ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 170
ตอนที่ 170 ที่มาของต้นไทร
“เรื่องต้นไม้หลั่งเลือดนั้นฉันไม่รู้หรอก… แต่ฉันเคยเห็น… จะเชื่อหรือเปล่าก็แล้วแต่! ฉันเห็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่บูชาของเทพธิดาแห่งชีวิตถูกเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นรู้หรือเปล่าพวกคนที่ตายแล้วได้กลายเป็นภูเขาซากศพนั่นถูกเอาไปหลอมละลายเพื่อสร้างรูปแบบชีวิตใหม่ขึ้นมาน่ะ”
“ศาลเจ้าถูกทําลายไปแล้ว ชาวเมืองทั้งหมดได้หลบหนี แต่ใครก็ไม่รู้มาปิดทางออกไว้ก็เลยทําให้ชาวเมืองทั้งหมดนั้นหนีไม่พ้นความตาย”
“บุคคลที่มีชื่อเสียงมากมายจากสถาบันการแพทย์คาร์ลอตได้ทําพิธีการบรรลุนิติภาวะที่นี่เมืองริเกอร์ของเราเป็นแหล่งกําเนิดของอัจฉริยะทางการแพทย์เสมอมา”
“สถาบันแพทย์คาร์ลอต?” คราวนี้เป็นเสวี่ยป้าที่ไม่ได้ทําตามคําแนะนําของเขาเองเพราะเขานึกถึงอย่างอื่นขึ้นมากะทันหันเขามองข้ามแม้กระทั่งสายตาของหลินม่อที่กําลังจะเหน็บแนมว่าเขานั้นไม่ยุติธรรม“เธอไม่ได้บอกว่ามีดผ่าตัดเล่มนั้นมียี่ห้อคาร์ลอตหรอกเหรอ??”เสี่ยป้านึกถึงคําที่อยู่บนมีดผ่าตัดขึ้นมาได้
“ใช่ บางทีมันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้…” กู้จวินขมวดคิ้ว เอกสารหรือกระดาษหนังพวกนี้อธิบายโศกนาฏกรรมที่น่าสยดสยองอย่างชัดเจน แต่ถึงแม้จวินจะเป็นเพียงแค่หมอตัวเล็กๆ และไม่เคยเรียนคณะวิจารณ์ศิลปวิจารณ์ศาสตร์มาก่อน.. แต่เขาก็อธิบายได้อย่างชัดเจนว่าในกระดาษหนังพวกนี้แม้จะเขียนเรื่องราวโศกนาฏกรรมเมื่อครั้งนั้นเอาไว้ชัดเจนแต่มันไร้ซึ่งอารมณ์โดยสิ้นเชิง
– ถ้าเปรียบเป็นนักเขียนและถ้าหากเขียนนิยายแนวสยองขวัญด้วยสํานวนแบบนี้แน่นอนว่านับเวลาถอยหลังรอเจ๊งกระบังได้เลย มันไม่มีทั้งความเสียใจ ความโศกเศร้ามันทําให้ผู้อ่านอย่างเขายิ่งอ่านยิ่งหงุดหงิดจนอยากจะเขวี่ยงกระดาษทั้งหมดนี้ลงพื้น… แต่ก็ทําไม่ได้!สายตาของเสี่ยป้าจ้องมาทางนี้ตลอดราวกับกลัวว่าจวินจะ เผลอมือลั่นฉีกกระดาษให้พังพินาศและเขาจะไม่มีอะไรไปรายงานเบื้องบน
“นอกเหนือจากการเป็นเมืองหลวงแล้ว เมืองริเกอร์ยังมีชื่อเสียงในด้านการศึกษาทางการแพทย์ทุกคนบอกว่าเทพธิดาแห่งชีวิตได้ประทานพรให้แก่เมืองนี้โดยเฉพาะ
“เทพธิดาแห่งชีวิต กู้จวินเคยได้ยินมาหลายครั้งมาก…ไม่ว่าจะจากปากของสาวกหรือว่าจากกระดาษหนังแผ่นนี้หรือแม้แต่ของขวัญที่ได้รับจากระบบก็ระบุไว้เช่นกัน…
ตอนนี้กู้จวินเริ่มมองเทพธิดาแห่งชีวิตด้วยความสงสาร แม้เขาจะไม่รู้จักตัวตนของเทพธิดาแห่งชีวิตแต่ดูเหมือนเทพธิดาแห่งชีวิตคนนี้จะถูกใส่ร้ายเอาไว้เยอะพอสมควร… พวกมนุษย์ที่แสนเอาเปรียบเหล่านี้… พอไม่ได้อะไรก็มักจะมาลงกับบรรดาทวยเทพกล่าวหาอย่างนั้นอย่างนั้นอย่างนี้ทั้งๆที่แท้จริงแล้วเทพธิดาได้แห่งชีวิตไม่ได้ทําให้พวกเขาเดือดร้อนเลย…
เห็นได้ชัดว่าจากข้อความนี้ยังให้ความเคารพเทพธิดาแห่งชีวิตอยู่ แสดงว่าหายนะยังไม่ได้เริ่มขึ้น…
ว่าแต่ตอนที่เขียนข้อความนี้หายนะยังไม่เกิดขึ้น แล้วเหตุใดจะต้องเอาข้อความนี้มาต่อถ้อยคําที่เขียนเอาไว้ตอนที่ภัยพิบัติบุกโลกแล้วล่ะ มันไม่สมดุลเอาเสียเลย หรือว่าคนเขียนนึกจะใส่อะไรก็ใส่
“ผู้คนต่างให้คุณค่ากับแร่หินของเมืองริกเกอร์เสมอ และต้นไทรล่ะ ทําไมพวกเขาไม่เคารพ?”
