ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 273 ภรรยาของฉันรู้แจ้งแล้ว
- Home
- All Mangas
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 273 ภรรยาของฉันรู้แจ้งแล้ว
ตอนที่ 273 :ภรรยาของฉันรู้แจ้งแล้ว
ได้ยินเจียงเสี่ยวไป๋บอกว่าไม่มาแล้ว เจียงเสี่ยวเฟิงก็เริ่มตื่นตระหนก
“พี่ ไหนเราตกลงกันว่าผมจะรับผิดชอบแค่เรื่องดูแลโรงงานเท่านั้น ส่วนพี่จะรับผิดชอบเรื่องการขาย ทำไมพี่ถึงให้ผมดูแลร้านล่ะ ? ”
“ผมกลัวว่าผมจะทำได้ไม่ดี ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า: “เมื่อก่อนนายก็เคยรับซื้อกุ้งเครย์ฟิชมาก่อนไม่ใช่หรือ มันก็คล้ายกันนั่นแหละ นายก็แค่ขายไปตามสถานการณ์”
เจียงเสี่ยวเฟิงส่ายหน้า แล้วพูดว่า “มันไม่เหมือนกัน คนที่ผมรับซื้อกุ้งล้วนเป็นคนในเจียงวานทั้งนั้น ผมคุ้นเคยกับพวกเขาดี แต่……” จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่คิวยาวด้านนอก “คนเยอะขนาดนี้ ผมไม่รู้จักพวกเขาเลยสักคน”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้แต่ทอดถอนใจ ในใจคิดว่าหากให้เจียงเสี่ยวเหลยมา เขาจะต้องรับปากดูแลร้านให้อย่างแน่นอน เขาจะไม่กลัวและไม่ขี้อายเหมือนเจียงเสี่ยวเฟิงแน่ ๆ
พวกเขาทั้งสองเกิดมาจากแม่คนเดียวกัน ทำไมบุคลิกของพวกเขาจึงแตกต่างกันขนาดนี้นะ?
ปัญหาใหญ่ของเจียงเสี่ยวเฟิงคือเขาไม่เก่งในการพูดคุยกับคนแปลกหน้า
สิ่งนี้ส่งผลเสียต่อการพัฒนาธุรกิจในอนาคตของเขาอย่างมาก เจียงเสี่ยวไป๋ตบบ่าน้องชายและพูดอย่างจริงจังว่า “ตอนนี้นายเป็นผู้จัดการโรงงานแล้ว และนายต้องทำหลายอย่างด้วยตัวเอง นี่เป็นโอกาสในการฝึก ฉันเชื่อว่านายทำได้”
“อีกอย่าง ฉันต้องไปพบรองนายกเทศมนตรีจางบ่ายวันนี้ ฉันไม่อยู่ ถ้านายไม่ทำแล้วใครจะทำล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวเฟิงมองไปที่พวกหลี่ลี่ทั้งหกคน สี่คนเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาและอีกสองคนเป็นลูกจ้าง ถ้าเขาทำไม่ได้ ก็ไม่มีใครทำได้จริง ๆ
เขาพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “งั้น……ตกลง ผมจะพยายามอย่างเต็มที่ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าอย่างพอใจและพูดว่า “พวกนายเปิดร้านถึงแค่สองทุ่มพอ พรุ่งนี้ค่อยมาเปิดร้านใหม่”
พูดจบ เขาก็พูดเสริมว่า “หลังจากปิดร้านแล้ว สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือการนับสินค้าที่เหลือในร้าน เพื่อดูว่าพอเหลือขายสำหรับพรุ่งนี้ไหม สิ่งที่สองคือทำความสะอาดใบปลิวที่มีคนนำมาแลก แล้วจดว่าใบปลิวของใครดึงดูดลูกค้ามาได้เท่าไหร่ จากนั้นก็แจกใบปลิวคืนให้พวกเขาเพื่อไว้นำไปแจกต่อ”
หลังจากแจกแจงงานแล้ว เขาหยิบเมล็ดแตงโม 5 รสไปหลายถุงแล้วออกจากร้านไป
เขากลับมาถึงห้องทำงานโรงงานผลิตเครื่องปรุงรส หลินเจียอินจึงถามว่า “ทำไมคุณถึงกลับมาล่ะ ? วันนี้ร้านโยวผิ่นเปิดกิจการวันแรกไม่ใช่หรือ ทำไมคุณไม่อยู่ที่ร้านล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ “ที่ร้านมีเสี่ยวเฟิงดูแลอยู่ ผมกลับมากินข้าวกลางวันกับคุณไง”
