ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 27
หลังจากที่จ้าวหยางหลงและจางโม่ลี่นั่งประจำที่ผู้เป็นประมุขก็เป็นฝ่ายเริ่มงานเลี้ยงต้อนรับทันที มีการพูดคุยไถ่ถามถึงจากเดินทาง ตลอดที่มีการพูดคุยมือหนาคอยจับมือบางที่เย็นเฉียบของภรรยาอย่างให้กำลังใจเขาสังเกตได้ว่าฮูหยินหงและภรรยาตัวน้อยของเขาต่างลอบมองหน้ากันและกันและมีพูดคุยกันบ้าง
“ไม่ทราบว่าฮูหยินหงถูกใจอาหารที่ข้าจัดเตรียมไว้ให้หรือไม่เจ้าคะ” จางโม่ลี่เอ่ยถามขณะที่บุรุษต่างคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
“อร่อยมากข้าไม่เคยกินอาหารที่อร่อยเยี่ยงนี้เลย ไม่ทราบว่าแม่นางไปเรียนอาหารจากที่ใดหรือ”
“ฮูหยินหงเรียกข้าว่าลี่เอ๋อร์ก็ได้เจ้าค่ะ นามของข้าคือโม่ลี่เป็นเด็กกำพร้าเดินทางเร่ร่อนไปทั่ว ชั่วชีวิตหนึ่งข้าเจอกับพ่อครัวผู้มีพระคุณที่ให้ความเมตตาและเอ็นดูถ่ายทอดความรู้ด้านอาหารให้เจ้าค่ะ” โม่ลี่เป็นผู้ตอบคำถามพลางคิดถึงลุงฮัว นางมิได้รู้ตัวเลยว่าบทสนทนาเมื่อครู่นี้ทำเอาแขกทั้งสามชะงักไปครู่หนึ่ง แต่อีกหนึ่งสตรีที่นั่งข้างฮูหยินหงกับส่งแววตาเหยียดหยามออกมาแวบหนึ่งก่อนจะจางหายไป
“ตายจริง ฮูหยินจ้าวช่างน่าสงสารยิ่งนักเป็นกำพร้าไร้บิดามารดาเป็นที่พิง อีกทั้งสตรีตัวคนเดียวยังออกเดินทางเร่ร่อนไปทั่วช่างน่าเห็นใจนัก” เสียงแสร้งดัดให้เศร้าสร้อยเอ่ยออกมาอย่างเห็นใจ
จ้าวหยางหลงรู้สึกได้ว่าคำพูดของนางแฝงเป็นนัยเชิงตำหนิตามหลักสตรีห้องหอที่ควรมี ใบหน้ามืดครึ้มจนคนข้างตัวสัมผัสได้ จางโม่ลี่ต้องบีบมือห้ามไว้เสียก่อนและส่งยิ้มบางๆ ว่านางไม่เป็นอะไร
“เจียวเอ๋อร์อย่าเสียมารยาท” หงฮุ่ยเจินเอ่ยปรามเสียงเข้มกับคำพูดที่ดูเสียมารยาท
“ฮูหยินจ้าวข้าขออภัยแทนนางด้วย นางยังเด็กมิรู้ความขอฮูหยินเมตตาอย่าได้ใส่ใจ” หงฮุ่ยเจินหันไปเอ่ยสตรีตรงหน้าที่คล้ายกับมารดาเขา
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะคุณชายอย่าได้คิดมาก ข้ามิคิดถือสาด้วยรู้ว่าอะไรควรใส่ใจและอะไรไม่ควรนำมาใส่ใจ” จางโม่ลี่เอ่ยตอบกับหงฮุ่ยเจิน ทำเอาจ้าวหยางหลงที่นั่งอยู่ด้านข้างหันกลับมามองสตรีข้างกาย “นี่ภรรยาตัวน้อยของเขารู้จักตอบโต้คนอื่นด้วยรึ” จ้าวหยางหลงคิดในใจ
ตั้งแต่เดินเข้ามาภายในงานเลี้ยงสตรีนางนี้ก็เอาแต่จับจ้องไปยังสามีนางไม่วางตาและไม่คิดเกรงใจนางผู้เป็นภรรยาของเขาแม้แต่น้อย อีกทั้งกิริยาเปิดเผยโจ่งแจ้งจนน่ารังเกียจนี่รึการกระทำของญาติผู้น้องของนางช่างน่าประทับใจนัก
