[นิยายแปล] I’m the Evil Lord of an Intergalactic Empire! - ตอนที่ 2
บทที่ 2 พ่อบ้านและนักดาบ
พ่อบ้านไบรอันที่ทำงานให้ตระกูลบลันฟิลด์มาเนิ่นนาน นั้นได้แต่หน่ายใจให้กับสภาพของคฤหาสน์ตรงหน้า
ถ้าจะให้พูดอ้อมๆละก็คฤหาสน์ที่เคานต์บลันฟิลด์รุ่นก่อนได้ปรับปรุงนั้นพิเศษแบบประหลาดๆ
แต่ถ้าให้พูดตรงๆก็คือรสนิยมแย่มาก
แขกกี่คนต่อกี่คนที่มาเยือนไม่หลง ก็ต้องกลั้นขำให้กลับสภาพของคฤหาสน์ หรือก็เลี่ยงที่จะพูดถึงมัน
โถงทางเดินที่กว้างเกินจำเป็น คดเคี้ยวจนเรียกได้ว่าเป็นเขาวงกตเลยก็ไม่เกินเลย คนที่ไม่คุ้นชินก็ได้หลงกันหมดเป็นเรื่องปรกติ
ที่ทางเดินแบบนั้นพ่อบ้านก็ได้ยินเสียงของคนสวนที่ทิ้งงานให้หุ่นยนต์ทำ กับ เมดกระโปรงสั้นที่มายืนเกี้ยวพาราษีกันอยู่
ขนาดลุงพ่อบ้านเดินผ่านพวกเขาก็ไม่มีทีท่าจะสนใจเลยด้วยซ้ำ
พ่อบ้านก็ได้แต่คร่ำครวญ กับวิธีการเลือกคนงานของเจ้าตระกูลคนก่อนๆที่สนแต่รูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว
“ตกต่ำลงจริงๆตระกูลนี้”
ครั้นอดีต ที่ลุงพ่อบ้านได้เข้ามารับใช้ที่ตระกูลนี้นั้น ทั้งเป็นระเบียบ และทุกคนจริงจังกับงาน
จนกระทั่งปู่ของเลียมเข้ามาพังทุกอย่างลงหมดสิ้น
กดขี่ผู้คน ไม่จัดการสภาพการเงินให้ดีพอ พอติดหนี้ตัวแดงก็ทิ้งทุกอย่างให้ลูกตัวเองแล้วหนีหนี้เข้าเมืองหลวง
พอเทียบกับสมัยก่อนที่รุ่งเรืองแล้วก็ยิ่งทำให้ลุงพ่อบ้านเศร้าใจยิ่งขึ้น
สลัดความคิดพวกนั้น พร้อมยืดหลัง แล้วมุ่งหน้าสู่ห้องทำงาน
พอแตะอุปกรณ์สื่อสารหน้าห้องแล้วก็พูดขึ้น
“ท่านเลียมครับ กระผมไบรอัน”
แล้วก็มีเสียงตอบกลับมา
“–เข้ามาได้”
เป็นน้ำเสียงที่มีความขุ่นเคืองไม่เข้ากับโทนเสียงที่ยังเป็นเด็กอยู่
พอประตูเปิดพ่อบ้านก็เห็นเลียมที่กำลังทำงานอยู่ โดยมีอามากิอยู่ข้างกาย
โต๊ะที่สร้างมาให้ผู้ใหญ่กับเก้าอี้สำหรับเด็ก นั่นคือสถาพที่เลียมต้องทนทำงาน
ในสภาพนั้นก็มีอามากิที่ค่อยทำหน้าที่เหมือนเลขาแล้วคอยช่วยอยู่ข้างๆ
“ท่านเลียม มีอะไรให้รับใช้เหรอครับ”
เลียมลุกออกจากเก้าอี้ แล้วยืนเอามือเอามือไพล่หลัง ราวกับเด็กๆกำลังยืนอวดเบ่ง
“ไบรอัน รู้ใช่ไหมว่าชั้นไม่เคยได้ออกจากบ้านหลังนี้เลยน่ะ”
“ครับ แม้ช่วงท่านทำกายภาพบำบัดไม่กี่วันก่อนนี้ก็ทำภายในคฤหาสน์”
ไม่มีความจำเป็นต้องออก ใช่นั้นก็แค่ความหวังของลุงพ่อบ้านที่ไม่อยากจะให้เลียมเห็นสภาพจริงของคฤหาสน์
