ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?) - ตอนที่ 11
ตอนที่ 11 ภายใต้ตราผนึก
“อย่างนี้นี่เอง ผ่านไปหกร้อยหกสิบห้าปีแล้วเหรอ ช่างเป็นเวลาที่ยาวนานซะจริง”
ตอนนี้พวกเราอยู่ในบ้านขององค์หญิงสโนว์ไวท์ หลังจากที่เธอฟังพวกเราเล่าจบ เธอก็จิบชาช้าๆ แล้วพูดออกมา
ผมว่าคุณดูใจเย็นไปหรือเปล่า หกร้อยหกสิบห้าปีนะ ถ้ามีคนโยนผมไว้ที่นี่หกร้อยหกสิบห้าปี ถ้าไม่ใช่ผมเบื่อตาย แค่คิดว่าจะต้องเล่นเกมถึงหกร้อยหกสิบห้าปีกว่าจะผ่านด่าน ผมก็รู้สึกว่าเควสต์ของผมมันหนักหน่วงเกินไปแล้ว!
“ทําไมพวกเจ้าไม่ดื่มชา หรือว่าพวกเจ้าไม่ชอบชาแบบนี้ มันมีประสิทธิภาพที่ดีในการเพิ่มความสัมพันธ์กับธาตุสายน้ำแข็งมากเลยนะ”
“เรื่องนั้น…”
มองดูอาร์ย่าที่อยู่ข้างๆ ก็เห็นเธอกําลังมองไอร้อนที่แผ่ออกมาจากแก้วแต่ด้านบนกลับมีใบชาที่หน้าตาเหมือนกับก้อนน้ำแข็งลอยอยู่
ยัยนี่คงสงสัยว่าทําไมในน้ำร้อนถึงมีน้ำแข็งอยู่ด้วยละมั้ง
“เปล่าครับ พวกเราแค่สงสัยว่าทําไมในรอยร้าวแห่งน้ำแข็งถึงมีชาได้เท่านั้น”
“ฮ่าๆๆ นั่นเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ แม้ที่นี่เป็นส่วนในของรอยร้าวแห่งน้ำแข็ง แต่เพราะพืชพรรณสัตว์ปามากมายล้วนอาศัยธาตุสายน้ำแข็งในการเติบโต มันก็ย่อมมีเป็นธรรมดา และสิ่งที่ควรจะพูดถึงก็คือ แกะน้ำแข็งที่นี่อร่อยทีเดียว”
“งั้นเหรอครับ..ฮ่าๆๆ”
โลกใบนี้ไม่อาจใช้หลักการทั่วไปมาพิจารณาจริงๆ
“แล้วคุณก่อไฟยังไง”
“ก็ใช้พื้นน่ะสิ”
“แต่ที่นี่เป็นสายน้ำแข็งไม่ใช่…”
“พืชสายน้ำแข็งมีเหตุผลให้ก่อไฟไม่ได้ด้วยหรือ”
“…”
ธาตุน้ำแข็งพวกนี้จุดไฟได้ด้วยเหรอ นี่มันแหล่งพลังงานพระเจ้าชัดๆ!
เอาเถอะ อย่าเอาสิ่งของตามหลักฟิสิกส์มาอธิบายสิ่งของในโลกเวทมนตร์ แล้วกลับบ้านไปตั้งใจอ่านหนังสือจะดีกว่า ไม่งั้นถ้าสิ่งพวกนี้เป็นความรู้ทั่วไปละก็ ผมคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแน่
“เอาละ เราอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย องค์หญิงสโนว์ไวท์คุณ…”
“บอกจะไม่เรียกข้าว่าองค์หญิงสโนว์ไวท์แล้วนี่! สารเลวที่ไหนให้ฉายานี้มานะ!”