“ข้าขออภัยฮูหยินจ้าวด้วยเจ้าค่ะ” หงซูเจียวรู้สึกราวกับถูกตบหน้าไม่พอใจกับคำพูดของสตรีนางนั้น ประหนึ่งว่านางมิได้สำคัญจนเอาคำพูดของนางมาคิดและใส่ใจ
“ไม่เป็นไร แต่ข้าขอเตือนเจ้าไว้สักเรื่อง การที่จะพูดสิ่งใดออกมาควรคิดและไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนที่จะพูดออกมา มิฉะนั้นผู้อื่นอาจจะต่อว่าเจ้าและลามไปถึงบิดามารดาของเจ้าได้ว่ามิอบรมสั่งสอนบุตรให้ดี อีกทั้งต่อไปในภายภาคหน้าคำพูดของเจ้าจะนำภัยมาสู่ตนเองในสักวัน” จางโม่ลี่ยิ้มรับคำขอโทษนั้นแม้จะรู้ว่านางมิเต็มใจที่จะขอโทษตนเท่าไร แล้วเอ่ยเตือนสตรีตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา
หลังจากที่ซิ่นหวาฟังนายหญิงจบก็แทบอยากจะกระโดดตบมือรัวๆ ให้นายหญิงของตนทันทีด้วยรู้สึกสะใจ นางไม่คิดว่านายหญิงของตนเอาคืนอีกฝ่ายได้อย่างเฉียบคมสร้างความอับอายให้สตรีนางนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว “เป็นอย่างไรเล่า นางเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน” ซิ่นหวาคิดในใจพลางกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ ระคนแปลกใจที่นายหญิงรู้จักที่จะตอบโต้ผู้อื่น
“ขอบคุณฮูหยินจ้าวที่ตักเตือน ข้าหงซูเจียวจะขอจดจำคำเตือนไว้เจ้าค่ะ” ครานี้หงซูเจียวรู้สึกโดนตบหน้าอย่างแท้จริงนางทั้งอับอายแต่จำต้องกล้ำกลืนความแค้นลงท้องก่อนจะเอ่ยกัดฟันขอบคุณสตรีตรงหน้า
“นี่ก็ยามไฮ่ (21.00-22.59 น.) ข้าว่าพวกท่านควรพักผ่อน พรุ่งนี้หลังจากทานมื้อเช้าข้ามีเรื่องจะปรึกษากับพวกท่านทั้งสามเท่านั้น”
จ้าวหยางหลงมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้รู้ว่าบุคคลทั้งสามมีหน้ากระอักกระอ่วนกับสตรีปากพล่อยที่ขอติดตามมา จึงเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ในตอนนี้แม้จะรู้สึกพอใจที่ภรรยาตัวน้อยรู้จักตอบโต้ผู้อื่นแต่กระนั้นก็จำต้องหยุดพักไว้เสียก่อน โดยไม่ลืมย้ำด้วยน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาตอนท้าย
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าและครอบครัวขอบคุณท่านประมุขและฮูหยินที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับในครั้งนี้” หงฮุ่ยเหยียนตอบและขอบคุณทั้งสอง
“อืม” จ้าวหยางหลงรับคำ
“วันนี้คงเหนื่อยกันมากแล้ว เชิญพวกท่านพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ” จางโม่ลี่ยิ้มอ่อนโยนจนคนทั้งสามถึงกับตะลึงเว้นเสียแต่สตรีอีกนางที่จ้องมองมาอย่างอิจฉาในความงามระคนโกรธแค้นที่โดนหักหน้า