ต่อให้ฟ้าสูงแผ่นดินใหญ่ขนาดไหน ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการอยู่เป็นเพื่อนภรรยาแล้ว
หลินเจียอินมุ่ยปาก ทว่าในใจของเธอกลับรู้สึกหอมหวานอย่างบอกไม่ถูก
“เสี่ยวเฟิงคอยดูแลร้านคนเดียว เขาจะไหวหรือ ? ”
เห็นได้ชัดว่าหลินเจียอินรู้จักนิสัยของเจียงเสี่ยวเฟิงเช่นกัน เธอจึงถามด้วยความกังวล พอถึงอย่างไรวันนี้ก็เป็นวันเปิดร้านโยวผิ่นวันแรก
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ไม่มีใครเกิดมาแข็งแกร่งเลย ผู้ที่แข็งแกร่งทุกคนล้วนถูกสถานการณ์บีบบังคับทั้งนั้น เสี่ยวเฟิงค่อนข้างขี้อาย ถ้าเราให้โอกาสเขาได้ฝึกตัวเองบ่อย ๆ เขาก็จะเติบโตขึ้น”
หลินเจียอินพยักหน้ารับ เพราะมันก็เป็นเช่นนั้นจริง
ขนาดเฉินหยวนเฉา ตอนแรกเขาก็ทำอะไรไม่เป็น แต่หลังจากที่เขาได้มีโอกาสฝึกฝนตนเองภายใต้คำแนะนำของเจียงเสี่ยวไป๋ ตอนนี้เขาสามารถดูแลทุกอย่างได้แล้ว
“งั้นวันนี้เราจะไปกินข้าวกลางวันที่ไหนดี ? ” หลินเจียอินถาม
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “ไปที่ถนนกวนโปแล้วกัน ที่อยู่ใกล้กับทางใต้ของเรา”
หลินเจียอินเห็นด้วยทันที “ได้ ฉันฟังคุณ คุณให้ไปกินที่ไหน ฉันก็จะไปกินที่นั่น”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณจะไปตรวจสอบการบริหารร้านไม่ใช่หรือ เราไม่ได้ไปที่ร้านสาขา 13 บนถนนกวนโปมาเกือบเดือนแล้ว”
หลินเจียอินหัวเราะ “ฉันนึกออกแล้ว คุณพูดถูก ตราบใดที่ยังมีระบบอยู่ เราก็ไม่จำเป็นต้องดูลูกน้องทำงานทุกวัน แค่สุ่มตรวจสอบเป็นครั้งคราวก็พอแล้ว”
นับตั้งแต่เจียงเสี่ยวไป๋อธิบายเรื่องระดับของผู้บริหารให้เธอฟังในครั้งนั้น เธอก็ไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ที่หากไม่ไปตรวจสอบด้วยตนเองแล้วจะไม่วางใจ
เจียงเสี่ยวไป๋มองหลินเจียอินด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงเลยว่าภรรยาของเขาจะเปิดใจแล้ว มันทำให้เขามีความสุขมากจริง ๆ
“เอาล่ะ ตั้งแต่พรุ่งนี้เราจะกินข้าวที่โรงอาหารของที่นี่”
“กินกุ้งเครย์ฟิชทุกวันแบบนั้น ฉันหายอยากแล้ว”
“เดี๋ยวผมจะให้เชฟหลิวทำอาหารบำรุงให้”
เจียงเสี่ยวไป๋บอก
โรงงานผลิตเครื่องปรุงรสมีคนงานประมาณสิบกว่าคน จึงมีโรงอาหารด้วย เมื่อก่อนเป็นเพราะหลินเจียอินอยากไปตรวจสอบที่ร้านสาขากุ้งอบน้ำมันทุกวัน พวกเขาถึงไม่ได้ไปกินข้าวที่โรงอาหาร
ตอนนี้เธอคิดได้แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ย่อมดีใจเป็นธรรมดา
เขาชอบที่จะทำอาหารกินที่โรงอาหารมากกว่าไปกินที่ร้านทุกวัน จะได้ไม่ต้องขับรถกลับไปกลับมา แถมยังได้กินอาหารที่มีโภชนาการยิ่งกว่าด้วย
เพราะถึงอย่างไร ร้านกุ้งอบน้ำมันก็ไม่ได้มีอาหารมากมายขนาดนั้น
“ได้สิ ฉันฟังคุณ ! ”
หลินเจียอินตอบด้วยรอยยิ้ม
เฝิงเยี่ยนหงไม่คัดค้านและกล่าวว่า “ไม่ต้องให้เชฟหลิวทำอาหารให้เราโดยเฉพาะหรอก คนงานกินอะไร เราก็กินอันนั้นแหละ”
แน่นอนว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
