ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 169
ตอนที่ 169 กระดาษหนัง
เสวี่ยป้ามอบสิ่งของที่ห่อด้วยผ้าสะอาดให้กู้จวินทันที มันคือห่อผ้าที่เขาได้มาจากหัวหน้าสาวกของบริษัทไล่เฉิงที่สวมชุดคลุมสีแดง“พวกฉันได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว นี่น่าจะเป็นกระดาษหนังเทียมมันคล้ายกับกระดาษที่เอาไว้ใช้ในอุตสาหกรรมการทําหนังสือแบบโบราณและมันก็มีขนาดเพียงพอที่จะให้เขียนหนังสือได้และในกระดาษนี้ก็มีภาษาต่างโลกเขียนอยู่… เธอลองเอาไปดูมันมีอยู่ 5 แผ่น”
นี่คือสิ่งที่คนได้จากตัวของสาวกชุดแดงสินะ… กูจะวินคิดในใจพลางยื่นมือไปหยิบห่อผ้านั้นมาไว้ที่ตัวเองพ่อของมาอยู่ที่ตัวเองแล้วเขาก็เริ่มทําการแกะห่อผ้าอย่างระมัดระวัง จากนั้นทันทีที่แกะเสร็จเขาก็พบกับกระดาษสีเหลืองทองเล็กๆที่วางอยู่ในห่อผ้านั้น
ทันทีที่เห็น…กู้จวินก็รับรู้ได้เลยกระดาษแผ่นนี้เป็นกระดาษที่มาจากต่างโลก…เขาเคยเห็นกระดาษชนิดนี้มาก่อนแม้ว่ากระดาษชนิดนี้จะมาในรูปของไฟล์ดิจิตอลก็ตามที่เถอะ แต่เขาก็พอมองลักษณะของมันออกได้บ้างโดยกระดาษ 5 แผ่นนี้ทําจากวัสดุเดียวกับพิมพ์เขียวของแลนดอนและเป็นวัสดุกระดาษแผ่นเดียวกับบันทึกของชายหนุ่มที่ชื่อเรย์บัน
ในเมื่อมันมาจากต่างโลกก็เป็นไม่ได้ที่จะใช่กระดาษหนังเทียมที่พบได้ในโลกนี้ มันจะต้องเป็นกระดาษแบบอื่นแน่นอน…. และพอจวินลองจับมันดูเขาก็พบว่ามันไม่น่าจะใช่กระดาษหนังแบบธรรมดาจริงๆอย่างที่เขาคิดนั่นแหละ
แต่แค่คลําๆ มันจะไปสะใจอะไรเขาลองเอานิ้วหัวแม่มือของตัวเองลูบๆ เบาๆบนกระดาษ…ทันทีที่ได้สัมผัสเขาก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกแปลกๆมันราวกับไม่ใช่กระดาษที่ตัวเขาเคยใช้ทั้งหมดทั้งมวลในโลกนี้… ทว่าเมื่อลองจับดีๆเขาก็เหมือนกับได้สัมผัสกับบางสิ่งที่ค่อนข้างคุ้นเคยกับอดีตของตัวเองอยู่แล้วเขาเคยได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้นั่นก็คือตอนที่เขาถือมีดผ่าตัดคาร์ลอตที่ได้มาจากรางวัลของระบบ… ดังนั้นจึงระบุได้อย่างแน่ชัดว่ากระดาษ 5 แผ่นนี้จะต้องมาจากต่างโลกแน่นอน
ถ้าพูดถึงมีดผ่าตัดเล่มนั้นล่ะก็…. ใช่แล้ว!มันคือมีดผ่าตัดคาร์ลอตที่“คาดว่าน่าจะถูกฝังอยู่หลังกําแพงหิน!มันจะเป็นของสิ่งหนึ่งที่ทางทีมนักล่าอสูรเป็นคนหาพบดังนั้นมันจึงถูกเก็บเอาไว้โดยหน่วยแพทย์ที่มีความเกี่ยวข้องกับมีดผ่าตัดมากที่สุด
และไปไๆ มาๆ มันก็ถูกกู้จวินล่อลวงเอากลับคืนมาเป็นของส่วนตัวของตัวเองอีกครั้ง… และต้องขอบคุณมีดผ่าตัดที่สุดยอดเล่มนี้มันทําให้เขาสามารถใช้คาถาได้ตั้งหลายรอบโดยที่ไม่สลบและสามารถต้านทานเวทมนตร์จากคนอื่นได้ นับว่ามันเป็น[rare Item] ชั้นดีที่หายากเลยทีเดียว
อื่นรู้หรือไม่กู้จวินไม่รู้ แต่จวินพอรู้ว่าเสี่ยป้าที่เป็นหัวหน้าทีมและอยู่ใกล้กับเขามากที่สุดจะต้องรู้เห็นเรื่องนี้แน่นอนไม่อย่างนั้นเขาคงไม่โผล่หน้ามาห้ามกู้จวินตอนกราดยิงหรอกกู้จวินจําได้ดี… ว่าใครสงสัยเขาบ้าง
