ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?) - ตอนที่ 5
ตอนที่ 5 องค์หญิงสโนว์ไวท์
พลังป้องกันของนักฆ่านั้นต่ําที่สุดในบรรดาอาชีพทั้งหมด แม้แต่พลังป้องกันเวทมนตร์ของนักธนูยังสูงกว่าเขาเลย ดังนั้นสําหรับนักฆ่าแล้ว ถ้าเขาฆ่าคู่ต่อสู้ในครั้งเดียวไม่ได้ นั่นก็ถือว่าเป็นทางตันของเขาแล้ว
คนตรงหน้านี้เป็นตัวอย่างที่ดีทีเดียว แม้เลเวลเขาจะสูงกว่าผมไม่น้อย พลังโจมตีและความรวดเร็วก็สูงมาก แต่ด้วยการรบกวนของเวทน้ําแข็ง ความเร็วของหมอนี่เลยไม่สูงไปกว่าผม แม้ความว่องไวนักฆ่า 5,400 บวกโบนัส 30% แต่ด้วยเอฟเฟกต์ ‘แสงแช่แข็ง’ ที่ทําให้มันลดลง ไปครึ่งหนึ่งแล้ว ทั้งยังรวมกับโบนัส ‘ผู้ดูหมิ่น’ อีก 1.5 เท่า ความว่องไวของเขาจึงเหลือเพียง 1,755 ส่วนความว่องไว 3,400 ของผมบวกโบนัส 10% ของมีดซ่อนและความว่องไว 500 ของ แหวนวายุก็รวมกันเป็น 4,240 หน่วย ซึ่งแปลว่า นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาฆ่าผมไม่ได้ การต่อสู้ครั้งนี้ ก็สิ้นสุดลงแล้ว เว้นแต่เขาจะมีเครื่องมือที่เพิ่มความว่องไว 13,000 หน่วยขึ้นไป ไม่งั้นก็จะคิดจะ แตะตัวผมได้เลย
แต่การหลบหลีกไปมาก็น่ารําคาญจริงๆ ดังนั้นผมจึงใช้ ‘บุปผาน้ําแข็ง’ เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นรูปปั้น ตั้งอยู่รวมกับองครักษ์เหล่านั้น
โบราณกล่าวไว้ว่า “ด้วยอาวุธที่ดี ย่อมสังหารศัตรูระดับสูงกว่าได้ง่ายๆ
จากนั้น ผมก็เดินไปตรงหน้าเฮนดรีทีละก้าวๆ
“เป็นไง ดูจนสมใจหรือยัง”
“….”
เมื่อเข้าใกล้ผมถึงได้กลิ่นแปลกๆ พอมองดูดีๆ ก็พบว่าหมอนี่ถึงกับตกใจจนนี่ราด!
“พระเจ้า ฉันแค่เปลี่ยนพวกเขาเป็นรูปปั้นเอง ทําไมนายต้องนี่ราดด้วยล่ะ นายบอกว่านายเป็นลูกของดยุคไม่ใช่เหรอ ร้ายกาจนักไม่ใช่เหรอ โชว์ให้ฉันดูสักหน่อยสิ”
ผมยิ้มมองหมอนั่นพลางพูด
คนรอบด้านหัวเราะขึ้นมา เพราะโอกาสที่จะได้เห็นลูกดยุคตกอยู่ในสถานการณ์คับขันแบบนี้หาได้ยากที่เดียว
“คือ…เรื่องนั้น…ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ…เจ้าอยากได้เงินเท่าไรข้าจะให้เจ้าหมดเลย เจ้าอยากได้อะไรข้าก็จะให้…แต่ต้องอย่าฆ่าข้า…”