พวกเธอสองคนกำลังตั้งครรภ์อยู่ จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องโภชนาการ
พรุ่งนี้เขาจะเป็นคนจัดการเรื่องอาหารการกินของพวกเธอเอง วันนี้มันเที่ยงวันแล้ว ไปกินที่ร้านก่อนดีกว่า
หลังจากกินข้าวกลางวันแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋เล่นหมากรุกเป็นเพื่อนเจียงชานกับหวังกังสักพัก เขาก็ได้รับสายจากติงจวิ้นเจี๋ย ทั้งสองนัดพบกันที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร
ในตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋มาถึง ติงจวิ้นเจี๋ยก็มารออยู่ก่อนแล้ว
“เมล็ดแตงโม 5 รสของคุณเป็นที่นิยมอีกแล้ว ! ”
ติงจวิ้นเจี๋ยมองดูกลุ่มคนที่เข้าคิวยาวเหยียดพลางพูดด้วยความทึ่ง
“ขอให้สมพรปากคุณนะ ! ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ติงจวิ้นเจี๋ยพูดติดตลกว่า “รอให้ท่านรองนายกกลับมาแล้ว พอเขามาเห็นว่ากิจการเมล็ดแตงโมของคุณไปได้ดีขนาดนี้ คุณคิดว่าเขาจะชมหรือหมั่นไส้คุณกันนะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หมดคำจะพูด
เพราะโครงการโรงงานเมล็ดแตงโมเป็นโครงการที่หลุดมือของรองนายกเทศมนตรีจาง และถูกพ่อตาของเจียงเสี่ยวไป๋แย่งไปตั้งโรงงานที่เจี้ยนหยางแทน
เรื่องมันผ่านไปแล้ว ไม่สำคัญ
แต่บังเอิญวันนี้ร้านโยวผิ่นเปิดทำการวันแรก คนจึงมาเข้าแถวรอรับเมล็ดแตงโม 5 รสฟรี
รองนายกเทศมนตรีจางเดินทางไปเจียงเฉิงเพื่อทำธุระให้เจียงเสี่ยวไป๋โดยเฉพาะ และเมื่อเขากลับมาและเห็นฉากนี้ ไม่รู้ว่ารองนายกเทศมนตรีจางจะคิดอย่างไร !
ติงจวิ้นเจี๋ยเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋ทำหน้าเหยเก เขาหัวเราะและตบไหล่เขา “ผมล้อเล่นน่ะ ท่านรองนายกเทศมนตรีจางไม่ถือสาหรอก”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มเจื่อน
ดูเหมือนว่าเขาจะเลือกวันเปิดกิจการได้ไม่ดีนัก
ต่อไปนี้ เขาคงต้องใส่ใจกับรายละเอียดเหล่านี้แล้ว
ใครว่าคนที่ประสบความสำเร็จในเรื่องใหญ่จะไม่ยึดติดกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะแท้จริงแล้วคนที่ประสบความสำเร็จในเรื่องใหญ่ ๆ มักจะให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กน้อยมากกว่า
“ขอบคุณที่เตือนผม”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าว
ถ้าติงจวิ้นเจี๋ยไม่พูดถึง เขาคงไม่คิดเรื่องนั้นจริง ๆ
ติงจวิ้นเจี๋ยหัวเราะ เจียงเสี่ยวไป๋ฟังคำเตือนของเขา แล้วเตรียมใจให้พร้อมก็พอแล้ว เขาพูดพึมพำว่า “รออยู่ตรงนี้เฉย ๆ คงเบื่อแย่ ไม่สู้คุณไปเอาเมล็ดแตงโม 5 รสมา พวกเราแทะเมล็ดแตงโมไปด้วยรอท่านรองนายกไปด้วยดีไหม ? ”
ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขากินเมล็ดแตงโม 5 รสไป เขาก็เริ่มคิดถึงรสชาติของมันแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะแล้วหยิบถุงเมล็ดแตงโม 5 รสออกมา “ผมเตรียมไว้แล้ว ! ”
ติงจวิ้นเจี๋ยดีใจมาก เขารีบหยิบไปเปิดถุงและเริ่มกินอย่างอร่อย
อร่อยมาก !
