ดวงใจประมุขมาร - ตอนที่ 28
จ้าวหยางหลงนั่งอยู่ในห้องทำงานด้วยท่าทีเรียบเฉย กำลังฟังเงาที่ติดตามความเคลื่อนไหวสตรีที่ขอเดินทางติดตามมาตั้งแต่ต้นจนจบ ก่อนจะเหยียดยิ้มสมเพชให้กับแผนการชั้นต่ำไร้ยางอาย มิรู้ว่าสกุลหงสายรองเลี้ยงบุตรีอย่างไรหรือเพราะได้สายเลือดของมารดาที่ถ่ายทอดมา นางถึงได้กล้ากระทำตนเป็นหญิงแพศยายิ่งกว่าหญิงคณิกาแถวชายแดนเยี่ยงนี้
“จะให้ทำอย่างไรต่อไปขอรับท่านประมุข”
“จับตาดูนางไว้ให้ดี ยังไม่ต้องลงมือทำอะไรหากข้าไม่ได้สั่ง”
“ขอรับ”
หงซูเจียวยังคงเดินชมบรรยากาศไปเรื่อยจนกระทั่งเดินไปถึงยังศาลาที่มีคนคุ้นเคยและสตรีที่นางรู้สึกเกลียดชังและอิจฉานั่งคุยกันอยู่อย่างสนิทสนมก็นึกสงสัยจึงเร่งฝีก้าวไปยังศาลาริมน้ำนั้นทันที
“กำลังคุยอะไรกันหรือเจ้าคะ” หงซูเจียวเอ่ยถาม
“เจียวเอ๋อร์ ป้ามีข่าวดีอยากบอกเจ้าอยู่พอดี” หงเหมยหลิวเอ่ย
“ข่าวดีอันใดหรือเจ้าคะ” ซูเจียวถามอย่างสงสัยเหตุใดสตรีตรงหน้าและทุกคนจึงดูอารมณ์ดีอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“หึหึ…ข่าวดีที่สุดสำหรับพวกเราก็คือการได้พบบุตรีและน้องสาวที่พลัดพรากกันไปนานอย่างไรเล่าเจียวเอ๋อร์” หงฮุ่ยเจินเอ่ยกับสตรีตรงหน้าที่ตนรู้สึกชิงชังกับตัวตนที่แท้จริงของนาง พลางรู้สึกสะใจไม่ได้เพราะความหวังที่นางต้องการเป็นบุตรีบุญธรรมของท่านพ่อและท่านแม่ตามแผนที่วางไว้ของบิดานางมิได้สมหวังดั่งใจคิด
“มันเรื่องอันใดกันเจ้าคะ ท่านป้า ท่านพี่ฮุ่ยเจินข้างงไปหมดแล้ว” เจียวหันไปทางฮูหยินหงและฮุ่ยเจินอย่างต้องการคำตอบ
“มานั่งลงก่อนเถิดป้าจะได้เล่าให้เจ้าฟัง” หงเหมยหลิวเอ่ยเรียกอีกฝ่ายให้มานั่งข้างนาง และบอกกล่าวความจริงที่ตนและครอบครัวเพิ่งจะทราบเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนให้หงซูเจียวรับรู้
หงซูเจียวตกใจเบิกตากว้างพลางสำรวจใบหน้าสตรีอีกนางอีกครั้งก็พบว่านางคล้ายกลับเหมยหลิวแต่งามกว่าสองถึงสามส่วนเห็นจะได้ก็ให้เกิดความอิจฉาริษยาโกรธแค้นขึ้นไปอีก ด้วยตั้งแต่มาถึงยังพรรคมังกรทมิฬนางมิเคยสนใจเพราะมัวแต่คิดถึงใบหน้าของผู้เป็นประมุขเพียงอย่างเดียว
เมื่อก่อนนางไม่เคยคิดใส่ใจคำพูดของมารดาที่เอาแต่พร่ำเพ้อถึงแต่ความหลัง อีกทั้งยังจงเกลียดจงชังหงเหมยหลิวนักหนา แต่ครานี้นางรู้แล้วว่าเหตุใดมารดาจึงเป็นเช่น ก็เพราะใบหน้างดงามดั่งจิ้งจอกนี้ใช่หรือไม่ที่กำลังแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากนาง อีกทั้งยังครอบครองบุรุษที่สตรีในใต้หล้าปรารถนาจะยืนอยู่เคียงข้าง ดวงตาที่เต็มไปด้วยความริษยาจ้องมองสตรีนางนั้นด้วยความโกรธแค้นอีกเท่าทวีก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติ แต่ก็ไม่พ้นสายตาของสตรีที่ยืนอยู่ด้านหลังนายหญิงเพื่อคอยดูแลความปลอดภัยและปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายที่จ้องมองตั้งแต่หงซูเจียวเดินเข้ามาภายในศาลา