และความจริงก็เป็นไปอย่างที่กู้จวินคิด เสี่ยป้ายอมรับด้วยตัวเองว่าเขานั้นเห็นกู้จวินถือมีดผ่าตัดใช้คาถาและทําลายเวทมนตร์ของฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็ท่องคาถาในตอนที่ยิงปืน… นั่นเลยทําให้กู้จวินตื่นตระหนกเพียงแต่ใบหน้าที่ตื่นตระหนกไม่ได้ออกมาภายนอกก็เท่านั้นเขายังคงนิ่งเฉยจากนั้นก็เริ่มปั้นน้ําเป็นตัวเพื่อหลอกลวงหัวหน้าของตัวเองทันที
เขาให้คําอธิบายว่ามีดผ่าตัดเล่มนี้ได้กระตุ้นความทรงจําภายใต้จิตใต้สํานึกบางส่วนของเขาออกมาและความทรงจํานั้นเมื่อรวมกับพลังที่เขามีจึงสามารถทําลายเวทมนต์ของอีกฝ่ายได้แม้มันจะไม่ใช่คําตอบที่แท้จริงทั้งหมดแต่มันก็มีความจริงไปถึง 80% นี่เป็นหลักการที่ดีของการโกหก โกหกอย่างไรไม่ให้คนจับได้นั่นก็คือศาสตร์แห่งโกหกนั่นเอง
และการโกหกก็ต้องมีความจริงเป็นส่วนใหญ่ในการผสมด้วย นั่นเป็นหลักการโกหกสากลที่ได้ผลที่สุดในโลกและมันเป็นทักษะที่ทุกคนควรจะมีติดตัวอยู่แล้ว
“เธอพอจะเข้าใจสิ่งที่เขียนที่นี่ไหม?” เสี่ยป้าถาม แม้จะเป็นคําพูดที่สุภาพและแลดูไม่บีบคั้นแต่เจตนาที่แท้จริงแล้วทั้งคู่จวินทั้งเสวี่ยป้าเองก็รู้ดีว่านี่คือเรื่องใหญ่
เพราะนี่เป็นหลักฐานชิ้นหนึ่ง และเป็นหนทางเดียวที่พวกเขาจะสามารถเก็บข้อมูลได้และออกไปจากที่นี่…
แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าในกระดาษนี้เขียนว่าอะไร แต่ถ้ามันออกมาจากกระเป๋าของหัวหน้าสาวกมันก็ต้องสําคัญ! บางทีมันอาจจะมีเบาะแสของทางออกจากที่นี่อยู่ก็เป็นไปได้…
ดังนั้นต่อให้พูดว่าอ่านไม่ออกหรืออ่านไม่ค่อยได้ กู้จวินก็จําเป็นต้องแกะอย่างเต็มที่ไม่อย่างนั้นชีวิตของคนทั้งหน่วยรวมถึงตัวคู่จวินเองก็ต้องตายดับสิ้นไปด้วยเหมือนกัน นี่จึงไม่ใช่คําขอร้องแต่เป็นคําสั่งและเป็นคําสั่งที่จริงจังมากด้วยแต่เขาก็นึกถึงอาการป่วยและอ่อนแอสะสมของปู่จวินได้ “แต่หยุดทันทีหากเธอรู้สึกไม่สบายมิฉะนั้นลุงต้านคงทําฉันหูหนวกไปอีก 5-6 วันแน่ๆ”
ในชีวิตการทํางานของเสวี่ยป้า เขาเป็นหัวหน้าที่ดีและได้รับคําชมจากเบื้องบนมาโดยตลอด เขาคือหัวหน้าที่ใจเย็นและสามารถรับมือกับทุกสถานการณ์ได้อย่างน่าเหลือเชื่อนี่คือพรสวรรค์ของเขาที่ทําเบื้องบนได้เล็งเห็นแต่ในขณะนี้เสวี่ยป้าผู้นําผู้มีพรสวรรค์ในการหาทางออกเริ่มจะจนมุมแล้ว…
มันไม่ใช่แค่คําว่าเริ่มจะจนมุม! แต่เขาจนมุมแล้วของจริงต่างหาก ในเวลานี้สมาชิกทุกคนล้วนอ่อนแอลงนั่นก็เพราะคาถาจากเหล่าสาวกที่ทําให้ร่างกายโดยรวมและพลังนั้นลดต่ําลงอย่างมากแม้กระทั่งสภาพจิตใจของบางคนแม้จะยังไม่ได้ตรวจค่า S แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าน่าจะต่ําลงอย่างมหาศาลและมันอาจจะส่งผลไปถึงสุขภาพจิตในระยะยาว
แต่ถ้าไม่พูดถึงเรื่องสุขภาพจิต สุขภาพกายเองก็สําคัญเช่นกันพวกเขาทั้งขาดน้ําและขาดอาหาร พละกําลังที่มีโดยรวมก็เริ่มจะลดหลั่งแถมบางคนก็บาดเจ็บสาหัสแม้กระทั่งความหวังเดียวอย่างจวินที่นั่งอยู่ตรงนี้ตัวเขาเองก็อ่อนแรงไม่แพ้กัน…