“ไม่คิดเลยเหรอว่าไอ้บ้านหลังนี้มันโคตรแย่เลยนะ”
แม้ไบรอันจะเห็นด้วย แต่เพราะอาชีพเขาก็ไม่สามารถกล่าวหารสนิยมเจ้าบ้านคนก่อนได้
“ผมว่าเป็นการออกแบบที่บรรเจิดมากกว่าครับ”
“ไม่ต้องมาแหล”
เลียมแสดงความไม่พอใจพร้อมกระถืบเท้าด้วยร่างเล็กๆนั่น
พอเขาหันไปหาอามากิ ราวกับรู้ใจเธอก็พยักหน้าแล้วเปิดภาพฉายของสิ่งต่างๆที่รุ่นพ่อ กับ ปู่ของเลียมไปปรับแต่งให้มันแย่ขึ้น หรือสิ่งที่พวกเขาสร้างไว้
บ้าน คฤหาสน์ รูปทรงบิดๆเบี้ยวๆต่างก็โผล่ขึ้นมารอบตัวไบรอัน
“พวกเขามันบ้าหรือไง ไม่สิต้องบ้าและโง่ด้วย จะไปสร้างบ้านรูปร่างแปลกๆให้คนมันอยู่ยากไปทำไม”
บ้านเบี้ยวๆพวกนี้นั้นก็มีเอาไปให้พวกญาติอยู่หลายหลัง
ที่เลียมขึ้นเป็นเคาทต์ได้โดยพวกญาติๆก็ไม่ขัดเพราะ
-คนพวกนั้นไม่ได้อยู่ที่เขตปกครองของตระกูลบลันฟิลด์แต่แรกแล้วไงละ
หนีไปอยู่เมืองหลวงตั้งแต่ก่อนที่ตระกูลจะติดหนี้ซะอีก
ส่วนพวกอัศวินที่เคยรับใช้หรือกระทั่งผู้สืบทอดของพวกเขาก็หนีไปรับใช้ตระกูลอื่นกันหมด
กองทัพก็ไม่ต่างกัน ตอนนี้เรียกได้ว่าคุมด้วยคนในดาวอย่างเดียวแล้ว
ถ้าเลียมไม่มีคนรับใช้อยู่พอสมควรการจะทำอะไรมันก็จะยิ่งยากลำบากขึ้นไปอีก
(หนทางข้างหน้ามันยากลำบากมากแต่พวกเขากลับพลักภาระให้เด็ก 5 ขวบ นี่ถ้าเป็นยุคของท่านอลิแสตร์ เรื่องพวกนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ๆ)
เลียมก็ได้ประกาศกร้าวออกมากต่อหน้าไบรอัน
“ลื้อมันทิ้งให้หมด แล้วเดียวชั้นจะสร้างที่ที่ชั้นจะอยู่เอง”
ไบรอันตื่นตระหนกในทันที
“ดะ เดี๋ยวก่อนครับ แล้วระหว่างนั้นท่านจะไปอยู่ที่ไหนละครับ”
เลียมแสดงท่าทีลังเลออกมาเล็กๆ
“ไม่สน ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ”
อามากิพูดเสริมขึ้นมาอย่างทันทีขณะที่พ่อบ้านสับสนหาคำมาพูดต่อไม่ได้
“นายท่านโปรดใจเย็นแล้วรอให้พวกเราสร้างที่พักอาศัยชั่วคราวให้ก่อนดีกว่าไหมคะ”
“ทำไมชั้นต้องรอ”
“ถ้าพวกเราจะลื้อถอน แล้วสร้างใหม่ทั้งคฤหาสน์นั้นเกรงว่าค่าใช้จ่ายจะมากเกินไป พวกเราควรทำไปที่ละเล็กทีละน้อยค่ะเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายแล้วในระหว่างนั้นเราก็จะเตรียมที่อยู่สำรองที่มีเฉพาะเครื่องอำนวยความสะดวกที่จำเป็นก่อนจะไม่ดีกว่าเหรอคะ”
สร้างที่อยู่แบบมินิมอล แล้วคอยย้ายมาอยู่คฤหาสน์หรูๆอลังการ