“ยินดีกับท่านลุงท่านป้าและท่านพี่ฮุ่ยเจินด้วยเจ้าค่ะ ที่ได้พบกับบุตรีและน้องสาวที่พรากจากกันเสียที” ซูเจียวเอ่ยอย่างยินดีแต่ทว่าใจจริงนั้นแทบจะกระอักเลือด เพราะทุกอย่างพลาดจากแผนการที่บิดาวางไว้ เห็นทีต้องเร่งใช้แผนสำรองที่นางเพิ่งคิดขึ้นได้ไม่นานเสียแล้ว
“ข้าหงซูเจียวญาติผู้น้อง ยินดีที่ได้พบพี่สาวเจ้าค่ะ” หงซูเจียวหันมาเอ่ยยินดีกับการได้พบกับญาติผู้พี่ของตนด้วยรอยยิ้มแสนหวาน
“ยินดีที่ได้พบเจ้าเช่นกัน” โม่ลี่ยิ้มรับและตอบกลับอีกฝ่ายเช่นกัน
หลังจากที่ทักทายกันเรียบร้อยคนทั้งห้าก็พูดคุยถามไถ่เรื่องทั่วไป ก่อนที่บทสนทนาจะถูกหงเหมยหลิวเป็นผู้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียวด้วยเอ่ยถึงการดูแลตนเองและอาหารการกินในช่วงตั้งครรภ์บุรุษทั้งสองจึงได้แต่รับฟัง ต่างจากหงซูเจียวที่เริ่มมองเห็นโอกาสที่จะได้เข้าใกล้ประมุขจ้าวหยางหลงก็อดยกยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ไม่ได้
“นี่ก็ใกล้ยามอู่ (11.00-12.59 น.) แล้ว ลูกจะไปดูเสียหน่อยว่าวันนี้พ่อครัวทำอาหารอันใดไว้บ้าง” โม่ลี่เอ่ยเมื่อใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวัน
“นั้นเป็นงานของบ่าวไพร่ เหตุใดพี่หญิงจึงต้องไปดูด้วยตัวเองเจ้าคะ” หงซูเจียวเอ่ยถาม
“พี่ชอบที่จะทำอะไรด้วยตนเองเสมอ”
“จริงสิข้าลืมไปว่าพี่หญิงออกเดินทางเร่ร่อนมาก่อนเรื่องแค่นี้คงมิได้นักหนาอันใดนัก อุ๊ย…ขออภัยเจ้าค่ะ” หงซูเจียวไม่ลืมที่จะกระแนะกระแหนสตรีตรงหน้าทันทีก่อนจะแสร้งสะดุ้งตกใจเมื่อรู้ว่าตนพูดจาไม่น่าฟัง
“เจ้า…” เสียงของหงฮุ่ยเจินดังขึ้นอย่างไม่พอใจกำลังจะเอ่ยตำหนิ แต่ทว่าเสียงหวานใสกังวานก็ดังขึ้นเสียก่อน
“มิเป็นไรข้าไม่ถือ ข้าเข้าใจว่าเจ้าอายุยังน้อยความคิดความอ่านจึงมิแตกฉาน อีกทั้งเมื่อวานพี่สาวได้กล่าวตักเตือนเจ้าไปแล้วแต่เจ้ายังคงหลงลืม เอาเป็นว่าพี่จะรีบเข้าครัวปรุงข้าวผัดแปะก๊วยเพื่อบำรุงสมองให้เจ้าดีหรือไม่” โม่ลี่ตอบทั้งที่ยังยิ้มหวานให้สตรีอีกนาง
หลังจากที่สกุลหงสายหลักและซิ่นหวาที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ ได้ฟังจนจบ บางคนแสร้งก้มหน้าบางคนแสร้งหันไปทางอื่นเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะมิให้เล็ดลอดออกมาก็รู้สึกสะใจและขบขันยิ่งนัก