ทุกการกระทำและคำพูดอยู่ในสายตาของซิ่นหวาและพ่อบ้านรวมถึงบรรดาเงาที่เฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา ซิ่นหวาอยากจะเข้าไปตัดลิ้นควักตาสตรีน่ารังเกียจโทษฐานที่กล้าพูดจาล่วงเกินนายหญิง และบังอาจมองท่านประมุขด้วยสายตาเชื่อมหวานน่าสะอิดสะเอียนเต็มทนแต่จำต้องข่มกลั้นไว้
“กรี๊ดดด…นังเด็กกำพร้านั้นมันกล้าดียังไง ถึงกล้าหักหน้าข้าต่อหน้าท่านประมุข” เมื่อกลับมาถึงเรือนรับรองหงซูเจียวก็ระบายความโกรธแค้นออกมา
“คุณหนูใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ หากผู้ใดผ่านมาได้ยินเข้าจะไม่ดีนะเจ้าคะ” ลี่หลินเอ่ยเตือนสติคุณหนูของตน
“ฮึ่ม…คอยดูเถอะข้าจะทำให้ท่านประมุขหลงใหลในตัวข้าจนหัวปักหัวปำ ถึงครานั้นข้าจะจัดการมันให้สิ้นซาก ท่านประมุขจะต้องเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว” หงซูเจียวเอ่ยอยากโกรธแค้น
“ลี่หลินเจ้าไปเอาของสิ่งนั้นมาให้ข้า”
“ตะ…แต่หากมีคนจับได้คุณหนูอาจจะเป็นอันตรายนะเจ้าคะ” ลี่หลินเอ่ยเตือน
“ข้าบอกว่าไปเอามา!!” หงซูเจียวตวาดจนลี่หลินรีบไปหยิบสิ่งที่คุณหนูต้องการ คุณหนูสั่งให้นางซื้อมาตั้งแต่ก่อนที่จะออกเดินทาง
หงซูเจียวมองสิ่งที่อยู่ในมืออย่างพอใจ นางต้องหาโอกาสใช้สิ่งที่อยู่ในมือให้เกิดประโยชน์เร็วที่สุดก่อนที่สกุลหงจะเดินทางกลับ มิเช่นนั้นคงจะไม่มีโอกาสได้ใช้อีกเพราะท่านประมุขไม่นิยมออกไปให้ผู้คนได้พบเจอได้โดยง่าย เห็นนี้งานนี้นางจะพลาดไม่ได้เสียแล้ว ทุกการกระทำตกอยู่ในสายตาหลายสิบคู่ที่จ้องมองนางอย่างรังเกียจปนสมเพชก่อนที่หนึ่งในนั้นจะหายไปเพื่อรายงานทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
ปลายยามเฉิน (07.00-8.59 น.) หลังจากที่ทุกคนรับมื้อเช้าทั้งหมดก็ตามประมุขพรรคมังกรทมิฬเข้าไปยังห้องทำงาน ยกเว้นเพียงหงซูเจียวเท่านั้นที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านใน
“ทุกท่านเชิญนั่ง” จ้าวหยางหลงเอ่ยพลางประคองภรรยานั่งข้างตนอย่างนุ่มนวล
“ไม่ทราบว่าท่านประมุขต้องการสนทนากับพวกเราทั้งสามด้วยเรื่องใด” หงฮุ่ยเจินเอ่ยถาม
“ข้าจะไม่อ้อมค้อม เรื่องบุตรีที่หายสาบสูบไปของท่าน” จ้าวหยางหลงเอ่ย ก่อนจะมองทุกคนที่กำลังนิ่งค้างมองภรรยาของเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ทะ…ท่านประมุขอย่าบอกนะวะ…ว่า” หงเหมยหลิวเอ่ยถามหลังจากที่ได้สตินางเอามือกุมตำแหน่งหัวใจที่กำลังเต้นระรัวของตนไว้แน่น เพราะด้วยใบหน้าของสตรีผู้เป็นฮูหยินของประมุขผู้มีชื่อเสียงทำให้นางและสามีรวมถึงบุตรชายนอนไม่หลับทั้งคืนเช่นกัน