“แบบนั้นเหรอ…”
ผมหมุนตัวมองไปที่องค์หญิงสโนว์
“ถ้าฆ่าหมอนี่ผมจะเกิดเรื่องไหม”
“เรื่องนั้น”
องค์หญิงสโนว์คิดดู
“ถึงดยุคซิเลสเตอร์จะไม่ทําอะไรเจ้าต่อหน้าที่สาธารณะ แต่เจ้าก็ต้องระวังในที่ลับสักหน่อย ความสามารถในความอาฆาตของเจ้านั้นไม่น้อยเลย”
“อย่างนั้นเหรอ…”
ผมหมุนตัวมองไปยังเฮนดรีที่ตกใจจนนี่ราด แล้วถามต่อ
“ดูท่าพ่อของแกจะร้ายกาจจริงๆ นะ”
“ไม่ขอเพียงเจ้าปล่อยข้า ข้าจะไม่พูดเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้กับพ่อข้าเด็ดขาด ขอเพียงเจ้าบอกราคามา ข้าจะเบิกเงินที่เจ้าต้องการจากคลังสมบัติทันที ดังนั้น…”
เห็นเขาตัวสั่นเทา ผมก็รู้สึกหายโกรธไม่น้อย
หลังจากคิดดู ผมก็ชูสามนิ้วขึ้นมา
“เท่านี้แล้วกัน”
“เรื่องนั้น…”
ขณะที่เขากําลังลังเล ผมก็เข้าใกล้เขาแล้วกระซิบที่ข้างหูทันที
“มันไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่ายของฉัน แต่ยังมีค่าปิดปากของทุกคนอีก ภายหลังนายยังคิดจะก่อเรื่องในเมืองหลวงอีกงั้นเหรอ ถึงนายยังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าทุกคนในเมืองหลวงรู้เรื่องที่เกิดในวันนี้ล่ะ ฉันว่านายก็คงไม่กล้าออกจากบ้านหรอก”
“เรื่องนั้น..ใช่แล้วๆ นายพูดถูกแล้ว”
อีกฝ่ายพยักหน้า
ผมฉีกยิ้ม ออกแรงตบหน้าเขาสองครั้ง แล้วเดินกลับไปอยู่ข้างองค์หญิงสโนว์ในขณะที่แววตาของเขายังสับสน
“องค์หญิง ถึงวันนี้เฮนดรีจะทําเกินไป แต่ถ้าทุกคนในเมืองรู้เรื่องในวันนี้ ศักดิ์ศรีของชนชั้นสูงจะถูกโจมตีนะ คุณดูสิ…”
“อืม…เจ้าว่าไง”
“งั้นผมจะช่วยคุณจัดการให้เรียบร้อย”
ผมยืดตัวตรง แล้วพูดเสียงดัง
“ทุกท่าน ผมว่าทุกคนคงเป็นพยานต่อเรื่องที่เฮนดรีทําในวันนี้ แต่จากที่ผมกับองค์หญิงสโนว์ปรึกษากัน คราวนี้คงแค่ลงโทษเขาก็พอ ไม่งั้น มันอาจส่งผลเสียต่อองค์หญิงก็เป็นได้ หวังว่าทุกคนจะร่วมมือนะครับ”
หลังจากคนรอบๆ ได้ยิน ก็วิพากษ์วิจารณ์ด้วยเสียงเบาทันที
ผ่านไปสักพัก มาร์ลก็เดินออกมาจากฝูงชน แล้วพูด