เป็นข้อเสนอที่ทำให้ไบรอันโล่งใจขึ้นมาบ้าง
(ก็น่าจะดีกว่าไปกู้หนี้มาเพิ่มสินะ แล้วเราอาจจะลดราคาลงได้ถ้าใช้วัสดุที่มีอยู่สินะ)
เลียมหยุดคิดเอาเล็กน้อยแล้วก็รับข้อเสนอของอามากิ
“ก็จริง ชั้นควรจะใช้เวลาสักหน่อยกับบ้านที่เหมาะสมกับตัวชั้นสิน่ะ แล้วเราจะมีเงินพอรึเปล่าล่ะ”
อามากิก็บอกถึงแผนที่วางไว้ทันที
“สภาพการเงินเราค่อนข้างแย่และดูจะไม่พอค่ะ ดังนั้นชั้นแนะนำให้จัดระเบียบกองทัพที่ฐานหลักก่อ-”
“จัดระเบียบกองทัพงั้นเหรอ”
ทั้งเจ้าเมืองและขุนนางต่างได้รับอนุญาตให้มีกองกำลังส่วนตัวได้
ตัวเลียมเองก็เพิ่งจะมาทำงานบริหารก็ยังไม่ค่อยชินกับเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่
แล้วอามากิจึงนำข้อมูลที่ทำเอาเลียมตะลึงออกมา
“นี้เรามียานอวกาศตั้ง 3หมื่น ลำเลยเหรอ”
อามากิเงยหน้าขึ้นมาตอบ
“ค่ะ แต่ยานที่ใช้จริงมีไม่ถึง 20% ค่ะ”
จากสามหมื่นมีใช้จริงแค่หกพันแถมยังเป็นของตกยุคที่มีดีแค่รูปร่างอีก สุดท้ายก็ไม่ต่างกับเสือกระดาษ
“เราจำเป็นต้องมียานใต้สังกัดขั้นต่ำคือ 3พันลำก็พอค่ะ ดังนั้นถ้าเราตัดงบตรงส่วนนี้ไปรายจ่ายที่พุ่งทะยานของเราตอนนี้จะน้อยลงเป็นอย่างมากค่ะ”
“แต่ชั้นเป็นเจ้าครองกาแล็กซี่เลยนะแค่นั้นมันจะไปพอเหรอ”
ถ้าคิดถึงสภาพของทั้งกาแล็กซี่แค่กองยาน 3หมื่นยังดูไม่น่าพอเลย
พ่อบ้านนั้นรู้คำตอบของคำถามอยู่แล้วแต่ลำบากใจที่จะพูด…
“ท่านเลียมครับ ถึงเราจะมีอำนาจมอบหมายดูแลทั้งกาแล็กซี่แต่ทั้งกำลังคนและทรัพยากรเรามีพอแค่บริหารดาวดวงนี้ดวงเดียวเท่านั้นละครับ”
“งั้นก็จัดระเบียกองทัพใหม่ทันทีเลย เท่านี้ก็น่าจะพอมีหวังในการหาเงินทุนมาซะบ้าง”
ถึงอภิสิทธิ์จริงจะมีทั้งกาแล็กซี่แต่เอาเข้าจริงก็มีไม่กี่ที่ ที่เลียมนั้นบริหารจริง
“รับทราบค่ะ จะเริ่มดำเนินการปลดอาวุธในทันทีค่ะ”
“หยุดทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้แล้ว”
พอได้ยินก็ทำให้พ่อบ้านสะดุ้งขึ้นทันที
สำหรับพ่อบ้านนั้นดูเหมือนจะกังวลที่เลียมนั้นรับทุกข้อเสนอที่ AI บอกมาเสียทุกเรื่อง
“ได้โปรดใจเย็นก่อนครับ นี่มันเสี่ยงมากๆเลยนะครับ ตามธรรมเนียมแล้วเราควรจะมียานรบ 1หมื่นลำไว้ใต้อานัตินะครับ ถ้าเราลดกำลังทหารลงไปขนาดนั้นเราก็เสี่ยงที่จะถูกรุกรานจากขุนนางข้างเคียงนะครับ”
