ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 155
ตอนที่ 155แสงสว่างจากหลังแท่นหิน
พวกเขาผลักแท่นหินอย่างสุดกําลังจนใบหน้าของพวกเขาแดงดุจกันลิง กระทั่งลมปราณในร่างกายก็แทบระเบิดออกมาทางกัน ทว่าถึงจะพยายามขาดใจอย่างไร แต่ผลของความพยายามนั้นก็ปรากฏขึ้นเล็กน้อย…
เล็กน้อยจริงๆ
“แฮกๆ…” พวกเขาหอบทันที การใช้พลังทั้งหมดทําให้แม้กระทั่งจังหวะการหายใจของเขานั้นถึงคราวสะดุด
และผลลัพธ์ที่ได้ก็มีเพียงเล็กน้อย…นั่นก็คือ แสงสว่างอันเล็กน้อย
“แสงสว่าง…ฮ่า ฮ่า แสงสว่างจริงๆด้วย” ชายคนหนึ่งที่ลงมือผลักก็หัวเราะร่าและพยายามผลักต่อไปด้วยจิตใจอันมุ่งมั่น
จากนั้นด้วยแรงผลักอย่างเต็มที่ของบรรดาชายหนุ่ม…ด้านซ้ายของแท่นหินก็ขยับเล็กน้อย แสงบางส่วนจากภายนอกซึมผ่านช่องว่างเข้ามาให้ทุกคนที่รอบๆได้เห็นแสงแห่งความหวังอย่างใกล้ชิดอย่างไรก็ตามพวกเขาต้องปล่อยมือหลังจากเปิดไว้ประมาณยี่สิบวินาทีเพราะความเหนื่อยล้านั่นทําให้แท่นหินกระแทกกลับเข้าที่เดิมทันทีพร้อมเสียงดังน่าขนลุกที่สะท้านเข้าไปในจิตใจของทุกคนและรอยแตกรอบ ๆ ก็ขยายใหญ่ขึ้น
บรรดาคนที่ไปผลักแท่นหินพากันถอนหายใจหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน…เสียงถอนหายใจของพวกเขานั้นกลบเสียงถล่มของบันไดที่อยู่ด้านล่างจนหมดสิ้น!
แม้จะยังไม่สําเร็จ แต่ก็กล่าวได้ว่าพวกเขาก็ได้พยายามแล้วและผลลัพธ์ที่ได้มันก็ไม่เลวเลยอย่างน้อยพวกเขาก็รู้ว่ามีแสงสว่างอยู่หลังแท่นหินนั้น… แม้จะเห็นไม่ชัดเจนและเห็นเพียงแ
สงสว่างแห่งชีวิตที่จะนําพาพวกเขาให้พ้นหายนะจากการถล่มของบันไดที่อยู่ด้านล่าง
เมื่อมองเห็นความหวังที่จะรอดชีวิตพวกเขาก็พยายามลืมความเป็นไปได้ของภัยร้ายที่อยู่หลังแท่นหินไปจนหมดเพราะยังไงก็ตามการถล่มของบันไดหินที่อยู่ข้างล่างนั้นเป็นปัญหาที่เร่งด่วนมากกว่า
และเมื่อใช้กําลังของผู้ชายแค่ 2-3 คนมันไม่พอดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าควรจะใช้กําลังของคนทั้งหมดในการผลัก
เสวี่ยป้าผู้เป็นหัวหน้าเมื่อเห็นความหวังเขาก็ไม่รีรอทันที่ที่จะพูดให้กําลังใจ“ทุกคน! ฉันแน่ใจว่านี่คือทางออกแน่นอน!”
ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเปิดแท่นหินออกได้… และไม่เห็นอะไรจากด้านหลังของแท่นหินเลย มีเพียงแสงสว่างรําไรเท่านั้นที่เล็ดรอดออกมา แต่ว่าทั้งหมดที่ปรากฏออกมามันก็ได้ให้ความหวังแก่บรรดาสมาชิกกลุ่มทั้งหลายแล้ว อะไรมันจะดีไปเสียกว่าการที่กําลังจะต้องตายแต่มีคนโยนเชือกที่ใกล้จะขาดมาให้…. แต่ถึงแม้จะเป็นเชือกที่ใกล้ขาดแต่มันก็อาจจะแข็งแรงพอที่จะทําให้พวกเขารอดชีวิตดังนั้นมันก็คือความหวังที่ไม่ควรละทิ้งแม้จะมีโอกาสเป็นไปได้น้อยก็ตาม
อีกอย่างหนึ่งที่จะเสวี่ยป้าพูดขึ้นมาในครั้งนี้เขาไม่ได้หมายถึงให้ทุกคนเชื่อว่าที่แท่นหินนั้นมีทางออกอยู่แต่เขาให้ต้องการให้ทุกคนรวมพลังกันเพื่อเปิดทางออกต่างหาก… เพราะการมอบหมายให้คนเพียงเล็กน้อยไปจัดการผลักมันเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานอย่างแท้จริง
ประการแรกการใช้คนแค่ไม่กี่คนนั้นมันไม่สามารถเปิดประตูออกได้… หรือถึงแม้จะเปิดได้แต่มันก็เปิดค้างได้ไม่ถึง 20 วินาที และด้วยเวลาเพียงแค่นี้มันแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
หรือต่อให้ใช้คนครึ่งหนึ่งของที่มีอยู่แต่มันก็ยังเดือดร้อนอยู่ดีเพราะกําลังคนของพวกเขานั้นจํากัดด้วยการขาดน้ําและขาดอาหารติดต่อกัน หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป กําลังของพวกเขาก็จะลดลงเรื่อยๆและความอ่อนเพลียก็จะเข้าครอบงํา….และก่อนที่พลังของพวกเขาจะหมดลง…ดังนั้นพวกเขาต้องรวมพลังกันผลักแท่นหินออกไปให้สําเร็จภายในครั้งเดียวเสียก่อน
แต่เมื่อมองสภาพของเหล่าลูกทีม เสี่ยป้าก็ไม่อาจจะใจร้ายขนาดนั้นได้เพราะตอนนี้มันก็ยังไม่เหมาะสมยังมีคนของเขาอีก 2-3 คนที่ยังไม่หายเหนื่อยและบางคนก็บาดเจ็บ ดังนั้นเพื่อแผนการนี้เขาจึงสั่งให้ทุกคนนั่งพักผ่อนก่อนจากนั้นก็เรียกคู่จวินเข้ามา
“อาจขึ้น เธอเห็นว่ายังไง แสงสว่างนั่น เธอคิดว่าเราควรเปิดมันไหม?” เสี่ยป้าเอ่ยถาม ประการแรกกู้จวินนั้นไม่เหมือนคนอื่น เขามักมีสัญชาติญาณที่ถูกต้องเสมอ และถ้าเป็นเขา…
“ผมไม่มีมีความเห็นครับ แต่การผลักแท่นหินออกแล้วไปหาแสงสว่างน่าจะเป็นตัวเลือกเดียวของพวกเรา” กู้จวินพูดขึ้นด้วยความกังวลเพราะเขาเองก็ไม่เกิดนิมิตอะไรเลยแต่ถึงจะไม่เกิดนิมิตอะไรการนั่งรอให้บันไดถล่มแล้วตกไปตายมันก็ไม่ใช่เรื่องใช่ไหม? ก็เห็นอยู่แล้วว่าหนทางนั้นมีอยู่แค่ทางเดียว!
