พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 17 รอยสักร้อนเพราะเจ้า
สิบเจ็ด
รอยสักร้อนเพราะเจ้า
ซ่งฉือสะบัดมือไปมา ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ความหมายของจี้หลิงอู้คือไม่อยากให้เขาแก้แค้นอย่างนั้นหรือ
“คุณชายจี้ ตอนนี้ซ่งฝูอี้ผู้นี้ตัวคนเดียว มีแต่ตัว ข้าไม่อยากลากแม่นางเหล่านี้มาเดือดร้อนไปด้วย”
จี้หลิงอู้ขมวดคิ้ว เอนหลังพิงพนักด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้า “ซ่งฝูอี้ ถ้าเจ้าไม่สนสตรีเหล่านี้สามารถบอกข้าได้ หรือแม้แต่ชายหนุ่มรูปงาม เพียงแค่เจ้าชอบ ข้าก็สามารถช่วยเจรจาให้เจ้าได้ ตราบใดที่ไม่ใช่อวิ๋น…”
“ฮ่าๆ คุณชายจี้ ท่านคงไม่คิดว่าข้าเป็นพวกตัดแขนเสื้อหรอกนะ” ซ่งฉือหัวเราะ “ข้ากับจี้ชิงแม้ไม่สนิทสนมกันก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ ยิ่งถ้าสนิทกันก็คงหยุดอยู่ที่พี่น้อง”
จี้หลิงอู้กัดฟันด้วยความโกรธแล้วตบโต๊ะเบาๆ “เจ้าบอกว่าเป็นพี่น้องกันรึ แล้วเหตุใดข้ารู้สึกว่าเขาปฏิบัติต่อเจ้าไม่เหมือนกับคนอื่นๆ”
“ไม่เหมือนอย่างไร เขาไม่เคยมีไมตรีต่อผู้คนมากมายมาก่อน” ซ่งฉือหยิบพัดหยกพิสุทธิ์ออกมาแล้วลูบลายบนพัดไปมา “เขาไม่เคยออกมาสู่โลกภายนอกก เขาก็ไม่เคยเห็นความเป็นไปของมนุษย์ ตอนนี้ออกมาสู่โลกภายนอกแล้วคบเพื่อน มีท่านนี่แหละที่คิดอะไรแปลกๆ อย่างนี้”
นี่…จี้หลิงอู้ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
อวิ๋นฉงขึ้นเขาไปฝึกตนตั้งแต่เด็ก รอบกายนอกจากเซียนอู่หลิงและผู้เฒ่าผมหงอกแล้วก็ไม่เคยคบหากับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเลย เมื่อออกสู่โลกภายนอกโดยบังเอิญย่อมจะต้องรู้สึกถูกชะตากับคนที่หน้าตาไม่เลวเป็นเรื่องธรรมดา
หรือบางทีตนอาจจะกังวลมากไปเองหรือไม่
จี้หลิงอู้ถอนหายใจรับสมุดรายชื่อสาวสวยเหล่านั้นไว้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น เม้มริมฝีปากด้วยความอึดอัดใจ “ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ เจ้าลองบอกทิศทางอนาคตของเจ้าให้ข้าฟังหน่อยซิ”
“อันดับแรก ข้าจะไปหาอาจิ่ง จากนั้นก็ค่อยมาคิดหาคำตอบว่าเหตุใดข้าถึงไม่มีหยวนตัน” ซ่งฉือเก็บกระบี่ลงฝัก “ท่านแม่มอบกระบี่เล่มนี้ให้ข้าตามเวลาที่ถูกกำหนดไว้ รับรองว่าต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน”
“กระบี่เล่มนี้…” จี้หลิงอู้หยิบขึ้นมา ทันใดนั้นก็นึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นของฮูหยินหมิงหานกับฮูหยินจงหลี ก่อนจะถอนหายใจ เขารู้สึกว่าโลกนี้ช่างเล่นตลกกับชีวิตเสียเหลือเกิน วนไปเวียนมา เจ้าเด็กน้อยสองคนก็ยังมาพบกันได้
“คล้ายกับกระบี่หลิงหานหรือไม่”
ขณะที่จี้หลิงอู้ลูบลวดลายที่อยู่ด้านบนก็รู้สึกแปลกๆ
“ด้านบนเต็มไปด้วยหลิงชี่” จี้หลิงอู้เงยหน้ามองซ่งฉือ “เป็นไปได้หรือไม่ว่าฮูหยินจงหลีนำหลิงชี่ของตนเองมาผนึกลงไปในกระบี่”
“หลิงชี่กับหยวนตันคืออะไร”
“หยวนตันเป็นรากเหง้าของทุกสรรพสิ่ง ฟ้าดินเริ่มต้นจากปราณ สรรพสิ่งก่อเกิดหลิงซึ่งก็คือวิญญาณ ทั้งสองผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวเพื่อบ่มเพาะเซียน” จี้หลิงอู้นำกระบี่ซุ่ยหานวางไว้บนแท่นวาง หลับตาแล้วท่องคาถาพึมพำ