ยังหอมอร่อยเหมือนเดิม ! !
เจียงเสี่ยวไป๋คว้าไปกำมือหนึ่งด้วย และทั้งสองก็เริ่มพูดคุยกันขณะกินเมล็ดแตงโม
ติงจวิ้นเจี๋ย “ทำไมคุณทำธุรกิจอะไรก็ขายดิบขายดีไปหมดเลยล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดกับตัวเองว่า: ฉันผู้กลับมาเกิดใหม่จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าธุรกิจเป็นอย่างไร ?
แต่เขาพูดสิ่งนี้ออกมาไม่ได้
เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “การทำธุรกิจต้องใช้คำสามคำนี้ ‘ยอมสละ’ เราต้องยอมสละก่อน แล้วถึงเก็บเกี่ยวภายหลัง”
“ผมแจกเมล็ดแตงโม 5 รสให้พวกเขาฟรี คนที่มารับย่อมมีเป็นจำนวนมาก”
“แบบนี้เรียกว่าการสร้างแรงดึงดูดให้กับร้าน”
“หากเราสร้างแรงดึงดูดให้ร้าน มันก็ไม่ยากแล้วที่ร้านของเราจะกลายเป็นที่นิยม”
ติงจวิ้นเจี๋ยพยักหน้า “เราทุกคนต่างเข้าใจว่าต้องสละก่อนถึงจะได้รับคืนมา แต่เมื่อลงมือทำจริง จะมีสักกี่คนที่ทำได้ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “พูดง่ายกว่าทำ”
ติงจวิ้นเจี๋ยเชื่ออย่างสุดใจ ก็เหมือนคำพูดที่ว่าเรารู้ความจริงมากมาย แต่ก็ยังใช้ชีวิตดี ๆ ไม่ได้ นั่นเพราะเราเข้าใจความจริงดี แต่มีน้อยคนนักที่จะเข้มงวดกับตัวเองได้จริง ๆ และนำความจริงเหล่านั้นมาปฏิบัติจนเกิดผล
ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนต่างก็มีความปรารถนา ต่างละโมบในความสุขสนุกของตนเอง
พูดอย่างสรุปก็คือ ผู้คนจะตามใจตัวเองได้ง่ายกว่ามีวินัยในตนเอง
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน เวลาก็ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว และในไม่ช้าก็เป็นเวลาบ่ายสามโมง
เดิมทีรถโดยสารรับส่งที่รองนายกเทศมนตรีจางขึ้นมาจะต้องถึงที่สถานีตอนบ่ายสามโมง แต่ในเวลานี้ยังไม่มีแม้แต่เงาของรถโดยสาร
“น่าจะมาช้าหน่อย ! ”
ติงจวิ้นเจี๋ยดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วพูด
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ: “ไม่เป็นไร รอต่อไป แต่หวังว่ารถจะไม่มาช้าเกินไป”
ในยุคนี้ สภาพถนนไม่ดี เป็นเรื่องปกติที่รถโดยสารจะล่าช้าไปบ้าง
อีกทั้งยังไม่มีการติดต่อกันด้วยโทรศัพท์มือถือ หากรถโดยสารยังไม่เข้ามาจอดที่สถานี พวกเขาก็จะไม่มีวันรู้เลยว่ารถมาถึงไหนแล้ว
ทั้งสองยังคงคุยกันต่อไปในขณะที่กินเมล็ดแตงโมไปด้วย
กระทั่งเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง รถโดยสารที่ระบุไว้ข้างตัวรถว่า “เจียงเฉิง↔ชิงโจว” ก็ได้ค่อย ๆ ขับเข้ามาจอดในสถานีขนส่ง
“มาแล้ว ! ”
ติงจวิ้นเจี๋ยเก็บเมล็ดแตงโม 5 รสที่ยังเหลืออีกครึ่งถุงใส่กระเป๋า แล้วปรบมือไล่เศษเปลือกเมล็ดแตงโม พลางพูดขึ้นมา
เจียงเสี่ยวไป๋ก็รีบเก็บเมล็ดแตงโมที่ยังกินไม่หมดเข้าไปในกระเป๋า และตบมือของเขาให้สะอาด
อีกเดี๋ยวเขาต้องจับมือทักทายรองนายกเทศมนตรีจาง
อืม สิ่งสำคัญคือเขาต้องรีบถามทันทีว่ารถบรรทุก 40 คันที่เขาขอได้รับการอนุมัติหรือไม่