร่ําทําเพลงมันรวบตัวชายฉกรรจ์เข้ามาในอ้อมแขนบีบอัดมวลอากาศใต้ฝ่าเท้าและปลดปล่อยออกมาเป็นเกลียวคลื่นผลัดกันร่างของมันเคลื่อนที่ไปในทิศตรงกันข้ามด้วยความเร็วสูง เพียงพริบตาชายชรามู่ชิงและชายฉกรรจ์เคลื่อนที่ไปไกลกว่าร้อยเมตรทั้งยังไม่หยุด เคลื่อนไหวมุ่งหน้าขึ้นเหนือด้วยความเร็วคงที่
คนที่เหลือทั้งเก้ารวมถึงอู่เฉินพึ่งจะตั้งสติตั้งตัวได้ พวกมันควบคุมวายุเคลื่อนที่ตามไปติดๆไม่นานนักพวกมันก็ตามชายทั้งสองทันซึ่งบัดนี้ได้หยุดเคลื่อนที่ประคองลอยตัวอยู่กลางอากาศไม่มุ่งหน้าไปต่อแล้ว
“เอื้อกก” ชายฉกรรจ์ในอ้อมแขนสูดหายใจเฮือกใหญ่อย่างกระเสือกกระสน อากาศกลุ่มใหญ่ถูกเติมเข้าไปในปอดทั้งสองข้างของมันจนทรวงอกโป่งพอง มันหายใจเข้าออกรุนแรงกว่าหลายคราก่อนจะสงบลงยกแขนข้างนึงขึ้นปาดคราบเลือดมุมปากเช็ดจมูกซับเหงื่อบนใบหน้าดื่มน้ําอย่างกระหายมันกลับมาเป็นปกติแล้ว
“เจ้าเป็นยังไงบ้าง” ชายชราม่ชิงกล่าวถาม
“ข-ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณท่านมาก” ชายฉกรรจ์กล่าวทุลักทุเลเล็กน้อย
“โรคประจําตัว?” สหายร่วมรบกล่าวถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ ข้ามิมีโรคอันใดทั้งสิ้น พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าการคัดเลือกเข้าประจําการเป็นนักรบอันดับแรกต้องไม่มีข้อบกพร่องทางร่างกายนั่นก็รวมไปถึงโรคประจําตัวด้วย” ชายฉกรรจ์กล่าวพลางดื่มน้ําเพิ่มอีกอีกใหญ่
“ในตอนนั้นจู่ๆ หน้าอกของข้าราวกับถูกกดทับด้วยหินผาน้ําหนักมหาศาล พละกําลังค่อยๆหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ แขนขาชาไม่รับความรู้สึก สุดท้ายก็ค่อยๆขาดอากาศหายใจอย่างช้าๆ ข้านึกว่าตนเองจะตายแล้วเสียอีกมันทรมานอย่างยิ่ง” ชายฉกรรจ์อธิบายความรู้สึกของตนพลางหายใจหอบหืด
“ท่านมู่ชิง ท่านว่านี่มันเกี่ยวกับพวกแวมไพร์นั่นไหม?” เหล่าผู้ติดตามกล่าวถาม น้ําเสียงของพวกมันเต็มไปด้วยความกังวล
“ข้าทราบเพียงว่าพวกมันมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับพวกเราเผ่าปีศาจ ส่วนข้อมูลความสามารถเกี่ยวกับแวมไพร์นั้นหาแทบไม่มี บันทึกในอดีตก็แทบจะไม่มีแวมไพร์ปรากฏอยู่เลย” ชายชราม่ชิงกล่าวพลางส่ายหัว
“แล้วเราจะจัดการกับพวกมันยังไงล่ะ?”
“แน่นอน ยังไงมันก็เป็นศัตรูแถมยังมีจํานวนแค่ร้อยตน ฝั่งเรามีนับล้านก็แค่ฆ่าพวกมันให้หมด”
“แต่เราไม่ทราบทั้งข้อมูล คุณสมบัติ วิชาที่มันใช้ รวมทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน”
“เอาล่ะ ตอนนี้เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง พวกเรากลับกันก่อนเถอะ” ภู่เฉินกล่าว ตอนนี้พวกมันใช้เวลานานเกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้แล้ว ทั้งสิบตัดสินใจมุ่งหน้ากลับฐานที่มั่นทันที
ถึงที่หมายเหล่าผู้ติดตามแยกกระจายตัวไปคนละทิศทาง ชายฉกรรจ์ผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างปริศนามุ่งตรงไปยังแพทย์ฐานเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ผู้ติดตามที่เหลือล้วนส่งข่าวความคืบหน้ารายงานผลให้แก่เหล่าแม่ทัพหน่วยอื่นๆชายชราม่ชิงปลีกตัวเพียงลําพังมุ่งกลับเข้าเมืองหลวงเดินทางสู่หอตําราสืบเสาะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแวมไพร์ ส่วนภู่เฉินกลับไปแจ้งต่อฐานบัญชาการหลักบนกําแพงเมืองด้วยตนเอง