เสวี่ยป้าได้ยินเขาก็มั่นใจว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีก และก็พักผ่อนมาพักหนึ่งแล้ว เขาสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเรียกให้สมาชิกทุกคนทํางาน เขาพูดอย่างจริงจัง
“ครั้งก่อนที่เราผลักแท่นหินแล้วปรากฏรอยแยก เห็นได้ชัดว่ามีแสงสว่างอยู่เบื้องหลังแท่นหินนี้! ถ้าเราใช้กําลังที่เพียงพอ…เราก็จะสามารถผลักแท่นหินให้เปิดออกได้ เราจะร่วมกันผลักมันออกในครั้งเดียวโดยใช้พลังที่ทุกคนมี เราจะต้องประสบความสําเร็จในครั้งเดียว! เข้าใจไหม???” เสี่ยป้ากล่าวคําสั่งด้วยน้ําเสียงที่ห้าวหาญเห็นได้ชัดว่านี่คือเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นตายไม่มีช่องว่างให้ปฏิเสธแม้เพียงนิด
แน่นอนว่าทุกคนที่เหลือไม่มีใครคัดค้าน พวกเขาทั้งหมดลุกขึ้นยืนจากนั้นก็มาล้อมรอบและจับแท่นหินเอาไว้ให้แน่นที่สุดตามแต่ละคนจะถนัดเพื่อรวบรวมกําลังสูงสุด แม้แต่หลินม่อที่ขาขาดก็เข้ามาช่วยด้วยเช่นกัน ท้ายที่สุดเขายังคงมีแรงอยู่อย่างน้อยเขาก็เป็นนักแม่นปืนแม้จะบาดเจ็บแต่แรงของเขาน่าจะมีมากกว่าลุงต้านและกู้จวินที่ตัวผอมบางแน่นอน
และนี่นี่เป็นโอกาสเดียวที่พวกเขามี…และหลินมอเองก็ต้องการจะช่วยอีกอย่างเขาไม่ได้อยากถ่วงทีมอยู่แบบนี้และนี่คือวิธีที่คนเจ็บอย่างเขาสามารถให้ความช่วยเหลือทีมได้
แน่นอนว่าสถานการณ์ฉุกเฉิน ยิ่งคนเยอะยิ่งดี…เพราะโอกาสที่จะผลักเปิดแท่นกินสู่แสงสว่างได้ก็ยิ่งจะมีเยอะขึ้น…เวลานี้ทุกคนล้วนเบียดกันเข้าที่และจับแท่นหินอย่างแม่นมั่นเพื่อรอสัญญาณให้ผลักมันพร้อมกัน
ในขณะนั้นเอง…ความคิดที่น่ากลัวก็ผุดขึ้นในใจของคู่จวิน…การ่วมมือกันการร่วมมือ…มือหลายมือทันใดนั้นรอยมือที่ต้นไทรในหมู่บ้านคู่หรงก็ปรากฎขึ้นในความคิดของคู่จวินอย่างเงียบงันเขาจําได้ว่ามันมีรอยมือของคนสิบหกคน
รอยมือพวกนั้นมีรูปร่างแปลกๆ อาจจะเป็นเพราะกาลเวลาที่ผ่านมานาน และมีร่องรอยของการต่อสู้ที่ไม่รู้ว่าเกิดจากฝีมือมนุษย์หรือว่าสิ่งอื่น…อย่างไรก็ดีรอยมือที่อยู่ในต้นไทรนั้นคงจะพังทลายไปพร้อมกับการถล่มแล้วแต่ถึงจะยังไม่ถล่มแต่ลายนิ้วมือของรอยนิ้วมือนั้นมันก็เริ่มเจือจางและมีรูปร่างผิดจากรอยนิ้วมือของมนุษย์ธรรมดาอย่างสิ้นเชิง
แต่มันจะเกี่ยวข้องกันหรือไม่จวินก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขาอีกต่อไปแล้ว…เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกและคนอื่นอาจจะสงสัยเขามากขึ้น
ภายใต้สถานการณ์ที่แสนจะละเอียดอ่อน ในจังหวะที่ทุกคนกําลังจะตายเพราะบันไดถล่มในอีกไม่นาน
“แต่เขากลับพูดว่า…อย่าผลักแท่นหินเลย เพราะฉันสงสัยอะไรบางอย่าง” คู่จวินรู้จุดจบได้เลยว่าถ้าเขาพูด แบบนี้ออกไป จะเกิดอะไรขึ้น”