เลียมดูกังวลเล็กน้อยแต่อามากิก็ออกความคิดเห็นของเธอด้วยเช่นกัน
“กำลังทหารของพวกเขาก็ล้าหลังไม่แพ้เราค่ะ ขุนนางรอบข้างเรามีกองเรือไว้แค่โชว์อำนาจเท่านั้น ถ้าหากเราเสริมกำลังรบเราด้วยอาวุธใหม่ๆจากจักรวรรดินั่นอาจเป็นเหตุผลให้พวกเขาเข้าโจมตีเราเสียมากกว่าค่ะ”
ดังนั้นกำลังรบแค่ 1 ใน 10 ตอนนี้ก็พอแล้ว
นับเป็นการเสี่ยงดวงเลยก็ว่าได้ เพราะถึงขุนนางรอบข้างจะน่ากังวล แต่ก็เป็นเช่นเดียวกันกับพวกสลัดอวกาศ
“ท่านเลียมครับ เราจำเป็นต้องมีกองยานพวกนั้นะครับ ได้โปรดทบทวนใหม่ด้วยเถอะครับ”
แต่เลียมก็ตอบปัดขอร้องขอนั้นทันควัน
“ชั้นไม่ต้องการไอ้พวกเสือกกระดาษพวกนั้นหรอก ที่ชั้นต้องการคือกองทหารที่สู้ได้จริง ดังนั้นอามากิดำเนินการทันที”
อามากิจึงเริ่มอธิบายแผนที่จะทำในทันที
“เราจำเป็นเป็นอย่างมากที่ต้อง อบรม และ ฝึก การทหารของกองทัพในตอนนี้ใหม่ทั้งหมด ดังนั้นชั้นจึงคิดว่าเราค่อยๆขยายกองกำลังไปตามกำลังทรัพย์ที่มีจะเหตุผลดีเป็นอย่างมากค่ะ”
เลียมพึงพอใจกับแผนนี้มาก
“ทำให้เสร็จโดยเร็วละ”
–ไบรอันได้แต่คิด
(ความมุ่งมั่นของเด็กตรงหน้า ช่างเหมือนกับท่านเคานต์ที่ชั้นปราบปลื้มในอดีตเสียเหลือเกิน)
ปู่ทวดของเลียม อลิแสตร์ นั้นเป็นขุนนางที่ดีมาก
พ่อบ้านนั้นคิดเป็นอื่นไม่ได้เลยเมื่อเหตุความมุ่งมั่นตรงหน้า
ติดก็แค่เขาดูจะติดเมดแอนดรอยของเขามากเกินไปก็เท่านั้นเอง
***
นี่มันบ้าอะไรกันเนี้ย
พอออกมาจากแคปซูลที่อยู่ไป 2ปี นั้นสิ่งที่รออยู่ก็คือกายภาพและทบทวนสิ่งที่เรียนทั้งหมดใหม่ไม่พอยังต้องตะลึงกามค้างกับสภาพปัจจุบันของพื้นที่ตัวเองอีก
“จะไปเหลืออะไรให้ชั้นรีดไถจากไอ้พวกคนในดาวอีกละถ้ามันโดนรีดกันจนแห้งหมดแล้วเนี้ย”
เป็นโลกที่ทั้งวิทยาการกับเวทย์มนต์รุดหน้าไม่ใช่เหรอ
แล้วทำไมสภาพคนในดาวชั้นมันแย่กว่าตอนชั้นอยู่ญี่ปุ่นอีกกันเล่า
นี้มันมหาจักรวรรดิระหว่างดวงดาวเลยไม่ใช่เหรอ
อยู่กันในยุคที่ยานรบยิงบีมกันเปรี๊ยงปร้างไม่ใช้เหรอแล้วทำไมอีคนในเขตชั้นมันหยั่งกับสต็อปอยู่ที่ยุคหินกันอีกละเนี้ย
แล้วนี้ทำไมไอ้พื้นที่ของตระกูลชั้นมันถึงได้ไม่มีบ้าอะไรเลยละเนี้ย
“นี้ไม่มีใครคิดจะพัฒนาดินแดนนี้กันเลยรึไง”
อามากิก็ให้ข้อมูลต่อคำถามนั้นในทันที
“ถ้าพยายามพัฒนาไปทางใดทางหนึ่งมันจะเป็นการยากมากเกินไปค่ะ ดังนั้นทางที่ดีเราควรปล่อยให้คนในพื้นที่ค่อยๆเติบโต พัฒนาไปพร้อมกับมันมากกว่าค่ะ”