“เป็นดั่งที่พวกท่านคิด เพียงแต่ต้องรบกวนฮูหยินหงพิสูจน์ว่าลี่เอ๋อร์เป็นบุตรีของท่านจริงหรือไม่” จ้าวหยางหลงเอ่ยและพยักหน้าให้สตรีข้างกายที่กำลังยิ้มแย้มแต่ทว่ามือบางกับสั่นเทา มือหนาจึงลูบมือบางอย่างให้กำลังใจ
“รบกวนฮูหยินหงแล้ว เชิญตามข้ามาด้านในเจ้าค่ะ” โม่ลี่เอ่ยเชิญคนตรงหน้าโดยมีซิ่นหวาเป็นผู้ประคองร่างอวบอิ่มเดินนำไปยังด้านในที่มีฉากกั้นวางไว้ หงเหมยหลิวได้ยินดังนั้นก็รีบสืบเท้าก้าวตามไปทันทีอย่างตื่นเต้น ทิ้งให้บุรุษทั้งสองสกุลหงอดที่จะมองตามอย่างตื่นเต้นมิได้
หงซูเจียวสบโอกาสนี้ทำทีเป็นเดินเล่นพลางลอบสำรวจเรือนต่างๆ เพื่อหาโอกาสที่จะเข้าใกล้จ้าวหยางหลง โดยมีพ่อบ้านม่านเป็นผู้นำทางและเป็นผู้ตอบคำถาม จนมาหยุดที่เรือนเจียวอ้าย
“ท่านพ่อบ้านนี่เป็นเรือนผู้ใดหรือเจ้าคะ ช่างดูสวยงามอีกทั้งบรรยากาศภายนอกดูสวยงามร่มรื่นน่าอยู่นัก” หงซูเจียวแสร้งถามพ่อบ้านม่าน พลางมองไปศาลาดอกไม้ที่ส่วนมากมีแต่ดอกโม่ลี่จนรู้สึกอิจฉาริษยานางผู้นั้นยิ่ง
“นี่เป็นเรือนของท่านประมุขและนายหญิงขอรับ” พ่อบ้านม่านตอบอย่างจำใจ แม้จะไม่ชอบสตรีนางนี้แต่ก็ขัดคำสั่งท่านประมุขไม่ได้
เมื่อคืนเขาได้รับคำสั่งจากท่านประมุขโดยตรงว่าหากสตรีนางนี้ต้องการสิ่งใดหรืออยากรับรู้สิ่งใดก็ให้นางรับรู้อย่าได้ขัดขวาง ในคราแรกที่ได้ยินก็ตกใจเพราะคิดว่าท่านประมุขพึงพอใจสตรีนางนี้ แต่ทว่าหากมองดูดวงตาคมให้ดีกลับพบว่ามันเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิตไม่น้อยก็ให้รู้สึกเบาใจ
“อืม มิน่าเล่าถึงได้สวยและน่าอยู่นัก เพียงแต่เสียอย่างเดียวเท่านั้น”
“อะไรหรือขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยถามอย่างสงสัย
“น่าจะปลูกดอกอิงฮวา (ซากุระ) หรือดอกเหมยกุ้ย (กุหลาบ) น่าจะเหมาะสมกว่าดอกโม่ลี่ที่กลิ่นออกจะรุนแรงไปสักหน่อย” หงซูเจียวเอ่ยตอบถามพ่อบ้านโดยไม่ลืมที่จะยกมือขึ้นปิดจมูกอย่าเสแสร้ง
“ข้าจำได้ว่าดอกโม่ลี่นี้ท่านประมุขเป็นผู้ลงมือปลูกเอง หลังจากที่พบกับนายหญิงที่หมู่บ้านฟงอวี้ ในยามที่ท่านประมุขกลับมาก็มักจะมาที่นี่เพื่อสูดดมความหอมสดชื่นของดอกโม่ลี่เพื่อคลายความคิดถึงยามที่ต้องอยู่ไกลจากนายหญิงที่ยังมิได้ตบแต่งเข้ามา” พ่อบ้านม่านตอบหงซูเจียวที่กำลังพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“เช่นนั้นเองหรือ หากสตรีในใต้หล้ารับรู้คงจะอิจฉาฮูหยินจ้าวไม่น้อยที่ท่านประมุขทั้งรักและหลงใหลในตัวนางเช่นนี้” หงซูเจียวเอ่ยอย่างข่มความไม่พอใจ เหตุใดบุรุษผู้นั้นถึงได้เอาสตรีไม่มีหัวนอนปลายเท้าขึ้นมาเป็นฮูหยินเอกออกหน้าออกตาเยี่ยงนี้ หากเขาได้พบเจอนางก่อนไม่แน่ว่าเขาอาจจะพึงพอใจนางเป็นแน่ พลางคิดถึงยามที่ตนได้สบตาคมเมื่อวานก็อดที่จะหน้าแดงใจเต้นมิได้