ทันใดนั้นซ่งฉือรู้สึกว่าภายในใจเกิดอาการหนาวสั่นลงไปจนถึงลำคออย่างฉับพลัน หนาวสั่นจนไม่รู้ว่าต้องหายใจอย่างไรไปชั่วขณะ
“เร็ว รีบหยุดเดี๋ยวนี้” ซ่งฉือกุมคอ ล้มลงด้วยสีหน้าทุรนทุราย
จี้หลิงอู้รีบชักมือกลับมา แต่กลับถูกกระบี่กรีดจนบาดเจ็บ
“รีบนอนลง” เขาจับซ่งฉือให้นอนราบ แตะจุดฝังเข็มแล้วใช้หลิงชี่กดลงไประหว่างเส้นลมปราณทั้งสอง
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“ดีขึ้นมากแล้วละ” ซ่งฉือหน้าตาซีดเผือด หว่างคิ้วเย็นยะเยือก
“รอให้อวิ๋นฉงนำตันเย่า9ของท่านเซียนกลับมาก่อน เจ้าก็จะดีขึ้นกว่านี้”
“เขา…เขาไปที่เขาอู่หลิงซานก็เพื่อเอา…ตันเย่ารึ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นทั้งหมด” พอเห็นซ่งฉือดีขึ้น จี้หลิงอู้จึงยืนขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “ใจของเขายังไม่อยากบรรลุเป็นเซียนในตอนนี้ ใช้เชือกสะกดวิญญาณทำเรื่องส่วนตัวนับเป็นการเหยียดหยามประตูเซียน ท่านตันชิวโกรธมาก เซียนอู่หลิงก็ปกป้องเขาไม่ได้ ในตอนนี้พอนึกๆ ไปแล้วข้าก็โกรธเช่นกัน ใช้เชือกสะกดวิญญาณล่ามมนุษย์ธรรมดา แม้จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรแต่ก็เหมือนกับขี่ช้างจับตักแตน น่าขายหน้าจริงๆ”
ซ่งฉือนึกถึงเชือกเส้นนั้นที่ใช้ล่ามเหลียนอี้ไหว เขายังถามอีกฝ่ายอยู่เลยว่าเอามาจากไหน แต่จี้ชิงก็ไม่ตอบเพราะเกรงว่าเขาจะไม่กล้าใช้
แต่ลึกๆ แล้วเขาใช้มันเพราะไม่อยากให้เหลียนอี้ไหวทำร้ายเขา
“เชือกสะกดวิญญาณเส้นนั้น เดิมทีจี้ชิงจะเอาไว้มัดเหลียนอี้ไหว เพื่อป้องกันมิให้มนุษย์ธรรมดาอย่างข้าได้รับอันตราย ถ้าท่านเซียนรู้เข้าจี้ชิงจะได้รับการลดโทษหรือไม่”
จี้หลิงอู้ตะลึง แล้วถอนหายใจอีกครั้ง “เรื่องราวต่างๆ บนโลกมนุษย์ไม่มีเหตุผลอะไรมากมายนักหรอก ผิดก็คือผิด ว่าไปแล้วลูกศิษย์ของท่านเซียนไม่มีใครเรียกร้องอะไรได้ ท่านเซียนอยากจะลงโทษอย่างไรก็จะลงโทษอย่างนั้น”
ซ่งฉือลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปด้านนอก “ข้าจะไปหาเขา”
“หยุดนะ”
จี้หลิงอู้กัดฟัน ตบท้ายทอยของตัวเองแล้วกล่าวด้วยความรำคาญ “ข้าขอร้องเจ้าละ เขาทำผิดเพื่อเจ้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าเจ้าไปอีกมันก็จะเป็นครั้งที่สอง แล้วต่อไปก็จะมีครั้งที่สามครั้งที่สี่”
ซ่งฉือลดสายตาลงแล้วพูดเสียงเบา “เช่นนั้นข้าจะไปรอเขาที่ปากทาง”
จี้หลิงอู้นั่งลงไปบนตั่งด้วยความอิดโรย โบกมือไปมาด้วยความเอือมระอา “แล้วแต่เจ้า อยากไปก็ไปเถอะ จะหนึ่งคนหรือสองคนข้าก็ควบคุมไม่ได้ทั้งนั้น”
ซ่งฉือพยักหน้าแล้วคารวะแสดงความขอบคุณ ก่อนจะเดินไปที่ปากทางอย่างรวดเร็ว
จี้หลิงอู้ยังคงมึนตึ้บ นึกถึงเรื่องราวต่างๆ ในอนาคตแล้วในใจรู้สึกหนาวสั่น
เมื่อแสงแดดสาดส่องเข้ามายังหอหลิงจิงอันเย็นยะเยือก จี้หลิงอู้ก็นึกถึงสภาพตอนที่จี้ชิงลงมาจากเขา
เยือกเย็น…
เป็นความรู้สึกแรกที่เขารู้สึก แม้น้องคนนี้เขาจะไม่ค่อยได้ดูแลมากนัก แต่ก็เคยเจอกันอยู่หลายครั้งเหมือนกัน ฝ่ายนั้นปฏิบัติต่อเขาอย่างเคารพ ทว่าห่างเหิน