องค์หญิงสโนว์ไวท์ดูเหมือนกับจะคว่ำโต๊ะ ดูแสดงออกไม่เหมือนเอลฟ์เลยแม้แต่น้อย
ช่างเถอะ ก่อนหน้านี้ก็เคยเห็นเอลฟ์ที่เป็นนักฆ่ามาแล้วนี่ ภาพลักษณ์ของเอลฟ์บนโลกนี้ได้ทําลายสายตาของผมไปนานแล้ว
อีกทั้งผมยังรู้สึกแปลกต่อชื่อองค์หญิงสโนว์ไวท์ด้วย
ชื่อองค์หญิงสโนว์ไวท์ก็แปลกมากแล้ว ยิ่งกว่านั้นองค์หญิงสโนว์ไวท์ยังทําให้ผมรู้สึกถึงความชั่วร้ายที่อยู่เต็มโลกใบนี้
แต่เมื่อดูชื่อขององค์หญิงสโนว์ไวท์อีกครั้งผมก็เหมือนจะเข้าใจบางอย่าง
บริแอน สโนว์มันสเตอร์ เพศหญิง อายุ 168 ปี (+665)
นักธนูสายน้ำแข็ง เลเวล 45
ความดี ความไม่ระมัดระวัง ใจร้อน เอลฟ์น้ำแข็ง ผู้ครอบครองเวทต้องห้าม องค์หญิงสามของเอลฟ์ (เป็นโมฆะ) เทพีนักธนู ผู้ติดตาม องค์หญิงสโนว์ไวท์ผู้ถูกผนึก
โอเค คนพวกนั้นคงเอาสองคําแรกของชื่อเธอมาต่อกันละมั้ง (ในตัวอักษรจีน สองคําแรกในชื่อและนามสกุลขององค์หญิงมาต่อกันจะได้คําว่า “สโนว์ไวท์)…ต้องขี้เกียจขนาดไหนกันนะ…
แต่ตัวเลข 168+665 ทําให้ผมสนใจมากทีเดียว ตัวเลขข้างหลังผมยังเข้าใจได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ถูกผนึก แต่ตัวเลขข้างหน้า…หรือว่าเอลฟ์บนโลกนี้จะมีชีวิตยืนยาว
“ข้าชื่อว่าบริแอน สโนว์มันสเตอร์! เรียกข้าว่าบริแอนไม่ก็มิสสโนว์มันสเตอร์ อย่าเรียกข้าว่าองค์หญิงสโนว์ไวท์อีก!”
“ได้ๆๆ”
ผมตอบพลางพยักหน้า
“ถ้างั้น มิสสโนว์มันสเตอร์ คุณรู้ไหมว่าพวกเราจะออกจากที่นี่ได้ไง”
“….”
เธอ ถอนหายใจ แล้วชี้ไปข้างล่าง
“ข้างล่าง มีอะไรเหรอ”
ผมถามอย่างระมัดระวัง
“ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยบอกแล้ว ว่าที่นี่เป็นส่วนในของรอยร้าวแห่งน้ำแข็ง และที่จริงข้างใต้พวกเราคือใจกลางรอยร้าวแห่งน้ำแข็ง เราก็เพียงแค่อยู่บนเกาะเล็กๆ ที่ล่องลอยไปบนกระแสของธาตุที่เกิดในรอยร้าวเท่านั้น หากพวกเราจะออกไป ก็ต้องปลดเวทจํากัดการบินที่ใจกลางข้างใต้นั่นก่อน”
พูดจบ เธอก็กางปีกข้างหลังเธอ
ปีกสองคู่ คู่หนึ่งดูเหมือนปีกของแมลง ซึ่งคงเป็นปีกเอลฟ์ ส่วนปีกอีกคู่เป็นปีกผลึกคริสตัลที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ
หรือมันคือปิกน้ำแข็งในตํานาน สกิลสายน้ำแข็งของเธอสามารถอัญเชิญปิกน้ำแข็งได้แล้วงั้นเหรอ
“สวยจัง…”
แม้แต่อาร์ย่าที่อยู่ข้างๆ ก็อดชื่นชมไม่ได้
“ขอบใจ แม้เจ้าเป็นมนุษย์ แต่ขอเพียงความสามารถสายเพลิงไปถึงระดับหนึ่ง ก็สามารถใช้ปีกเพลิงได้เช่นกัน”
“จริงเหรอ!”
