จอมเวทอหังการ - ตอนที่ 274
บทที่ 274: ปีศาจในอุโมงค์
ทางรถไฟถูกทิ้งร้างไว้นานกว่าห้าสิบปี ซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องอยู่ใต้วัชพืชที่สูงท่วมเช่นนี้โดยไม่มีทางได้กระทบกับแสงอาทิตย์มาเป็นเวลานาน… และคงไม่มีวันได้พบอีกครั้ง
เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างมากในวันนี้มีผู้มาเยี่ยมชมมันอีกครั้ง ซึ่งเป็นกลุ่มนักเรียนที่มีชื่อเสียงซึ่งกําลังร่วมมือกันทําภารกิจ
ตราบใดก็ตามที่อสูรเวทไม่ได้ยึดครองพื้นที่ตรงนี้ เส้นทางทั้งหมดนี้ยังคงใช้ได้อยู่ การเดินทางของพวกเขาทั้งหมดค่อนข้างที่จะราบรื่น จนกระทั่งทั้งหมดเดินทางมาถึงอุโมงค์ใหญ่ซึ่งภายในของมันมืดสนิททําให้ดูน่าสะพรึงอย่างมาก
“จากที่ฉันดูแผนที่แล้ว อุโมงค์นี้มีความยาวกว่าหนึ่งกิโลเมตร ระหว่างทางนี้เรายังไม่พบเจออสูรเวทเลย ฉันคิดว่าภายในอุโมงค์นี้แหละจะเป็นที่หลบซ่อนตัวของพวกมัน ฉันขอแนะนําว่าพวกเราควรจะใช้เส้นทางอื่นในการเดินทาง ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าด้านในมีอสูรประเภทไหนอยู่บ้างและจํานวนของมันมีเท่าไหร่” ซู่เซียวกล่าวออกมากับกลุ่มด้านหลังของเธอ
“เธอคิดมากไปรึเปล่า? ใครล่ะจะสนใจว่าข้างในนี้มีอะไร พวกเราสามารถสังหารพวกมันได้ไม่ว่าเราจะพบเจอกับอะไรก็ตาม อีกอย่างอุโมงค์นี้ยาวแค่กิโลเดียวเท่านั้น ถ้าหากว่าเราอ้อมไปทางเส้นทางอื่น เราจะต้องเสียเวลาเท่าไหร่กับการเดินทางครั้งนี้!” ลือเชิงเห่อรีบโต้แย้งทันที
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก เราเดินผ่านอุโมงค์นี้ไปเลยดีกว่า” จางปิงเฉียวเห็นด้วย เขาคิดเรื่องเสียเวลาเช่นกัน ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าถ้าหากพวกเขาอ้อมไปแล้วจะไม่ได้พบกับอสูรเวทเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพบเจอกันในสักทางแน่นอน
“ก็ได้ เราจะใช้อุโมงค์นี้” ซู่เซียวพยักหน้ารับอย่างหมดหนทาง
“ฉันจะให้โกเล็มหินเป็นผู้นําทางของเรา ถ้าหากว่ามีอะไรเกิดขึ้น มันจะพอช่วยเราจากอันตรายได้บ้างสักระยะหนึ่ง” จางปิงเฉียวซึ่งเป็นนักเวทอัญเชิญ เขาเรียกอสูรอัญเชิญของตนเองออกมาในขณะที่กล่าวประโยคนี้
ขณะที่จางปิงเฉียวเรียกอสูรอัญเชิญของตนเองออกมาแล้ว ลือเชิงเห่อพ่นลมหายใจหนักพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยันออกมาอย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่อสูรเวทระดับสูงงั้นเหรอ เหอะ บ้าจริงที่แกมีความมั่นใจขนาดนั้น… อืม ก็ยังดี หวังว่าทหารตัวนี้คงจะพอช่วยเหลือพวกเราได้บ้างแหละนะ”