“ฟิลเจ้าสุภาพไปแล้ว ในเมื่อเป็นความเห็นขององค์หญิงกับนักเวทอาณาจักร พวกเราก็ย่อมทําตาม”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ ทําเหมือนผมบังคับพวกคุณนั้นเลย”
“ฮ่าๆๆ ฟีล เจ้าไม่เหมือนนักเวทอาณาจักรจริงด้วย ถ้านักเวทอาณาจักรทุกคนเป็นแบบเจ้า ที่นั่นคงไม่กลายเป็นสถานที่ที่ทุกคนไม่อยากเข้าใกล้ที่สุดแน่”
เขาพูดพลางชี้ไปยังอาคารสูงตระหง่านที่อยู่ใกลออกไป
“หอคอยนักเวท…งั้นเหรอ”
จะว่าไป ฝ่าบาทบอกให้ผมไปรายงานตัวเมื่อมีโอกาสนี้ ก่อนหน้านี้ยังคิดว่าที่นั่นอยู่ไหน แต่นึกไม่ถึงว่ามันจะโดดเด่นขนาดนี้
“แหม คราวนี้ผมเลยขอร้องให้ทุกคนไม่แพร่เรื่องนี้ออกไปไงครับ”
“ข้าถึงบอกว่าฟิลสุภาพเกินไปไงล่ะ…”
ยกเลิกน้ําแข็งบนตัวคนพวกนั้น องครักษ์ที่เหลือเศษเลือดเหล่านั้นก็หนีไปจากที่เกิดเหตุพร้อมเฮนดรีอย่างรวดเร็ว
บนท้องถนนกลับไปทํากิจการตามปกติกันอย่างรวดเร็ว ส่วนพวกเราก็บอกลาพวกมาร์ล แล้วเดินเล่นต่อในเมืองหลวง
“ขอโทษด้วย นึกไม่ถึงว่าเพิ่งถึงเมืองหลวงก็ทําให้เจ้าเห็นเรื่องไม่ดีซะแล้ว”
“ไม่เป็นไรๆ สําหรับผมมันก็เหมือนกับคัทซีน(cut scene) ดังนั้นอย่าไปใส่ใจเลย”
“คัทซีนเหรอ”
“เรื่องนั้น…”
เห็นแววตาสงสัยขององค์หญิงสโนว์ ผมจึงคิดดูแล้วพูดต่อไป
“เพราะปกติเมื่อมาถึงสถานที่ที่มีชนชั้นสูงรวมตัวกัน ชนชั้นสูงชอบกดขี่บางพวกก็มักออกมาก่อเรื่องไม่ใช่เหรอ”
“…แม้ไม่อาจปฏิเสธคําพูดเจ้าได้ แต่ที่จริงชนชั้นสูงก็ไม่ใช่คนเลวทั้งหมด”
“เรื่องนั้นผมรู้”
นึกถึงเพื่อนเหล่านั้นในสถาบัน ส่วนมากก็ล้วนเป็นชนชั้นสูงไม่ก็เชื้อพระวงศ์ แต่พูดตามตรง ผ มกลับไม่รู้สึกเข้ากับพวกเขายากเลย
ยังไงซะถ้าได้เป็นชนชั้นผู้นําย่อมต้องมีจิตใจที่กว้างขวาง แม้ตัวโกงจะก้าวร้าว แต่ก็ไม่อาจกลายเป็นผู้นําได้
“เอาละ ไม่ต้องพูดถึงมันแล้ว พวกเราจะไปที่ไหนต่อ”
“อืม..”
องค์หญิงสโนว์ยกมุมปากทําท่าครุ่นคิด ท่าทางดูน่ารักอย่างยิ่ง
“ใช่แล้ว เจ้าคงยังไม่เคยเห็นสัญลักษณ์ของอาณาจักรเอสล่ะสิ!”
จู่ๆ เธอก็โดดขึ้นพลางพูด
“สะ…สัญลักษณ์เหรอ มันคืออะไร”
“หึๆ! มันเป็นสิ่งของที่สุดยอดมาก ไปเถอะ! ข้าจะนําทางเอง!”
