พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 18 บรรยากาศเก่าๆ ที่หอไห่ถังเหลือเพียงอดีตเท่านั้น
- Home
- All Mangas
- พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส
- ตอนที่ 18 บรรยากาศเก่าๆ ที่หอไห่ถังเหลือเพียงอดีตเท่านั้น
สิบแปด
บรรยากาศเก่าๆ ที่หอไห่ถังเหลือเพียงอดีตเท่านั้น
กลางดึก หอหลิงจิงสว่างไสวด้วยแสงไฟจากตะเกียง ส่วนจี้หลิงอู้ก็นั่งอยู่ที่โต๊ะโดยลำพัง อาหารเลิศรสกับเหล้าบนโต๊ะไม่ได้ถูกแตะแม้แต่คำเดียว
เมื่อประตูศาลาเปิดออก จี้ชิงที่สวมเสื้อผ้าสีเข้มก็เดินเข้ามาท่ามกลางแสงจันทร์
“กลับมาแล้วรึ” จี้หลิงอู้เอื้อมมือไปรินสุราใส่จอก
“อือ” จี้ชิงวางกระบี่หลิงหานไว้ข้างๆ ก่อนนั่งลงแล้วรินสุราใส่จอกให้ตัวเอง
“เล่าเรื่องหมดแล้วรึ” จี้หลิงอู้ใช้มือค้ำใบหน้าด้านหนึ่งไว้ แล้วพินิจพิเคราะห์สีหน้าอีกฝ่ายใต้แสงจันทร์และแสงเทียน
ช่างดูสงบ เยือกเย็น ท่าทางดูราวกับผู้ละเรื่องทางโลกไปอย่างสิ้นเชิง
“เรียบร้อยแล้ว”
“อวิ๋นฉง ข้าเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ สิ่งที่ประมุขซ่งกับท่านพี่กู้สั่งเสียไว้ก่อนตาย ข้าต้องทำให้สำเร็จ เรื่องราวของคนรุ่นก่อน ตอนนี้ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะมาโทษข้าทีหลังเอาได้”
จี้ชิงเบิกตาโพลง มีความสงสัยสามส่วนและความตื่นเต้นอีกเจ็ดส่วน
จี้หลิงอู้ไม่เคยเล่าเรื่องราวอย่างจริงจังแบบนี้มาก่อน ถ้าไม่พูดถึงก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพูดขึ้นมาละก็เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ก็เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาทั้งนั้น
“ฮูหยินจงหลีคือป้าสามแห่งเซียนไห่ ลงมาจุติในโลกมนุษย์แล้วมีบุตรชื่อว่าซ่งฉือ เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องที่ท่านตันชิวเป็นคนบอกข้าเอง ส่วนฮูหยินหมิงหานเป็นเพื่อนสนิทของนายหญิงสาม ทั้งสองตั้งครรภ์พร้อมกันและตั้งใจดองเป็นครอบครัวเดียวกัน หนึ่งชิงหนึ่งฉือ บุตรสาวนามว่าชิง บุตรชายนามว่าฉือ…
“ฮูหยินจงหลีตกเลือดหลังคลอดจนเสียชีวิต ส่วนฮูหยินหมิงหานนั้นอยากมีลูกสาวมาโดยตลอด แต่ในที่สุดก็คลอดออกมาเป็นเจ้านั่นเอง จะทำอย่างไรได้เล่า สัญญาดองเป็นครอบครัวเดียวกันก็ต้องล้มเลิกไป ฮูหยินหมิงหานยังรำลึกถึงความหลังอยู่ จึงคิดที่จะเป็นพี่น้องกับตระกูลอื่น แต่ก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจอีก”