“เอ่อ…รบกวนพี่หญิงแล้ว งั้นให้น้องไปด้วยนะเจ้าคะ” หงซูเจียวรู้สึกอับอายที่นางถูกสตรีตรงหน้าตอบโต้กลับถึงสองครั้งสองคราแต่ก็ไม่สามารถทำอันใดได้ “ให้ข้าได้เป็นฮูหยินรองก่อนเถอะ เจ้าและลูกในท้องข้าจะกำจัดให้สิ้นซาก” หงซูเจียวคิดในใจลอบกำมือชายเสื้อไว้แน่น
“อืม…หากอาหารเสร็จเรียบร้อยลูกจะให้ท่านพ่อบ้านไปตามนะเจ้าคะ”
“ให้แม่ไปด้วยดีหรือไม่” เหมยหลิวและครอบครัวเห็นพ้องต้องกันว่าไม่อยากให้ซูเจียวอยู่กับบุตรีและน้องสาวตามลำพังถึงแม้จะมีสาวใช้อยู่ข้างกายแต่ก็ไม่อาจวางใจได้ หากรู้แต่แรกนางจะมิยอมให้หงซูเจียวติดตามมาด้วยเด็ดขาด
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ลูกมีพี่ซิ่นหวาคอยดูแลอยู่แล้วพวกท่านวางใจเถิด”
“เช่นนั้นก็ระวังตัวด้วย”
“เจ้าค่ะ ลูกขอตัวก่อน” หลังพูดจบซิ่นหวาก็รีบเขามาประคองนายหญิงของตนทันที และก้าวไปยังห้องครัวโดยมีหงซูเจียวเดินตามไปติดๆ
หลังจากที่พำนักอยู่ที่พรรคมังกรทมิฬล่วงเข้าวันที่สามหงฮุ่ยเหยียนก็เห็นควรว่าต้องเดินทางกลับเพื่อไปดูแลกิจการและจวนในอีกสองวันข้างหน้า โดยหงเหมยหลิวไม่ได้เดินทางกลับไปด้วยเพราะความต้องการของบุตรี บุรุษทั้งสองก็มิได้คัดค้านเพราะได้สัญญากับบุตรสาวว่าจะแวะเวียนมาหาทุกเดือนหรืออาจจะสองเดือนครั้งหากิจการเกิดปัญหาขึ้น
“ท่านลุง เจียวเอ๋อร์ของอยู่ดูแลท่านป้าและท่านพี่ลี่เอ๋อร์ได้หรือไม่เจ้าคะ” ซูเจียวเอ่ยถามเพราะตนยังหาโอกาสที่จะใกล้ชิดท่านประมุขมิได้
“ไม่ได้ เจ้าควรกลับไปได้แล้วเป็นสตรียังมิได้ออกเรือนจะมาค้างอ้างแรมที่อื่นเป็นเวลานานเห็นทีจะไม่ดี” หงฮุ่ยเจินเป็นผู้ตอบแทนบิดา หลังจากที่เขาและบิดาได้ลอบมองและสังเกตนางอยู่หลายวันจึงรู้ว่าสตรีตรงหน้าต้องการอะไร
“แต่…”
“ลุงเห็นด้วยกับเจินเอ๋อร์เราอยู่ที่นี่มาหลายวันควรรู้จักเกรงใจท่านประมุขบ้าง เจ้าไปเตรียมตัวออกเดินทางเถิดอีกสองวันข้างหน้าลุงจะไปส่งเจ้าที่เมืองไห่” หงฮุ่ยเหยียนรีบเอ่ยขัด
“เจ้าค่ะ งั้นเจียวเอ๋อร์ของตัวไปเก็บข้าวของเสียหน่อย” แม้ซูเจียวจะไม่พอใจที่ฮุ่ยเหยียนเอ่ยแต่ก็ทำอันใดไม่ได้ เห็นทีควรจะเร่งมือเสียแล้ว
“อืม” หงฮุ่ยเหยียนรับคำพลางจ้องมองสตรีที่กำลังเดินออกไป
ภายในเรือนรับรองหงซูเจียวกำลังอาละวาดปาหมอนแต่มิได้โวยวายเสียงดังให้ผู้อื่นได้ยิน เพราะสาวใช้คนสนิทได้เอ่ยเตือนไว้ก่อนตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาภายในห้อง