ภายในฉากกั้นมีซิ่นหวาทำหน้าที่คลายปมผูกเอวเล็กน้อยอยู่ด้านข้างของนายหญิงที่ยืนหันหลังให้หงเหมยหลิวพิสูจน์หลักฐานที่เป็นตัวชี้ว่านางคือบุตรีที่หายไปจริงหรือไม่ มืออันสั่นเทาค่อยๆ เลิกอาภรณ์ลงเผยให้เห็นบริเวณไหล่ด้านหลังข้างซ้ายปรากฏปานแดงรูปดอกโม่ลี่
หงเหมยหลิวตกใจเบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้เห็นน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองราวกับเขื่อนแตก หัวใจบีบรัดเต้นกระหน่ำด้วยความปีติดีใจที่สุดในชีวิต ด้วยไม่คิดว่าชาตินี้จะได้พบเจอกับบุตรีที่หายไปกว่า 20 ปีที่ตนห่วงหามาโดยตลอด แขนบางหมุนตัวสตรีที่ยืนหันหลังให้ตนมาเผชิญหน้าก่อนจะตวัดแขนโอบกอดร่างบางที่แสนรักแสนคิดถึงใจแทบขาด
“เป็นเจ้าฮือ…เป็นเจ้าจริงๆ ลี่เอ๋อร์ลูกรักของแม่ฮือ…” หงเหมยหลิวทั้งเอ่ยทั้งร้องไห้อย่างไม่อายใครกำชับกอดร่างบางไว้แน่นจนโม่ลี่อดที่จะตกใจไม่ได้
“อย่าร้องเลยเจ้าค่ะท่านแม่” จางโม่ลี่ปล่อยให้มารดากอดจนพอใจ แล้วจึงดันตัวออกพลางยกมือปาดน้ำตาให้มารดาของอ่อนโยน
“ในที่สุดแม่ก็ได้พบกับเจ้าเสียที แม่ขอโทษที่ดูแลเจ้าไม่ดีทำให้เจ้ากลายเป็นกำพร้าตกระกำลำบาก” หงเหมยหลิวเอ่ยพลางลูบใบหน้างามนั้นอย่างถนอม
“ท่านแม่อย่าได้โทษตัวเองเช่นนั้น เราไปหาท่านพ่อและท่านพี่เถิดเจ้าค่ะ” จางโม่ลี่ยิ้มและเอ่ยกับพูดเป็นมารดา
หลังจากที่สตรีทั้งสองหายเข้าไปด้านในก็ผ่านมาเกือบหนึ่งเค่อ (ราว 15 นาที) แล้วบรรยากาศยังคงเงียบมิได้มีการพูดกันแต่อย่างใด บุรุษที่เป็นแขกทั้งสองคนกลับรู้สึกนั่งไม่ติดคิดเห็นตรงกันว่าเหตุใดจึงหายเข้าไปยาวนานนัก อีกทั้งยังทรมานจิตใจมิใช่น้อยพวกเขาต่างหวังว่าคำตอบที่จะได้รับมาจะเป็นดั่งที่พวกเขาคิด
ทุกสิ่งหยุดชะงักลงเมื่อสตรีที่หายไปกลับเข้ามาด้วยใบหน้าที่แย้มยิ้ม หงฮุ่ยเหยียนและหงฮุ่ยเจินมองภรรยาและมารดาตนออกมาด้วยดวงตาแดงช้ำเหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหัวใจทั้งคู่บีบรัดจนหายใจแทบไม่ออก ก่อนจะเห็นฮูหยินหงประคองร่างบางที่งดงามดั่งเทพเซียนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา
“ท่านพี่…เจินเอ๋อร์…ในที่สุดข้าก็เจอบุตรีของเราและน้องสาวของเจ้าแล้ว” หงเหมยหลิวเอ่ยกับสองคนตรงหน้าที่ยังคงอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน
“จะ…จริงรึ…เป็นนางจริงๆ ใช่ไหม” หงฮุ่ยเหยียนเอ่ยอย่างตื่นเต้นอีกทั้งจ้องมองร่างบางอีกครั้ง
“จริงเจ้าค่ะ” สิ้นสุดคำพูดของฮูหยิน หงฮุ่ยเหยียนโอบกอดทั้งบุตรีและฮูหยินไว้ในอ้อมแขนแกร่งทันที น้ำตาบุรุษหยดแล้วหยดเล่ารินไหลออกมาไม่ขาดสายแทนความรักและห่วงหาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา หงฮุ่ยเจินมองภายนั้นอย่างซาบซึ้งและประทับใจ
“ท่านพ่อจะกอดน้องน้อยของข้าอีกนานหรือไม่” หงฮุ่ยเจินอดที่จะพูดออกมามิได้เมื่อบิดามิยอมไปน้องน้อยของเขาเสียที หงฮุ่ยเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็จำต้องปล่อยให้นางได้พบพี่ชาย หงฮุ่ยเจินเห็นเช่นนั้นก็โอบกอดน้องน้อยความรักความคิดถึง
“ลี่เอ๋อร์เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา พี่และพ่อออกตามหาเจ้าเสียจนทั่วก็ไม่พบ” หงฮุ่ยเจินโอบกอดน้องน้อยลูบศีรษะนางแผ่วเบาเอ่ยบอกน้องน้อยของตนในอ้อมแขน
“แฮ่ม…ลี่เอ๋อร์ยืนนานเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพ พี่ว่าเรามานั่งคุยกันก่อนเถิด” จ้าวหยางหลงรู้สึกซาบซึ้งใจกับภาพตรงหน้าที่ภรรยาเพียงหนึ่งเดียวได้พบเจอกับครอบครัว แต่ทว่าใบหน้ากลับมืดครึ้มตรงข้ามกับความรู้สึกเมื่อเห็นบุรุษทั้งสองโอบกอดภรรยาของเขาอย่างไม่คิดเกรงใจจนต้องกระแอมออกมาเพื่อเรียกสติ
หงฮุ่ยเจินได้ยินเสียงขัดก็มองไปทางต้นเสียงนั้นก็พบเข้ากับใบหน้าของผู้เป็นประมุขที่กำลังจ้องมองมายังเขาด้วยใบหน้ามืดครึ้มจนต้องรีบปล่อยน้องน้อยอย่าลืมตัว
“เจ้าค่ะ” จางโม่ลี่ที่เห็นดังนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับคนขี้หวง ปาดน้ำตาก่อนจะเดินไปหาจ้าวหยางหลงโดยมีซิ่นหวาเป็นผู้ประคองไม่ห่าง
“ท่านประมุขไม่ทราบว่าลี่เอ๋อร์เป็นอะไรหรือ” หงเหมยหลิวเอ่ยถามทันทีที่ได้ยินคำพูดที่ออกจากปากลูกเขย
“นางมิได้เป็นอันใด เพียงแต่ลี่เอ๋อร์นั้นกำลังตั้งครรภ์แฝดอยู่ทำให้ต้องคอยระวังอย่างยิ่งขอรับท่านแม่ยาย” จ้าวหยางหลงเอ่ยตอบสตรีตรงหน้าโดยเปลี่ยนคำเรียกจากฮูหยินหงมาเป็นแม่ยายอย่างเปิดเผยเมื่อความจริงได้กระจ่าง
“ห๊ะ!!…” ทั้งสามเอ่ยตกใจพร้อมเพรียงกัน ตอนนี้ความรู้สึกกำลังสับสนปนเปไปเสียหมดทั้งดีใจที่ได้พบเจอบุตรีและน้องสาว ตกใจที่กำลังจะเป็นตาเป็นยายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เสียใจที่ไม่ได้ดูแลบุตรีและน้องสาวทั้งที่เจอนางแล้วแต่ทว่านางกลับชิงแต่งงานไปเสียก่อน