ที่สําคัญไม่ใช่ว่าจะเสวี่ยป้าจะไม่ห่วงความปลอดภัยของจวิน จริงๆ แล้วเขาห่วง ชายหนุ่มคนนี้เป็นที่สุดแต่ว่าถ้าเขาไม่ทําแบบนี้ทั้งชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าหรือทุกคนก็จะต้องอดตายอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดนี้อย่างแน่นอน… ถ้าไม่ทําอะไรพวกเขาก็จะตายกันหมดได้ผลหรือไม่ได้ผลเขาก็อยากจะลองดู
“วาว…ข้อความเหล่านั้นเป็นคาถาหรือเปล่า?” หลินม่อมองดูท่าทางของพวกเขาด้วยความสนใจดูเหมือนว่าเขาจะสนใจเรื่องคาถาเป็นอย่างมาก… ซึ่งผิดกับทุกคนที่อยู่ในทีมนักล่าอสูรพวกเขาส่วนใหญ่นั้นจะกลัวคาถ และหวาดกลัวคนที่ใช้คาถาด้วย
แต่ในกรณีของชายคนนี้เขาดูเหมือนจะไม่กลัวสิ่งที่เรียกว่าคาถา ในทางตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกสนใจคาถามากขึ้น… นั่นทําให้รู้จวินเริ่มนึกถึงความฝันของเหล่าเด็กผู้ชายในสมัยอดีตบางคนก็อยากเป็นพระเอกอยากมีพลังวิเศษและอยากมีความแข็งแกร่งมันเลยทําให้เด็กผู้ชายบางคนกลัวสิ่งที่ไม่ควรจะกลัวและไม่กลัวในสิ่งที่ ควรกลัวด้วยและหลินมอเองก็คงเป็นอย่างนั้น
คาดว่าในสมัยเด็ก เขาคงชอบเรื่องเวทมนตร์และเรื่องการ์ตูนอยู่พอสมควร
ในขณะที่หลินต่อกําลังถามคําถามและกําลังกวนกู้จวินอยู่คนอื่นๆก็เริ่มทําการเก็บตัวอย่างของซากศพและทําการเก็บกวาดกันอีกรอบเพื่อดูให้แน่ชัดว่าจะไม่มีอะไรตกค้างหลงเหลือ
และตอนนี้ลู่เสี่ยวหนิงเองก็กลับมาแล้วเธอไปช่วยคนพวกนั้นแค่ครู่เดียวจากนั้นเธอก็ถูกไล่ออกมาปัจจุบันเธอทําอะไรไม่ได้นอกจากยืนอยู่ข้างๆ ลุงต้าน แม้เธอจะไม่ใช่แพทย์แต่ตอนนี้เธอก็แทบไม่ต่างเธอนั่งมองดูพวกเขาผ่าตัดและนั่งฟังบทสนทนาของแพทย์ทั้งๆที่ตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรเลยมันเหมือนกับว่าเธอถูกจับมาอยู่ในดงของสัตว์ประหลาดพวกเขาพูดภาษาที่เธอเองก็ไม่เข้าใจ.. นั่นทําให้เธอเบื่อหน่ายอย่างที่สุด
“ไม่น่าจะใช่..” กัจวินอ่านหน้าแรกของกระดาษและสรุปได้ยังรวดเร็วมาก “ดูเหมือนว่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับต้นไทร”
กระดาษหนังนั้นมีความเก่าแก่มาก เก่าจนถึงขนาดไม่สามารถระบุถ้อยคําทั้งหมดที่สื่อมาในกระดาษแผ่นนั้นได้เพียงแต่ถ้าตั้งใจมองดีๆก็จะพบตัวอักษรที่แม้จะเลอะเลือนไปบ้างแต่แรงกดของมันก็ยังคงอยู่และถึงแม้ไม่แกะออกมาแต่ว่าอักษรที่ระบุในกระดาษหนังนั้นก็อ่านรู้เรื่องแม้มันจะพร่ามัวไปบ้างแต่ก็เป็นประโยคที่สมบูรณ์
และที่สําคัญกว่านั้นก็คือมันไม่ได้ถูกเขียนโดยฝีมือของมนุษย์ชาวโลกเช่นเดียวกับพวกเขาแต่มันเป็นฝีมือของคนต่างโลกต่างหาก… ของต่างโลกนั้นไม่ได้กลัวแต่ว่ามันน่ากลัวตรงที่ของทางโลกนั้นมาอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร
นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาคิดไม่ตก และมันก็เป็นปัญหาที่น่ากลัวและลี้ลับสําหรับพวกเขาด้วยก็เข้าใจอยู่!ว่าพวกเขานั้นเป็นหนึ่งในกองกําลังที่มาจากหน่วยสํารวจพลังงานที่ผิดปกติ… แต่แบบนี้ไม่ใช่ว่าผิดปกติเกินไปหรอกเหรอ
ดังนั้นคําถามจึงกลายเป็นว่ากระดาษพวกนี้ตกอยู่ในมือของพวกเขาได้อย่างไร ?