แววตาอาร์ย่าเป็นประกายกว่าปกติในทันที
แหม คุณไม่ควรกระตุ้นความปรารถนาของเธอเลย อีกหน่อยเธอคงอัพเลเวลเป็นบ้าเป็นหลังแน่
มิสสโนว์มันสเตอร์ดื่มชาแล้วพูดต่อ
“ที่จริงบนโลกนี้ไม่มีเวทจํากัดการบิน แต่เมื่อพวกเราอยู่ที่นี่จะไม่มีร่างกายที่แท้จริงของเราและร่างกายที่แท้จริงของพวกเจ้าคงเหมือนกับข้า ที่ถูกน้ำแข็งผนึกอยู่ในนรุกเยือกแข็ง ที่พวกเราเข้ามาได้ก็เป็นเพียงวิญญาณของเราเท่านั้น ส่วนเวทจํากัดใต้ล่างก็บังคัลไม่ให้วิญญาณของเราบินได้ แม้พวกเราจะมีปีกก็ไม่มีประโยชน์”
“อย่างนี้นี่เอง”
เป็นแค่วิญญาณเหรอ แต่ความรู้สึกตอนนี้ดูไม่เหมือนของปลอมเลย ผมรู้สึกเหมือนตอนอยู่ข้างนอกเลย…
“เอาละ งั้นตอนนี้พวกเราจะไปที่การผนึกใต้ล่างยังไง”
“โดดลงไป”
“นี่ อย่ามองข้าแบบนั้นสิ ข้าพูดความจริง ตอนนี้พวกเราอยู่ในสภาวะวิญญาณ แม้โดดลงไปก็ไม่ตาย เว้นแต่จะได้รับการโจมตีตอนอยู่ที่นี่ ไม่งั้นพวกเราก็จะไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เอ๋ พวกเจ้าทําไมถึงทําหน้าตาเศร้าโศกกันล่ะ”
“เพราะว่าพวกเราร่วงลงมาที่นี่ไง”
พวกผมก็ดิ้นรนกลางอากาศอยู่ตั้งนาน ทําไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ
“แต่ทําไมคุณไม่ทําลายเครื่องมือจํากัดนั้นล่ะ”
“เพราะข้าสะเดาะกลอนไม่เป็น”
ผมกับอาร์ย่ามองหน้ากัน
“คุณกําลังบอกว่าเครื่องมือจํากัดที่ดูเหมือนเป็นเวทมนตร์สุดยอดนี้ใช้กุญแจไขได้งั้นเหรอ!”
“ใช่สิ มันคือกลอนเวทมนตร์ จะสับอย่างไรก็สับไม่ออก”
“เอาละ ผมเข้าใจสถานการณ์แล้ว”
จากนั้นผมก็มองอาร์ย่า
“เธอมั่นใจในการงัดแงะไหม”
“ขอแค่มันเป็นแม่กุญแจ ฉันก็งัดได้”
“งั้นก็ดี พวกเราออกเดินทางกันเถอะ”
“ยังมีอีกอย่าง!”
จู่ๆ มิสสโนว์มันสเตอร์ก็ตะโกน
“พวกเจ้าจําได้ไหมว่าเข้ามานานแค่ไหน”
“เอ่อ…ไม่แน่ใจครับ มีอะไรเหรอ”
“ในเมื่อพวกเจ้าเข้ามาแล้ว ตราผนึกก็คงถูกปลดไปส่วนหนึ่งแล้ว และคนภายนอกก็คง”
มุมมองที่สาม
ใขณะเดียวกัน
ข้างแท่นบูชาขนาดใหญ่ ผู้เฒ่าที่ชื่อว่า “บีฟอร์ดอว์น” กับจักรพรรดิอาณาจักรเอสก็กําลังยืนอยู่
มองตรงกลางแท่นบูชาที่มีไฟเย็นลุกไหม้อยู่นาน จู่ๆ ผู้เฒ่าก็เอ่ยปากพูด
“อย่างมากก็รออีกวัน หากพวกเขาออกมาไม่ได้ พวกเราคงทําได้เพียงเปิดแท่นบูชา แล้วผนึกพวกเขาไว้ด้วยกัน”
“อืม รออีกสักวันเถอะ หากไม่ถึงที่สุด ก็อย่าแตะต้องตราผนึกเลย เจ้าก็รู้ว่าองค์หญิงของข้า..”
“ฮ่าๆๆ ข้ารู้ๆ องค์หญิงกลับมาได้ยาก ข้าก็ไม่อยากทําเรื่องที่ทําให้นางเสียใจหรอก”
ผู้เฒ่าฉีกยิ้ม จากนั้นก็สํารวมท่าทาง
“แต่ว่า หากเพื่อนองค์หญิงกลับมาไม่ได้หลังจากหนึ่งวัน ข้าก็จําเป็นต้องเปิดตราผนึกของแท่นบูชาเพื่อชีวิตของทุกคนในเมืองหลวง ถึงตอนนั้น ท่านโปรดปลอบใจองค์หญิงด้วยจะได้ไหม”
“…”
จักรพรรดิขมวดคิ้ว หันหน้ามองเมืองหลวงที่อยู่ด้านล่างของแท่นบูชา ก็ถอนหายใจ
“หวังว่าเรื่องเช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้น ไม่งั้น นางคงเกลียดข้าไปตลอดชีวิต”
“ก็แค่ตลอดชีวิต แต่ข้าน่ะหลายชีวิตแล้ว”