“อามากิเธอทำอะไรหน่อยไม่ได้รึไง”
“นายท่านค่ะ ถึงชั้นจะทำได้หลากหลายแต่ชั้นก็มีข้อจำกัดอยู่ค่ะ อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้ชั้นจะช่วยเหลือนายท่านในทุกๆเรื่องที่เป็นไปได้ค่ะ”
ดูเหมือนพวกเคานต์รุ่นก่อนจะรีดทุกอยากที่จะทำได้แล้วหนีไปโดยที่ไม่เหลือทรัพยากรให้ชาวดาวนี้ได้พัฒนากันเลย
เหมือนจะคิดว่าแค่โยนคนเข้าตู้(แคปซูลเรียนรู้) แล้วก็เอากำลังคนให้แล้วคิดว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย
แล้วไอ้ชาวดาวนี้ที่โดนกดขี่มาก็หือ อือ อะไรไม่ได้ได้แต่โดนไอ้พวกมีความรู้ใช้การไม่ได้มาคุม
ไม่เหลือให้ จอมวายร้าย อย่างชั้นทำชั่วแล้วเนี้ยแค่นี้ก็ชิบหายทั้งดาวแล้ว
“ครอบครัวชั้นผลักภาระพวกนี้มาเพราะแก้ปัญหากันไม่ได้เนี้ยน่ะ”
หรือว่าผู้นำทางจะหลอกชั้นกัน แต่มันจะเป็นไปได้ไง
ขณะที่ชั้นกำลังส่ายหัวไม่ยอมรับ อามากิก็พูดปลอบชั้นอย่างอ่อนโยน
“นายท่านค่ะ ถึงมันจะแย่เพียงใดที่เราทำได้ก็แม่เพียงเดินหน้าต่อไปคะ ถ้านายท่านบริหารบ้านเมืองจัดการภาษีอย่างถูกต้องแม่นยำ พวกเราก็สามารถฟื้นคืนดาวดวงนี้ได้ภายใน 20ปีค่ะ”
มนุษย์ในโลกนี้นั้นดูจะมีอายุขัยเยอะเป็นพิเศษ ยิ่งในยุคนี้น่ะ
กว่าจะโดนเรียกว่าผู้ใหญ่ได้ก็ต้องอายุ 50 นู่น
แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคืออายุ 50 แล้วแต่ยังสามารถคงรูปร่างเหมือนพวกวัยรุ่นในโลกเก่าชั้นได้อยู่เลย
ถ้างั้นแค่ 20ปี มาเทียบกับช่วงอายุชั้นนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่นานเลย
“…ใช้เวลาแค่ 20ปี จริงๆใช่ไหม”
“ใช่คะแค่20ปีค่ะ”
ถ้าอามากิว่างั้นก็เอางั้นแหละ
ถ้าจะมากดขี่ข่มเหงผู้คนที่ไม่มีอะไรจะเหลือเนี้ยมันจะไปได้ค่าอะไร
แล้วร่างชั้นก็ยังเด็กอยู่
มีเวลาให้เรียนรู้ หรือ ลงทุนอะไรต่างๆนาๆอีกมากมาย
แล้วก็ไม่จำเป็นต้องรีบอะไรเร็วขนาดนั้นถ้ามารีดไถได้กำไรงามๆในภายหลังได้นะ
“ถ้าเราไม่มีเงินใช้จ่ายในตอนนี้งั้นเราก็หาเอาจากการลงทุนมันเนี้ยละ ยังไงก็น่าจะได้กำไรคืนมาบ้างแล้วก็อามากิชั้นต้องการพลัง”
“ต้องการจะเพิ่มกำลังทัพเหรอคะ ถ้าเช่นนั้น–”
“ไม่ใช่แบบนั้น ชั้นหมายถึงของตัวชั้นนะ”
“นายท่านอยากฝึกฝนร่างกายเหรอคะ”
“ใช่ ชั้นอยากแข็งแกร่งขึ้นจะวิชาป้องกันตัวอะไรก็ได้เอามาเถอะ”