จี้ชิงจ้องตาเขม็ง แต่ก็กลบความตกใจที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในไม่ได้…ที่แท้พวกเขาก็มีความหลังแบบนี้นั่นเอง
“แล้วเป็นอย่างไรต่อรึ” เขาถาม
“ต่อมาเรื่องราวก็เป็นไปตามฟ้าลิขิต บิดาเจ้าธาตุไฟแทรก ฮูหยินหมิงหานเสียใจยิ่งจึงหลบหน้าผู้คนไปยังเขาเทียนอวี๋ เจ้าก็เลยกลายเป็นคนโปรดของท่านเซียน มีอนาคตอันยาวไกล ตอนที่สาบานตนเป็นลูกศิษย์ ฮูหยินหมิงหานก็พูดถึงซ่งฝูอี้ แต่ท่านเซียนกลับบอกว่าการฝึกวิชา ฝึกจิตใจ ควรฝึกคนเดียวจะดีที่สุด”
พอพูดถึงตรงนี้ จี้หลิงอู้หัวเราะอย่างขมขื่น “ถ้าท่านเซียนรู้ว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่ชอบความสนุกสนาน ตอนนั้นซ่งฉือก็คงโดนลากมาเช่นกัน”
“เพราะฉะนั้น…” จี้ชิงหลบตา สายตาบ่งบอกถึงความเศร้าและหดหู่อยู่ภายใน
“เวลานี้ซ่งฉือจึงไม่มีหยวนตัน เจ้าต้องพาเขาพร้อมด้วยซุ่ยหาน ไม่ใช่แค่เดินทางไปฝึกปรือวิชาเซียนจนกว่าเขาจะทนความหนาวเหน็บของหลิงชี่ได้เท่านั้น แต่ยังต้องพาเขาไปหาท่านเซียนกับท่านตันชิวเพื่อตรวจสอบเรื่องหยวนตัน
“ฮูหยินจงหลีจึงนำหลิงชี่ขนาดมหึมาผนึกไว้ที่กระบี่ซุ่ยหานเพื่ออนาคต หยวนตันของซ่งฉือถูกอะไรสักอย่างผนึกไว้อย่างแน่นอน” จี้ชิงหยิบกระบี่หลิงหานขึ้นมาแล้วบอกว่า “ตอนนั้นข้าก็เลยคาดเดาเกี่ยวกับซุ่ยหาน และรู้ว่ากระบี่สองเล่มนี้เป็นกระบี่คู่ ใช้วัสดุชนิดเดียวกัน เล่มหนึ่งเป็นอิน อีกเล่มหนึ่งเป็นหยาง”
จี้หลิงอู้พยักหน้า “ความจริงแล้วมันมีความเกี่ยวข้องกันอีกมาก ข้าก็รู้เพียงเท่านี้ ที่บอกก็เพื่อให้เจ้ารับรู้ไว้ บางที…จะได้เลิกเป็นสหายกันเสีย”
จี้ชิงขบกรามแน่นพร้อมกับจ้องมองเขาเงียบๆ แสงจันทร์ที่ตกกระทบเผยให้เห็นใบหูแดงซ่าน
เขาหยิบกระบี่หลิงหานแล้วยืนขึ้น เสื้อผ้าบนตัวพลิ้วสะบัดเล็กน้อย ก่อนจะก้าวออกไปพลางเงยหน้ามองจันทร์ส่องแสงนวลผ่อง
จี้หลิงอู้มองตามหลังอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจเบาๆ ได้แต่ด่าทอกามเทพในใจมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนที่เที่ยวจับคู่ให้ใครต่อใครมั่วซั่วเช่นนี้
ถ้าทำหน้าที่กามเทพไม่ได้ ก็ให้ข้าทำแทนจะดีกว่าไหม!