“ทําไมคนเมืองนี้ถึงไม่ชอบต้นไทร?
“โรคที่เกี่ยวข้องกับต้นไทร สิ่งมีชีวิตรูปแบบใหม่ ต้นไทรมนุษย์ที่ก่อขึ้นจากซากศพ ขนาดของมันใหญ่เท่ากับภูเขา… สุดยอดเลยฉันไม่เคยได้ยินมันมาก่อน แสดงว่ามันจะต้องสวยงามมากแน่ๆฉันอยากจะเห็นอีกสักหน”
“โรคที่เกี่ยวข้องกับต้นไม้อย่างนั้นเหรอทุนหมายถึงโรคต้นไทร ใจจริงๆมันเป็นความเจ็บป่วยแบบไหนกันล่ะ”
“ต้นไทรคือรูปแบบชีวิตรูปแบบใหม่”
“ถ้าถามว่าจะมีความเจ็บปวดหรือไม่? ก็คงต้องตอบว่าการกําเนิดของชีวิตไม่สามารถแยกออกจากความเจ็บปวดได้กระมัง”
เมื่อมาถึงจุดนี้กูจวินก็หยุดลง ใบหน้าของเขาซีดเผือดทันที ข้อความคําว่า สร้างความเจ็บป่วย ทําให้เขารู้สึกตื่นตระหนกและวิตกกังวลอย่างมาก ทางด้านหัวหน้าอย่างเสวี่ยป้าก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันใบหน้าของเขาซีดเผือดไร้สีเลือดและขาดวิญญาณคล้ายกับคนที่ตกใจอย่างมากซึ่งมันไม่สอดคล้องกับบุคลิกของเสวี่ยป้าตามปกติเอาเสียเลย แม้กระทั่งหลินม่อที่คอยมากวนกู้จวินและมาแอบฟังเรื่องคาถาเฉยๆเขาก็ยังรู้สึกตกใจ ใบหน้าของเขาดูหม่นหมองราวกับคนที่ไม่ได้นอนมาหลายวัน… เขาอดไม่ได้ที่จะดันแว่นตาขึ้นและแคะหูเพราะเขาอาจจะได้ยินและได้เห็นผิดไป
โรคมนุษย์ต้นไทรหรือต้นไทรที่มีรูปร่างผิดปกตินั้นเกิดขึ้นโดยใครบางคน
การเกิดโรคภัยชนิดใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องประหลาด ตามประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้นนับตั้งแต่มีการบันทึกถึงเรื่องการสร้างโลกและสร้างมนุษย์ โรคภัยชนิดใหม่นั้นเกิดขึ้นได้เสมออย่างเช่น โรคระบาดและไวรัสตัวใหม่ซึ่งมนุษย์แต่ละยุคก็จะมีการแก้ไขปรับปรุงและหาหนทางการรักษาที่แตกต่างกันไปแล้วแต่อาการ
จนกระทั่งมนุษย์ได้มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นของตัวเอง เมื่อเข้าสู่โลกของยุคโลกาภิวัตน์ทุกประเทศสามารถเชื่อมต่อกันได้จึงทําให้การพัฒนานั้นยิ่งก้าวกระโดด สุดท้ายแล้วมนุษย์ได้ใช้อารยธรรมและนวัตกรรมที่ทันสมัยของพวกเขาในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
ในยุคปัจจุบัน…หากมีโรคระบาดอะไรเกิดขึ้นมา พวกเขาจะร่วมมือกันทําสงครามเคมีชีวภาพขึ้นมาทันทีต่างคนต่างแยกกันคิดที่จะหาวิธีรักษาโรค ทําให้เกิดวัคซีนในเวลาไม่นาน
หากจะพูดถึงสงครามเรื่องเคมีในสมัยก่อนก็มีคนใช้ยาพิษในสงครามเพื่อแย่งชิงดินแดนด้วยทําให้คนของฝ่ายศัตรูที่ได้รับยาพิษต่างล้มป่วยกันไปตามๆกันจนทําให้ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่ามันอาจจะเป็นโรคติดต่อ… แต่เรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับกันไม่ได้ในประวัติศาสตร์แม้กระทั่งในการรบ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครทําเท่าไหร่และถ้าใครลงมือทําประเทศนั้นก็จะได้รับการเหยียดหยามจากประเทศอื่นตลอดไปทําให้ปัจจุบันนี้ไม่มีใครทําอีกและยุคแห่งสงครามก็จบลงไป
แต่ไม่ได้หมายความว่าโรคภัยจะจบสิ้นไปด้วย!