“ข้าให้คนจัดเตรียมของว่างไว้ที่ศาลาริมน้ำเรียบร้อยแล้ว ลี่เอ๋อร์พาบิดามารดาและพี่ชายของเจ้าไปคุยกันเถิด พี่มีธุระต้องไปสะสางเสียหน่อย ซิ่นหวาดูแลน้อยหญิงของเจ้าให้ดี” จ้าวหยางหลงบอกผู้เป็นภรรยาก่อนจะกำชับซิ่นหวาเสียงเข้ม
“เจ้าค่ะท่านประมุข” ซิ่นหวารับคำ
“ท่านพี่ไปทำงานเถิด มิต้องห่วงลี่เอ๋อร์หรอกเจ้าค่ะ” จางโม่ลี่เอ่ยกับสามีของนางให้คลายกังวล จ้าวหยางหลงได้ยินเช่นนั้นก็จุมพิตหน้าผากมนก่อนจะเหลือบมองไปยังบุรุษทั้งสองที่นั่งอยู่ภายในห้องด้วยสายตาเหนือกว่า
“ท่านพ่อตาแม่ยายพี่ภรรยา ข้าขอตัวก่อน” จ้าวหยางหลงเอ่ยกับคนตรงหน้าและเดินออกไปทันที
หงฮุ่ยเหยียนและหงฮุ่ยเจินมองตามผู้เป็นบุตรเขยและน้องเขยอย่างรู้สึกหมั่นไส้มิได้ สร้างความขบขันให้กับสตรีทั้งสามที่ลอบมองอยู่ก่อนแล้ว ซิ่นหวาและฮูหยินหงประคองร่างอิ่มเดินไปยังศาลาที่ประมุขพรรคจัดเตรียมไว้ให้เพื่อครอบครัวจะได้เอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบกันอย่างเต็มที่
“ลี่เอ๋อร์ที่ผ่านมาเจ้าคงลำบากไม่น้อยใช่หรือไม่” หงเหมยหลิวถามบุตรีของตนสองมือยังคงกุมมือบางไว้ไม่ปล่อย
“ลูกไม่ลำบากเลยเจ้าค่ะท่านแม่อย่าได้กังวล” โม่ลี่ตอบพลางยิ้มอ่อนโยนเผื่อแผ่ไปยังบุรุษอีกสองคนที่รับฟังอยู่
“พ่อขอโทษที่ดูแลเจ้าไม่ดีพอ ปล่อยให้เจ้าหายตัวไประหกระเหินเดินทางร่อนเร่ไปทั่ว” หงฮุ่ยเหยียนเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“ท่านพ่อท่านแม่อย่าได้โทษตัวเองเลยเจ้าค่ะ หากวันนั้นท่านไม่นำตัวลูกไปซ่อนไว้จากคนชั่วพวกนั้น ก็คงเป็นเราทั้งสามที่ต้องพลาดพลั้งให้แก่น้ำมือศัตรู”
“เจ้ารู้?” หงฮุ่ยเจินถามอย่างสงสัย
“น้องรู้ทุกเรื่อง พี่หลงเล่าให้น้องฟังหมดแล้วเจ้าค่ะ และสืบทราบจนรู้แน่ชัดว่าเป็นฝีมือของผู้ใด” โม่ลี่ตอบ
“มันเป็นผู้ใด?” บุรุษทั้งสองเอ่ยถามพร้อมกันด้วยความสงสัย
“เรื่องนี้พี่หลงจะเล่าให้ท่านพ่อและพี่ใหญ่ฟังเองเจ้าค่ะ” โม่ลี่ยังคงเป็นผู้ตอบคำถาม
“อืม…แล้วเจ้าพบกับท่านประมุขได้อย่างไร” หงฮุ่ยเจินรับคำและเอ่ยถาม
หลังจากนั้นจางโม่ลี่ก็เล่าทุกอย่างให้คนทั้งสามฟังอย่างละเอียด แม้กระทั่งเรื่องที่นางเป็นหลานสาวบุญธรรมของสองตายายสกุลจาง คนทั้งสามจึงตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะไปพบผู้มีพระคุณทั้งสองเพื่อขอบคุณที่ดูแลบุตรีและน้องสาวของเขาอย่างดีมาโดยตลอด