โลกก่อนแค่โดนทำร้ายนิดหน่อยชั้นก็กลัวหัวหดแล้ว
ชั้นได้แต่ตัวสั่นเพราะความกลัวแค่ต้องเห็นพวกไอ้ล่ำที่ตามมาเก็บหนี้ชั้นนะ
ถึงจะคิดว่าความรุนแรงมันไร้สาระก็เถอะ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันจำเป็นในบางสถานการณ์นะ
เพื่อจะอยู่เหนือคนอื่นชั้นต้องการพลัง
พลังที่จะได้ไม่ต้องเกรงกลัวใคร
พลังที่จะเตรียมพร้อมรับมือต่อทุกสถานการณ์
นั่นแหละคือเป้าหมายของชั้นล่ะ
“นายท่านคะถึงชั้นจะคิดว่ามันไม่จำเป็น แต่ถ้าเป็นประสงค์เช่นนั้นชั้นจะหาเท่าที่จำเป็นให้ค่ะ”
“ไม่ หาที่ดีที่สุดมา”
เพื่อที่จะไม่ถูกช่วงชิงอะไรไปอีก
ชั้นต้องการพลัง เพื่อที่จะเป็นฝ่ายช่วงชิงเสียเอง
***
ผู้นำทางยืนอยู่ท่ามกลางมิติที่มืดมิด
เขาปล่อยกระเป๋าลง แล้วยืนยิ้มให้กับภาพวิดีโอตรงหน้า
ภาพตรงหน้าคือผู้หญิงที่เลียมเคยแต่งงานด้วยเมื่อโลกก่อน แม้จะผ่านไม่กี่ปีแต่สภาพเธอก็ซูบผอมลงอย่างมาก
“แหม ผ่านมาเยอะเลยนะครับ สภาพดูก็ไม่ได้ ผมก็ยุ่งเหยิง”
เขาหยุดภาพไว้ที่รูปของเธอกับลูกสาวและเด็กทารกอีก 2 คน
ผู้นำทางได้แต่ยิ้มให้กับภาพตรงหน้า
ไม่แค่นั้นภาพรอบตัวเขาล้วนมีแต่ภาพทุกข์ทรมาณของผู้คน
“โอ๊ะโอ๋ ดูเหมือนจะโดนดึงความสนใจไปสะนานเลย จะลืมเขาไปไม่ได้สะด้วยสิ ไหนๆขอดูหน่อยสิว่าสถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง”
ผู้นำทางเอียงคออย่างร่าเริง
และตรงนั้นมีภาพของคนที่กลับมาเกิดใหม่ – เลียม ที่ตอนนี้อายุได้ 7ปี กำลังคุยกับแอนดรอยอยู่
แล้วเขาก็เริ่มขำออกมา
“แหม น่าตกใจมากเลยนะครับที่สิ่งที่เหมือนมีชีวิตอย่างนั้นจะเป็นแค่ตุ๊กตาที่ผลิตจากโรงงานเนี่ย ซ้ำเขายังไม่รู้ตัวเลยว่าแค่มีมันใกล้ๆสถานะทางสังคมก็จะหดลงเรื่อยๆ อย่างนี้สิยิ่งทำให้มันน่าสนุกขึ้น”
ทั้งๆที่อยู่ในจุดที่ย่ำแย่นั่นแต่ดูเจ้าตัวก็ยังจะไม่รู้ตัว
ในวิดีโอนั้นเลียมประกาศอย่างชัดเจนเลยว่าต้องการพลัง
มนุษย์ที่โดนทำร้ายกดขี่ข่มเหงมาตลอดในอดีต มาคราวนี้กลับอยากได้พลังเพื่อทำสิ่งนั้นคืน –ผู้นำทางชอบคนจำพวกนี้มากเป็นที่สุด
[ชั้นต้องการพลังเพื่อที่จะได้ไม่โดนแย่งชิงอะไรไปอีก ไม่ว่าเส้นทางมันจะยากลำบากขนาดไหนชั้นก็พร้อมที่จะมุ่งไป]
ผู้นำทางยื่นมือไปจับจอภาพนั่น
หมอกสีดำมืดก็พุ่งออกมา แล้วพุ่งเข้าไปในภาพนั้น