โรคภัยยังคงเกิดขึ้นและพัฒนาเสมอ! ทําให้ผู้คนต้องต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บเพื่อหาทางรอดกันต่อไป
พวกเขาเคยได้ยินแต่เหล่าแพทย์และนักวิจัยที่พยายามหาวิธีสร้างวัคซีนเพื่อรักษาโรคร้าย แต่พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องโรคที่มีคนสร้างขึ้นมาก่อน แล้วมันจะสร้างไปทําไมสร้างเพื่ออะไรสร้างที่เป็นสิ่งมีชีวิตแบบใหม่ขึ้นมาเนี่ยนะเดาไม่ออกเลยว่าต้องเป็นคนยังไงถึงต้องสร้างต้นไทรที่ทําจากมนุษย์ออกมาได้…. และที่สําคัญที่สุดใครกันแน่ที่เป็นคนสร้างมันขึ้นมา
ถึงจะยังไม่ตอบแต่จวินก็มีสมมติฐานอยู่ในใจแล้วเพราะเขาได้เห็นภาพลวงตาของผู้คนที่บูชาต้นไทรอย่างชัดเจนถ้าไม่ใช่พวกมันแล้วจะเป็นใครอีก หัวใจของเขาตึงขึ้นและเจ็บปวดเล็กน้อยแต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ยังคงอ่านต่อไป
“ถ้าอดีตที่เน่าเปื่อยไม่จางหาย อนาคตสดใหม่ก็จะไม่มาถึง”
“ความเจ็บป่วยจะนํามาซึ่งการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงก็จะนํามาซึ่งความสดใสและความชื่นมื่นที่ไร้สิ้นสุด”
“มีต้นไทรใหญ่อยู่รอบๆ ศาลเจ้า พวกมันอยู่มาหลายหมื่นปีแล้ว ถึงเวลาสําหรับการเปลี่ยนแปลงเสียที”
“มีคนบอกว่าอาการเจ็บป่วยเป็นเรื่องไม่ดี ช่างโง่งมแท้ๆ ? พวกเขาช่างโง่เขลา เพียงแค่ลืมตาก็จะเห็นความจริง”
“เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันคือวัฏจักรชีวิต หากไม่ยอมรับความเจ็บป่วย ก็จะไม่มีวันเข้าใจความจริงของชีวิตได้หรอก”
“มนุษย์กินชีวิตอื่นเพื่อเติบโต ดังนั้นชีวิตอื่นก็สามารถกินมนุษย์เพื่อเติบโตได้เช่นกัน นั่นเป็นเรื่องของความยุติธรรมมันเป็นสัจธรรมของโลก”
ในขณะที่ก่จวินอ่านประโยคเหล่านั้น เส้นเลือดของเขาก็เต้นเป็นจังหวะด้วยอาการหนาวสั่น ประโยคเหล่านี้มีความคุ้นเคยบางอย่างกับเขามันจึงทําให้สิ่งต่าง ๆ และความคิดของเขาเองเริ่มสับสนมากขึ้น…แต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็เล็งเห็นเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังคํากล่าวอ้างเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว
“เมล็ดพันธุ์แห่งความเจ็บป่วยได้แพร่กระจายออกไป ฉันจะนั่งชมผลของมันภายในต้นไทร”
“ถอนแขนขาพวกเขาออกเพื่อทดแทนกิ่งและใบของต้นไทร”
“ต้นไทรเหล่านี้สามารถทําให้คนในโลกทุกคนมองเห็นแสงเดียวกันได้”
“อาการเจ็บป่วยนั้นถือว่าเป็นทางรอดชนิดหนึ่ง… แม้จะเจ็บป่วยแต่ก็ยังไม่ถึงตาย และความตายนั้นมันก็เป็นเรื่องปกติ… ทุกคนเกิดมามีใครบ้างไม่ตาย”
“ความเจ็บปวดเท่านั้นที่จะนําไปสู่การสร้างสรรค์ที่ล้ําเลิศ ความพินาศเท่านั้นที่จะสามารถนํามาซึ่งความสมหวังและการได้ครอบครองทุกสิ่ง”
“พวกเขาได้สร้างแสงสว่าง”
“พวกเราสร้างแสงสว่าง”
หลังจากอ่านประโยคนี้จบ กู้จวินก็เห็นลายเซ็นที่อยู่ด้านล่าง… อักษรของลายเซ็นที่
อยู่ด้านล่างนั้นเต็มไป ด้วยหลากหลายอารมณ์…เดาได้ไม่ยากเลยว่าในขณะที่กําลังเซ็นคนที่เซ็นนั้นกําลังมีความคิดอะไรอยู่ และ ความคิดนั่นก็ทําให้รู้จวินเองถึงกับหน้าซีดเผือดไร้เลือดมาหล่อเลี้ยงทุกอย่างที่เขาคาดเดาเอาไว้เป็นที่แน่ชัดแล้ว..