ซ่งฉือหนีบพู่กันไว้ระหว่างจมูกกับริมฝีปากบน มองดูจดหมายที่ตัวเองเขียนเองกับมือ 9y;อักษรของเขาช่างสง่างามยิ่งนัก ลายเส้นทั้งคมชัดทั้งพลิ้วไสว
“เขียนจดหมายลาได้ไม่เลวเลยนะ”
ซ่งฉือตกใจก่อนจะหันไปมองจี้ชิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“เจ้าทำอะไรน่ะ มาไม่ให้สุ้มให้เสียง ข้าตกใจแทบแย่”
จี้ชิงนั่งลงบนเก้าอี้พลางวางกระบี่หลิงหานไว้บนโต๊ะ ก่อนจะรินน้ำชา “เจ้าจะไปไหน”
“ไปหาอาจิ่ง” ซ่งฉือตอบ “ไม่รู้ว่าหลายวันมานี้เจ้าเด็กนั่นเป็นอย่างไรบ้าง ข้าเป็นห่วง”
“เช่นนั้นข้าจะไปกับเจ้า”
ซ่งฉือวางพู่กันลง “เจ้าจะไปทำไม”
“ข้าจะไปช่วยเจ้า” จี้ชิงดื่มน้ำชาอึกหนึ่งพร้อมปรายตามองอีกฝ่าย “คนที่แม่น้ำว่านหลิงอาจจะกำลังตามหาเจ้าอยู่นะ”
ซ่งฉือกัดฟัน “พวกมันตั้งใจจะกำจัดหอไห่ถังให้ได้เลยสินะ!”
“จอมมารกำลังคิดที่จะกลับสู่ยุทธจักรอีกครั้ง จำเป็นต้องใช้หอไห่ถังเป็นฐานที่มั่น หากเจ้ายังอยู่ พวกมันก็ไม่อาจวางใจ”
“เช่นนั้นชาตินี้ทั้งชาติพวกมันก็ไม่อาจวางใจได้หรอก!”
ซ่งฉือหยิบกระบี่ขึ้นมา แล้วกระโจนออกไปข้างนอกทันที
“หยุดนะ” จี้ชิงตะโกน
ซ่งฉือหันกลับมาพูดว่า “อะไรอีก!”
“เจ้าหยิบกระบี่ไปผิดเล่ม” จี้ชิงชี้ไปยังกระบี่ที่วางอยู่บนโต๊ะ
ซ่งฉือมองกระบี่ในมือของตัวเองให้ดีก็พบว่าหยิบผิดจริงๆ “มรดกจากท่านแม่ของข้าทำไมถึงเหมือนของเจ้านัก ข้าจำผิดทุกทีเลย”
คราวที่แล้วครั้งที่ทั้งสองนอนบนทุ่งหญ้าจนฟ้ามืด เขาก็หยิบกระบี่ผิดเล่ม
“โชคชะตากระมัง” จี้ชิงส่งกระบี่ซุ่ยหานให้ ก่อนจะดึงกระบี่หลิงหานของตนกลับมาแล้วเดินตาม
“เจ้ายังจะไปกับอีกข้ารึ”
“เจ้ามีข้าอีกสักคนก็คงไม่มากเกินไปหรอก” จี้ชิงเดินนำออกไปข้างนอก
“ก็ได้” ซ่งฉือพยักหน้าก่อนจะเลิกต่อล้อต่อเถียง
เรื่องที่ทั้งสองแอบหนีออกจากจัวลู่ ในที่สุดจี้หลิงอู้ก็รู้จนได้ เขาโกรธจนผลุนผลันออกจากจัวลู่ไปยังดินแดนดอกท้อ เป็นพ่อสื่อให้แก่ผู้คน เที่ยวเตร่ ดื่มเหล้า มีความสุขไปวันๆ เพื่อหลีกหนีเรื่องราวที่ทำให้ตนเองไม่พอใจ
จี้ชิงวางกระบี่ลง ซ่งฉือหยิบกระดาษว่าวที่กู้ฉือให้ไว้ออกมาจากอกเสื้อ แล้วใช้มือรีดรอยยับจนเรียบ เช็ดรอยเลือดสดๆ ออก ก่อนจะเก็บกลับเข้าไว้ที่เดิมอย่างทะนุถนอมดุจของล้ำค่า
“จี้ชิง เจ้าเคยปลอบผู้หญิงไหม” ซ่งฉือจับสายคาดเอวเขาแล้วกระซิบถาม
จี้ชิงส่ายหน้า กระแอมเบาๆ ส่งสัญญาณแล้วเอามือจับที่บ่าของเขา
ซ่งฉือพยักหน้า จับบ่าเขาแล้วพูดยิ้มๆ “ก็คงอย่างนั้น ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไม่ได้เป็นที่ถูกอกถูกใจของบรรดาหญิงสาวผู้มาฝึกวิชาเซียน เพราะรู้สึกว่าเจ้าเป็นคนเงียบขรึมและน่าเบื่อ”
“แล้วสำหรับเจ้าล่ะ” จี้ชิงถาม
“ความรู้สึกของข้ารึ เจ้าก็ยังมีอะไรน่าสนใจอยู่บ้าง ไหนๆ ข้าก็สอนมากับมือ ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างแน่ๆ”
“หมายถึงอารมณ์ความรู้สึกแบบมนุษย์ทั่วไปงั้นรึ”
“ไม่ใช่!” ซ่งฉือขยับปากเข้าใกล้หูเขา “เจ้าควรไปดูหอบุปผาภิรมย์ ที่นั่นแหละที่เรียกว่าอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์!”