พูดจบ ยัยนี่ก็วิ่งนําหน้าไป
ยัยนี่ ไม่มีท่าทีที่องค์หญิงควรมีสักนิด…
ผมส่ายหน้า แล้วเราก็รีบตามไป
‘ไม่เป็นไรใช่ไหม คนที่ตามพวกเรามาตลอด ถึงฉันรู้ว่าเขามาคุ้มครององค์หญิง แต่เมื่อกี้เขากลับไม่ออกโรงเลย’
ขณะเดินอยู่ จู่ๆ ก็เห็นข้อความที่อาร์ย่าส่งมา
“ไม่รู้สิ แต่หมอนั่นแค่ตามมาและไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับเรา ไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือมิตรกันแน่”
“งั้นเราจะทําไงดี”
“ถึงเธอถามฉันว่าทําไง…”
ผมมองไปยังทางที่คนนั้นตามมา แล้วส่ายหน้า
‘ยังไงฉันก็รู้สึกว่าฉันคงเอาชนะเขาไม่ได้ เธอล่ะ’
‘นายยังมีหน้ามาถามคนเลเวลต่ํากว่านายอีกเหรอ’
‘งั้นเมื่อเป็นแบบนี้ เราก็เดินไปก่อนค่อยว่ากัน’
‘ใช่แล้ว เรายังเป็นทีมกันด้วย ถ้าเป็นทีมกัน แล้วฉันเข้าสู่สภาวะต่อสู้แบบสถานการณ์เมื่อกี้นายก็จะรู้ทันที’
‘ได้ แต่มันเป็นเพราะพวกเธอดึงดันจะทําตามใจนี่’
‘…ก็แค่เพราะนายโง่เท่านั้นแหละ’
‘ฮะ’
ผมมองอาร์ย่าด้วยความแปลกใจ แต่เธอกลับเมินผม ทั้งยังไม่ส่งข้อความหาผมอีก
ก็ได้ เธอฉลาดโอเคไหม
เมื่อผมได้รับคําเชิญเข้าทีม เราก็ดูเหมือนใกล้จะถึงเป้าหมายแล้วเช่นกัน เพราะองค์หญิงสโนว์ ก็ค่อยๆ ลดความเร็ว
แต่ว่า…
ไอเย็นรอบด้านที่ค่อยๆ ปกคลุมมันคืออะไรกัน
“หนาวจัง ฟีล…”
แม้แต่ญารินก็พูดเสียงเบา
ผมมองไปที่เธอ ก็นึกขึ้นได้ว่าที่จริงเธอสวมแค่ชุดเกราะ แล้วสวมชุดคลุมไว้ด้านนอกเท่านั้น
ผมค้นดูในแหวนเก็บของ แล้วหยิบชุดคลุมขนแกะอัศวินออกมา
เพื่อให้สามารถปลอมเป็นใครก็ได้ ผมเลยซื้อชุดทุกอย่างที่ผมซื้อได้ และรวมไปถึงอุปกรณ์ของอัศวินด้วย
ผมหยิบชุดคลุมมาคลุมบนตัวเธอ
“อุ่นขึ้นหรือยัง ชุดคลุมนี้คงกันหนาวได้นะ”
“อื้ม…ขอบใจ”
เห็นเธอหน้าแดง ดูท่าประสิทธิภาพของชุดคลุมนี้คงดีทีเดียว
“แล้วของฉันล่ะ!”
อาร์ย่าที่อยู่ข้างๆ ร้องอย่างไม่พอใจ
“ฉันมีชุดคลุมอันเดียว เธอเป็นสายเพลิงไม่ใช่เหรอ ยังกลัวหนาวอีกหรือไง”
“นาย…”
อาร์ย่าทําหน้าบูดบึง จากนั้นก็แผ่เปลวไฟออกมาจากร่างกาย แล้วเร่งฝีเท้าเดินตามองค์หญิงสโนว์ไป
เธอเดินไปด้วยพูดไปด้วย
“ฮึ่ม! ยังไงฉันก็เป็นสายเพลิง เจ้าที่ม! ถึงนายขอฉันก็ไม่ให้นายผิงไฟหรอก…”
“…”
ยัยนี่วุ่นวายจริงๆ…
แต่ตอนนี้ เปลวไฟบนตัวอาร์ย่าก็มอดลงทันที
เธอมองตัวเองอย่างสับสน แล้วจุดไฟอีกครั้ง
แต่ไม่ถึงหนึ่งวินาที ไฟกลับมอดลงทันที
“นี่มัน…”
“เอาละ ที่นี่คือสถานที่ที่ลึกลับที่สุดในอาณาจักรเอส ‘รอยร้าวแห่งน้ําแข็ง’ ส่วนที่ด้านบน ก็มีนักบุญที่เสียสละตัวเองเพื่อช่วยอาณาจักรเอส องค์หญิงสโนว์ไวท์”
“ฮะ องค์หญิงสโนว์ไวท์”
ผมกับอาร์ย่ามองหน้ากัน ดูจากสายตาของเธอ ก็แทบจะเห็นหน้าเหวออยู่เต็มหน้า
แล้วคนแคระทั้งเจ็ดล่ะ