การปฏิบัติที่จี้ชิงมีต่อซ่งฝูอี้ยังใกล้ชิดมากกว่ากับเขาเสียอีก
ความจริงที่ซ่งฝูอี้พูดก็ถูก ตอนที่จี้ชิงออกไปเผชิญโลกมนุษย์ครั้งแรก การได้เจอเพื่อนสักคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วเขาจะประสบความสำเร็จได้อย่างไรหากไม่รู้จักแม้แต่น้ำใจของมนุษย์
จี้หลิงอู้ที่มีคารมเป็นเลิศถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ประมุขซ่ง คุณชายกู้ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่”
ในตอนที่จี้ชิงกลับออกมา เขาเห็นซ่งฉือนอนอยู่ที่พื้นหญ้าเป็นสิ่งแรก ฝ่ายนั้นคาบหญ้าหางหมาไว้ที่มุมปาก กระบี่ซุ่ยหานหนุนไว้หลังท้ายทอยและเหล่ตามองแสงแดดลอดนิ้วมือ
จี้ชิงกระตุกยิ้มพลางวางกระบี่หลิงหานลงไปข้างๆ กายของอีกฝ่ายแล้วเอนหลังลงไป
“เจ้าถูกลงโทษรึ”
จี้ชิงหรี่ตามองดวงอาทิตย์ น้ำเสียงเจือไปด้วยความสุข “ไม่”
ซ่งฉือคายหญ้าหางหมาที่คาบไว้ทิ้ง แล้วพลิกกายนอนหนุนแขน มองจี้ชิง “เจ้าจะไม่พูดรึ”
จี้ชิงหันกลับไปสบตา “ข้าจะโกหกเจ้าเพราะเหตุใด”
“ท่านอาจารย์จะยอมยกโทษให้เจ้ารึ ถึงแม้ท่านอาจารย์จะยกโทษให้เจ้า แล้วท่านตันชิวเล่า”
“เจ้าก็รู้แล้ว” น้ำเสียงของจี้ชิงราบเรียบเหมือนปกติคล้ายกับกำลังพูดเรื่องของคนอื่น
“จะไม่รู้ได้อย่างไรเล่า” ซ่งฉือนอนลงอีกครั้ง “ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่สนใจเรื่องไร้สาระพวกนี้ การบรรลุขั้นเซียนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
“น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่ข้า” จี้ชิงพูดเสียงทุ้ม “ข้าเลือกแบบนี้ไม่ใช่เพื่อเจ้า และก็ไม่ใช่เพื่อใครทั้งนั้น แต่เพื่อตัวข้าเอง”
พูดจบก็ยิ้มและยักคิ้ว ดูอบอุ่นเหมือนเป็นคนละคนกับที่ผ่านมา ความเย็นชาไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว
“ท่านเซียนไม่ลงโทษข้าเพราะข้าช่วยเจ้า ท่านตันชิวไม่ลงโทษข้าเพราะเขารู้สึกถึงความเป็นมนุษย์ ท่านตันชิวกล่าวว่าเรื่องราวบนโลกมนุษย์จบสิ้นลงแล้ว การฝึกวิชาเซียนย่อมเจออุปสรรคมากมาย เพราะฉะนั้นควรที่จะต้องฝึกฝนด้วยตัวเองเพื่อความสุขในอนาคต”
“ดีจริง”
จี้ชิงกะพริบตา มองท้องฟ้าสวยสดงดงามดั่งภาพวาด “อะไรดี”
“ได้อาจารย์ดีอีกทั้งยังได้มิตรแท้” ซ่งฉือยิ้มจนตาและคิ้วเป็นรูปโค้ง “อาจารย์ดีก็คือท่านตันชิวเซียนแห่งอู่หลิง ส่วนเพื่อนแท้ก็คือ…”
“เจ้า”
จู่ๆ เขาก็พูดออกมา รอยสักรูปห่านตรงหว่างคิ้วแดงเรื่อขึ้นมาทันที ซ่งฉือตกใจลูบไปบนรอยสักนั้นอย่างไม่ตั้งใจ
มันร้อนผ่าว…
“เพื่อนแท้คงไม่บังอาจ แต่ถ้าได้เป็นพี่ชายเจ้าก็ยินดีนะ”
จี้ชิงจับมือของอีกฝ่าย ดวงตาคู่นั้นจ้องมองซ่งฉืออย่างแผดเผา หัวใจของซ่งฉือเต้นระรัวเหมือนจังหวะกลอง ก่อนจะหัวเราะ
“เจ้ามองอะไร”
จี้ชิงไม่ตอบ ยังคงลูบรอยสักตรงหว่างคิ้วที่ราวกับจะร้อนผ่าวขึ้นมาอีกแล้ว ท่านอาจารย์บอกว่ารอยสักระหว่างคิ้วถูกสักไว้โดยฆราวาส อารมณ์คือตัณหา เมื่อไร้อารมณ์มันก็จะหายไปเอง
เมื่อรู้ว่าอารมณ์แปรปรวนในปัจจุบันทำให้สิ่งนี้ปรากฏออกมา ใจก็ยิ่งเต้นระรัวมากขึ้นไปอีก