“หอบุปผาภิรมย์คือที่แบบใดกัน”
“เป็นที่ที่ทำให้เจ้ามีความสุข” ซ่งฉือยิ้ม “วันหลังข้าจะพาเจ้าไป”
พอจี้ชิงเริ่มเข้าใจ ใบหูของเขาก็เริ่มขึ้นสีแดง ก่อนจะก่นด่าอีกฝ่ายในใจ ‘เจ้าคนไร้ยางอาย’
ดูผิวเผินซ่งฉือไม่ค่อยสนใจความรักสักเท่าไรนัก หลังจากที่เขาร้องไห้เพราะหอไห่ถังถูกทำลาย จี้ชิงก็ไม่เคยเห็นเขาร้องไห้อีกเลย เมื่อวานนี้ก็เอาตันเย่าขจัดไอเย็นเม็ดนั้นให้เขากินอีกแล้ว แต่หากอยากจะให้เขาทนพลังวิญญาณของกระบี่ซุ่ยหานให้ได้ ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายวันทีเดียว
เขาขจัดความยุ่งเหยิงในใจออกไปก่อน ภายนอกดูอารมณ์ดี มีชีวิตชีวา เล่นฝีปากสักเท่าใด แต่ในใจก็ยังคงราวกับสายน้ำนิ่งสงบไร้ซึ่งชีวิตชีวา
จี้ชิงล้วงหยกวิญญาณออกมาจากคอเสื้อ หยกวิญญาณเป็นศูนย์รวมวิญญาณ เมื่อพกไว้นานๆ ส่วนต่างๆ ในร่างกายก็จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับหยกวิญญาณนี้ เขามองมันครู่หนึ่งแล้วเก็บมันกลับเข้าไป สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เมื่อไปถึงที่หมาย ซ่งฉือก็หยุดอยู่ที่หน้าประตู
จะบอกข่าวร้ายเหล่านี้ให้อาจิ่งฟังได้อย่างไร พวกเขาเพียงแค่ออกมาเพื่อหาหยกชิ้นเดียวเท่านั้น แต่ในชั่วพริบตาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป สถานที่ยังคงเดิม แต่ผู้คนได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว…ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
เขาในฐานะของบุรุษผู้หนึ่งนั้นสามารถทนต่อความเจ็บปวดที่บาดลึกไปถึงกระดูกได้ แต่อาจิ่งที่เป็นเพียงเด็กหญิงวัยสิบปีเท่านั้น
ซ่งฉือกำมือแน่น ก่อนจะล้วงหยิบเอาว่าวกระดาษออกมา
จี้ชิงมองออกอย่างชัดเจน เขายืนอยู่ข้างกายอีกฝ่ายและช่วยเคาะประตู
มีเสียงขานรับออกมาจากในห้องทันที เมื่ออาจิ่งเปิดประตูก็เห็นซ่งฉือยืนอยู่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ทะ…ท่านพี่ซ่ง” ขอบตาของนางดำคล้ำดูราวกับว่าไม่ได้นอนมาหลายวัน สีหน้าไร้ชีวิตชีวา
“อาจิ่ง” ซ่งฉือฝืนยิ้มออกมา ก่อนจะส่งกระดาษร่างว่าวให้นางพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจ “นี่…ศิษย์พี่ฝากให้เจ้า”