เมื่อทุกอย่างได้ถูกตัดสินไปแล้ว เขาหรือใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นเมื่อตัดสินใจไปแล้วเขาก็พร้อมที่จะลงเอยกับการเลือกของทุกคนแต่ถึงเขาจะไม่ได้พูดอะไรแต่คนอื่นๆที่อยู่รอบข้างจวินก็สังเกตได้จากใบหน้าของเขาหลายๆคน อย่างเช่น ลุงต้านหลินม่อเมื่อเห็นใบหน้าของคู่จวินที่กําลังเคร่งเครียดพวกเขาก็เริ่มขมวดคิ้วด้วยความกังวล
“หยุดเถอะ! พอแล้ว!” เสี่ยป้าที่รับรู้ได้ถึงความคิดของสมาชิกทั้งหมดในทีม เขาก็เอ่ยปากห้ามทันที… เขารู้อย่างชัดเจนว่าสมาชิกในทีมกําลังสงสัยกู้จวินที่นั่งอยู่ตรงนี้
แน่นอนว่าความแปลกประหลาดของคู่จวินนั้นทําให้พวกเขาสงสัยและคิดว่ากูจวินอาจจะเป็นหนึ่งในบรรดาคนที่คิดจะทําร้ายพวกเขาและอีกอย่างหนึ่งการนําพาพวกเขาเข้ามาสู่อุโมงค์ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะกู้จวิน…
แต่ในการทํางานเป็นทีมนั้น สิ่งสําคัญก็คือเชื่อใจเพื่อนร่วมทีม และเสวี่ยป้าจะไม่ยอมให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นเขาจึงเอ่ยปากเตือนสติของสมาชิกทีมทุกคน
“หยุดความคิดนั้นซะ! นั่นเป็นเพียงกลลวงของศัตรู เป็นเพราะเราไม่ได้ตายที่นั่นที่ศัตรูใช้สิ่งนี้เพื่อสร้างความสับสนให้กับพวกเรา พวกเขาต้องการให้เราติดอยู่ที่นี่และตายในซากปรักหักพังนั้นฉันรู้ว่าพวกเธอกําลังคิดอะไรอยู่! แต่ตอนนี้สิ่งที่ต้องทําก็คือหน้าที่และหน้าที่ที่พวกคุณต้องทําก็คือการผลักแท่นหินนี้และเปิดทางไปสู่แสงสว่าง จงตั้งใจและยึดมั่นกับหน้าที่ที่ตัวเองทําอย่าให้ความคิดนั้นมาหยุดยั้งการกระทําของพวกเธอ!” เสี่ยป้าจะไม่ยอมให้จิตใจของสมาชิกทีมทุกคนถูกความเครียดและความกังวลรวมถึงความหวาดกลัวครอบงําจนทําให้มีความคิดที่ไข้วเขวและหลงทาง… ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นมันจะทําให้ร่างกายและจิตใจของพวกเขาอ่อนแรงอย่างมากและถ้าพวกเขาอ่อนแอภารกิจที่ได้รับมอบหมายจะไม่มีวันสําเร็จได้อย่างแน่นอนดังนั้นต่อให้ความ จริงเป็นยังไงหน้าที่ ณ วินาทีนี้ก็จะต้องผ่านและสําเร็จเสร็จสิ้นให้ได้
“สาม สอง หนึ่ง!” เสี่ยป้าตะโกนในขณะที่ร่างกายของเขาระเบิดด้วยพลัง จากนั้นเขาก็ให้สัญญาณครั้งสุด ท้าย“ผลัก!”
สมาชิกทั้งสิบหกเมื่อได้ยินสัญญาณก็ใช้พลังทั้งหมดเพื่อผลักดันแท่นหินอย่างสุดความสามารถและใส่แรงด้วยพละกําลังทั้งหมดที่มี จากนั้นพวกเขากัดฟันคํารามในขณะที่มือของพวกเขาดันไปที่แท่นหิน!
แข็ง!”
ความแข็งและหนักของแท่นหินนี้ทําให้ใบหน้าของพวกเขาบิดเบี้ยวจากความพยายามที่จะผลักมันตาของ พวกเขาโปดปูดจนเส้นเลือดขึ้น แม้กระทั่งผ้าพันแผลรอบดวงตาขวาที่ยังฟื้นตัวของลู่เสี่ยวหนิงยังมีเลือดที่ไหลออกมาเพราะเกร็งกล้ามเนื้อมากไปแสงสีเทาจากภายนอกอาบลงมาอีกครั้งจากนั้นมือที่จับแท่นหินขึ้นก็สั่ นบ้างเล็กน้อย
กู้จวินเองก็ใช้แรงทั้งหมดผลักดันสุดกําลังของเขาเช่นกัน แต่จู่ๆ ภาพนิมิตที่รออยู่ก่อนหน้านี้ก็เข้ามาครอบงูเขาแบบไม่ให้ลุ้มให้เสียง
เขาเห็นภาพเงามืดที่อยู่ในความเงียบ หากแต่ลึกเข้าไปเขาเห็นพวกเขากําลังเต้นและร้องรําอย่างบ้าคลั่งต่อหน้าของเขา