ผู้คนจากลัทธิหลังความตายนําเด็กไปวางไว้ในรูต้นไม้ จากนั้นก็แพร่กระจายโรคต้นไทรมนุษย์ทําให้ผู้คนกลายเป็นโรคต้นไทรที่มีรูปร่างผิดปกติ และทั้งหมดก็คือ สิ่งจําเป็นที่จะนําไปสู่พิธีอัญเชิญปีศาจที่แท้จริง
กู้จวินเอามือแตะที่หัวใจทันทีจากนั้นเขาเอามือไปจับที่หัว เมื่อรับรู้ความจริงข้อนี้ได้เขาก็ถึงกับปวดหัวด้วยความทุกข์ทรมานทันที แต่มันไม่ใช่ทุกข์ทรมานที่เกิดจากการใช้คาถาหรือว่าโดนคําสาป แต่เป็นเพราะเขายอมรับความจริงไม่ได้นั่นเอง
เขาหวนนึกถึงครั้งแรกที่เขาเห็นคนที่เป็นโรคมนุษย์ต้นไทรที่สนามกีฬาแห่งนั้น
เขาบอกศาสตราจารย์ฉินตามความคิดของเขาด้วยท่าทางที่มั่นใจ ตอนนั้นเองเขาก็พูดด้วยน้ําเสียงที่ทําให้ทุกคนต้องตื่นตะลึงไปเช่นกัน เขาเองยังรู้สึกแปลกใจเลยว่าทําไมเขาถึงพูดออกไปแบบนั้นมันเป็นเพราะความรู้สึกอย่างนั้นเหรอ ก็ใช่! ความรู้สึกของเขามักถูกเสมอตอนนั้นเขาบอกศาสตราจารย์ฉินว่า ต้นไทรต้นนี้นั้นงดงามและมีการออกแบบที่วิจิตรบรรจง… ที่สําคัญ!มันทั้งบ้าคลั่งและสวยงามไปในคราวเดียวกัน
ไม่ว่าใครได้ยินความคิดนี้ของเขาก็ต้องรู้สึกว่าเขาเพี้ยนกันทั้งนั้น ไม่ต้องเดาเลยว่าวันนั้น เพื่อนๆของเขาและบรรดานักศึกษาจากมหาลัยอื่นจะมองเขาด้วยสายตาแบบไหน ต้นไทรมนุษย์ที่น่าหวาดกลัวทั้งผิดปกติและน่ากลัวจนน่าพิศวงแต่เขากลับบอกว่ามันสวยงามและเป็นศิลปะชิ้นหนึ่ง….แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้กู้จวินก็ได้แต่ส่ายหน้า
รูปแบบชีวิตที่สามารถกลายเป็นระบบนิเวศน์ของสิ่งมีชีวิตได้ ยอดแหลมที่สร้างขึ้นบนซากปรักหักพัง…นั่นคือแสงที่กล่าวถึงในกระดาษแผ่นนี้ใช่ไหมนะ? กู้จวินพึมพําในใจด้วยความสงสัย ต้องขอบคุณปริศนาที่ยิ่งเฉลยยิ่งงกว่าเดิม
“อาจขึ้น? อาจขึ้น?” เมื่อเห็นสภาพที่เขาเป็นอยู่ เสี่ยป้าก็เอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “เธอสบายดีไหม? เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“หัวหน้าครับ เขาหน้าซีดมาก ไปเรียกลุงต้านมาที่นี่ดีกว่าครับ” หลินต่อกล่าวแนะนําด้วยท่าทางรีบร้อน
กู้จวินมองไปที่ต้นไม่ใหญ่ที่น่าขนลุกรอบตัวของเขา และต้นไม้พวกนั้นก็จ้องมองกลับมาที่เขาอย่างเฉยเมยและไร้ชีวิตชีวาจากนั้นเขาก็หันไปดูลายเซ็นบนหน้ากระดาษ…
“บุตรแห่งความโชคร้าย