“งั้นผมก็ขอมอบของขวัญให้สักเล็กน้อยนะครับ ไม่ต้องขอบคุณละมันเป็นคติประจำใจผมที่จะมอบบริการหลังการขายอย่างดีเยี่ยมให้นะครับ”
ผู้นำทางได้เตรียมคนที่จะมาเป็นอาจาร์ยให้กับเลียมอย่างทันที แล้วก็ชักนำให้มารับตำแหน่งแทนคนที่ควรจะมาเป็น
“ขอให้สนุกนะครับ คุณเลียม แล้วพอทุกอย่างพังทลายลงเมื่อใดเมื่อนั้นผมจะไปรับเองครับ”
ผู้นำทางมองภาพตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มที่ฉีกเป็นเสี้ยวพระจันทร์
***
ณ ท่าขนส่งของตระกูลบลันฟิลด์
ชายที่จะมาเป็นอาจาร์ยของเลียมก็มาถึง
โดยชุดที่สวมเป็นกิโมโน
เขาใส่ชุดฮากามะด้วยพร้อมกับดาบเหน็บไว้ที่เอว บรรยากาศเขาให้อารมณ์เหมือนโรนินมากกว่าจะเป็นซามูไรสะอีก
“ช่างเป็นสถานที่ล้าหลังอะไรกันแบบนี้นะ”
ชายผู้นี้ชื่อ ยาสุชิ
เป็นชายที่ดูหยาบกระด้างอยู่บ้าง
โดยที่จริงแล้วคนที่ควรจะรับงานนั้นเป็นคนอื่น
แต่พอเจอกับชื่อเสียงของตระกูลบลันฟิลด์เข้าก็ผลักหน้าที่มาให้ ยาสุชิไปแทน
‘รับงานนี้แทนชั้นที’
ยาสุชิก็ติดหนี้กับปรมจาร์ยดาบผู้นั้นอยู่ด้วยก็เลยปฏิเสธไม่ได้ก็เลย รับมาอย่างไม่เต็มใจ
แต่ ยาสุชิ ก็มีความลับอยู่
ก็จริงที่เขาเรียนศิลปะป้องกันตัวมากมายแต่ก็ไม่เคยจะไปได้สุดสักกะทางแล้วก็เลิกเอาทั้งที่เรียนได้แบบครึ่งๆกลางๆ
เขาเป็นคนจำพวกที่โม้ว่าสำเร็จวิชาดาบขั้นสูงมาแล้วก็โชว์ทริคดาบเล็กๆน้อยๆเพื่อหาเงินใช้ไปวันๆเท่านั้นเอง
“โดนบอกมาว่านายจ้างเป็นแค่เด็กน้อย ก็ไม่น่าจะยากอะไร ก็สงสารอยู่ละนะที่ต้องมาได้ชั้นเป็นคนสอนเนี่ย”
ถ้าจะเป็นอาจาร์ยอย่างน้อยเขาก็ตั้งใจสอนพื้นฐานให้
แต่ไอ้พวกวิชาดาบ วิชาลับอะไรพวกนั้นนะเป็นไปไม่ได้เลย
ก็ถ้าเป็นไอ้พวกลูกคุณหนู ไม่นานก็คงจะเบื่ออยู่แล้ว แต่ก็คงจะดีถ้าได้ทำตัวอวดเบ่งใส่ไอ้พวกเด็กหงิมๆน่ะ
“แต่ก็น้า เป็นไอ้แปลกเด็กจริงๆที่มาอยากเรียนวิชาดาบคาตานะเนี่ย”
คาตานะ ในยุคสมัยนี้นั้นมีอยู่แต่ไม่ได้รับความนิยมขนาดนั้น
ใช่ก็มีคนบางจำพวกที่ชอบ แต่สุดท้ายคนส่วนใหญ่ทั้งหมดก็เลือกที่จะใช้วิชาดาบตะวันตกเสียมากกว่า
ยาสุชิรู้เพราะก็อยู่ในสายนี้มานาน
“เอาเถอะ ชั้นก็สนแค่ว่าจะรีดเงินจากไอ้หนูนั่นได้ขนาดไหนเท่านั้นแหละ”
ถ้าจะให้สรุปสั้นๆผู้ชายคนนี้ก็เป็นได้แค่นักต้มตุ๋น
ไอ้คนที่หลอกชาวบ้าน ชาวช่องด้วยกลเล็กๆน้อยๆเท่านั้นคือคนที่โดนเลือกมาโดนผู้นำทางให้มาเป็นอาจาร์ยสอนดาบให้เลียม