ปัจจุบันกู้จวินไม่ใช่คนโง่ไม่รู้ภาษาดั่งกาลก่อนอีก และในหัวสมองของเขาก็มีคําศัพท์ภาษาต่างโลกกว่า 1,500 คําแม้จะน้อยไปหน่อยแต่นั่นก็เพียงพอแล้วสําหรับเขาที่จะเข้าใจเนื้อหาของแผ่นหนัง ดังนั้นเขาจึงก้มลงอ่านและแปลเป็นภาษาอังกฤษทันที
เอกสารมีประโยคไม่ต่อเนื่อง พวกเขารู้สึกเหมือนมันเป็นแค่หนังสือท่องเที่ยว ดูเหมือนจะไม่มีความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างแต่ละประโยค แต่ทั้งหมดอ้างถึงสิ่งเดียวกัน กระแสความโกลาหลและความบ้าคลั่งที่ลึกล้ําลึกและข้อความนี้ก็สามารถอ่านได้ระหว่างบรรทัดนั่นแสดงว่าผู้เขียนต้องอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างดีเมื่อเขียนสิ่งนี้ลงไป
“ในเมืองนี้มีแต่ต้นไทรและหินแบบนี้ แล้วฉันจะหวังอะไรได้?”ริเกอร์…เมืองนี้ขึ้นชื่อในเรื่องต้นไม้และดอกไม้โดยเฉพาะต้นไม้ที่อยู่ใจกลางเมือง คําว่า “ต้นไทร เป็นการแปลแบบตามใจตามอารมณ์
กู้จวินเชื่อว่าที่จริงแล้วคําว่าต้นไทรพวกเขาอ้างอาจจะเป็นต้นไม้ยักษ์ที่มีกิ่งก้านบิดเป็นเกลียวอยู่รอบๆศาลเจ้าแต่สําหรับมนุษย์แล้ว”ต้นไทรน่าจะเป็นคําแปลที่ใกล้เคียงที่สุด
หลังจากได้ยินประโยคแรก หลินต่อก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม “หมู่บ้านคู่หรงมีปัญหาเกี่ยวกับพื้นที่ที่ผิดปกติ อีกทั้งยังล้อมรอบด้วยกําแพงสูง? ต้นไทรที่อยู่ใจกลางเมืองเป็นล่าต้นของต้นไทรที่ตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ? แล้วมันเหมือนในกระดาษนั่นหรือเปล่า?แล้วมันต้นเดียวกันไหม?”
“ผมก็ไม่รู้ แต่ผมกลัวอย่างนั้นเหมือนกัน” กู้จวินพยักหน้าแล้วพลางครุ่นคิด
เมื่อเห็นสถานวุ่นวายจนเสวี่ยป้าเริ่มกังวล จากนั้นไปบอกหลินม่อ “หลินต่ออย่าขัดจังหวะสินายควรรอจนกว่าอาจขึ้นจะแปลเสร็จสิ้น”
โลกด้านนอกเป็นยังไงไม่รู้แต่จวินก็ยังคงท่องต่อไป
“เส้นทางหินปกคลุมไปด้วยเลือด นี่ขนาดรอให้มีเลือดออกเป็นเวลาสี่วันแล้ว แต่ว่าวันนี้ก็ยังคงมีเลือดออก
“ต้นไม้หลั่งเลือด? ต้นไม้มีเลือดอยู่ในตัวด้วยเหรอ? ต้นไม้ ต้นไหนกันล่ะ?”