“หึ…คิดจะไล่ข้ามันไม่ง่ายนักหรอกเจ้าพวกโง่ รักและประคบประหงมมันมากนักใช่ไหม ดี…ดียิ่ง…ข้านี่แหละจะเป็นผู้ทำลายความสุขของมันเอง ข้าจะให้มันเห็นยามที่ข้านอนทอดกายอยู่ใต้ร่างผู้ที่เป็นสามีของมัน ให้มันฟังเสียงร้องครวญครางเรียกชื่อข้าอย่างสุขสมและมีความสุข ข้าจะทำให้มันกระอักเลือดให้ได้ค่อยดู” หงซูเจียวพูดออกมาด้วยความแค้น ก่อนจะหยิบบางสิ่งออกมาจากแขนเสื้อพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเก็บเข้าที่เดิม
“ลี่หลินข้าจะลงมือคืนนี้ เจ้าจงไปสืบดูสิว่าวันนี้ประมุขจ้าวยังคงไปที่นั่นอีกหรือไม่” ซูเจียวสั่งสาวใช้คนสนิททันที หลังจากที่อยู่มาหลายวัน นางได้ให้ลี่หลินค่อยดูความเป็นไปของทุกคนทั้งยังคอยลอบมองและแอบตามดูท่านประมุขที่มักจะออกมาชมสวนยามค่ำคืนเพียงลำพังภายในศาลาไม่ไกลจากเรือนเจียวอ้ายนักหลังจากที่ส่งฮูหยินจ้าวเข้าสู่ห้วงนิทรา
“คิดดีแล้วหรือเจ้าคะ ข้าวะ…” ลี่หลินพยายามเตือนสติคุณหนูแต่ก็ถูกขัดขึ้นเสียก่อน
“หยุด!…เจ้าเป็นแค่บ่าวไพร่อย่าได้สะเออะออกความคิดเห็น เสร็จแล้วลอบนำจดหมายนี่ไปวางไว้ใต้หมอนฮูหยินจ้าวเสียด้วย จำไว้อย่าให้ผู้ใดจับได้เด็ดขาด”
“เจ้าค่ะ” ลี่หลินรับคำและรีบออกไปจัดการทุกอย่างทันที
บรรดาเงาที่ซุ้มมองอยู่แยกออกไปสายหนึ่งเพื่อติดตามสาวใช้ที่กำลังเดินออกไปและนำจดหมายกลับไปให้ท่านประมุขพร้อมรายงานความเคลื่อนไหวของสตรีแพศยานางนี้
จ้าวหยางหลงได้ฟังรายงานทั้งหมดพร้อมด้วยจดหมายที่เงานำมาก็ให้รู้สึกรังเกียจสะอิดสะเอียนยิ่ง หลายวันมานี้เขาพยายามข่มใจให้สงบไม่ฆ่านางตายคามือก็ดีเท่าไรแล้ว คิดว่าเขาโง่ขนาดที่มีคนแอบตามจะไม่รู้ตัวเชียวหรือ หึ…ช่างโง่เขลานัก
เป็นเขาเปิดโอกาสให้นางได้กระทำการต่างๆ อย่างอำเภอใจเพื่อวางหมากให้นางเดินตามแผนเขามาโดยตลอด เห็นทีวันนี้นางคงทนมิได้เสียแล้วกระมัง เรื่องนี้ควรเชิญท่านพ่อตาและพี่ภรรยาเข้ามาพบเพื่อปรึกษาและจัดการปัญหาตรงหน้าและในอดีตให้เสร็จสิ้นเสียที หากปล่อยไว้รังแต่จะยืดเยื้อไม่เป็นผลดี
“พ่อบ้านไปแจ้งท่านพ่อตากับพี่ภรรยาว่าข้ามีเรื่องเร่งด่วนต้องการปรึกษา”
“ขอรับ”
ไม่ถึงเค่อทั้งสองก็เร่งเดินตามพ่อบ้านเข้ามาภายในห้องที่มีร่างของลูกเขยนั่งคอยอยู่ ก่อนจะให้พ่อบ้านออกไปเฝ้ามิให้ผู้ใดเข้ามารบกวน การพูดยาวนานอยู่เกือบสองชั่วยาม (4 ชั่วโมง) ห้องประตูจึงถูกเปิดออกจากด้านใน จ้าวหยางหลงมุ่งไปยังเรือนเจียวอ้ายด้วยภรรยารักกำลังพักผ่อนอยู่เฉกเช่นทุกวัน อีกสองบุรุษสีหน้าดำทะมึนฉายชัดอยู่บนใบหน้ากำลังเดินไปยังเรือนรับรองเพื่อระงับความโกรธความแค้นที่มีอยู่เต็มอกให้สงบลงโดยเร็ว