จางปิงเฉียวเกาหัวอย่างเชื่องช้าพร้อมกับรู้สึกไม่พอใจกับประโยคเมื่อครู่อย่างมาก
โกเล็มหินนั้นสูงกว่าสามเมตร ร่างกายของมันปกคลุมไปด้วยหินหลายชั้นซึ่งแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ข้อเสียของมันก็คือการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้านั่นเอง มันคล้ายกับรถถังขนาดใหญ่เมื่อเดินเข้าไปในอุโมงค์ ร่างกายของมันจัดการกับขวากหนามและต้นหญ้าตามทางได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
“ผู้ที่อยู่ด้านหลังสุดของกลุ่มจําเป็นจะต้องแข็งแกร่งมากด้วยเช่นกันและมันไม่ควรเป็นอสูรอัญเชิญ เราต้องการใครสักคนที่สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วถ้าหากว่ามีอันตรายเกิดขึ้น” ลือเชิงเห่อออกคําสั่ง
“ฉันจะคุ้มกันด้านหลังเอง” ซู่เซียวอาสาอันที
“ปล่อยให้เรื่องที่อันตรายไว้ให้พวกฉันจัดการจะดีกว่า” ซือต้าหลงกล่าวแทรกขึ้นมาอย่างสุภาพ
ซู่เซียวไม่ได้กล่าวอะไรต่อ ซือตาหลงนั้นเป็นนักเวทธาตดินและเขาสามารถปกป้องทีมได้ดีกว่าแน่นอน
บุคคลที่ยืนอยู่ด้านหน้าของขบวนคือเหล่าหมิงฉยวนและเจินหมิงเฉวียน ทั้งสองเป็นนักเวทธาตุลม พวกเขาสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วถ้าหากว่ามีอะไรเกิดขึ้น ด้านหลังของทั้งสองคนคือจ้าวหม่าหยันและซู่เซียว ทั้งสองเป็นนักเวทธาตุแสง ซึ่งพวกเขาจะคอยส่องไฟสว่างในตลอดการเดินทางภายในอุโมงค์แห่งนี้…
เห็นได้ชัดว่าอุโมงค์แห่งนี้ไม่ได้พบเจอกับแสงอาทิตย์มาเป็นเวลาที่นานมาก จ้าวหม่าหยันและซู่เซียวจําเป็นจะต้องโยนแสงพิสุทธิ์ออกไปทุกๆสิบเมตรเพื่อให้แสงส่องสว่างมากพอให้ทุกคนมองเห็นทุกอย่างภายในอุโมงค์ได้อย่างแจ่มชัด
พวกเขาไม่สามารถบอกได้ว่าอากาศในนี้เป็นพิษหรือไม่ แต่มันก็ยากเย็นอย่างยิ่งที่จะสูดดมเพื่อพิสูจน์ อากาศในนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอับและเหม็นเน่า มูลสัตว์มากมายและมันไม่เคยถูกระบายออกไปด้านนอกเลย…
“มีอะไรอยู่ข้างหน้างั้นเหรอ?
“ไม่มีอะไร มันดูเหมือนกับหินสีขาวรูปทรงแปลกประหลาด”
“คงจะเป็นเพียงสิ่งก่อสร้างที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้เท่านั้นล่ะมั้ง ไปกันต่อเถอะ”
“เจี่ยวเจี่ยว อยู่ใกล้ๆฉันเอาไว้นะ ฉันสามารถปกป้องเธอได้ถ้าหากเกิดอันตราย” โม่ฝานเดินอยู่ด้านหน้าของมู่หนิวเจี่ยวพร้อมกับทําท่าทางหยอกล้อราวกับว่าต้องการจะปกป้องเธอจริงๆ
มู่หนิวเจี่ยวสวมใส่เสื้อแขนยาวรัดรูป ซึ่งมันโอบรัดร่างกายของเธออย่างแนบชิด กลิ่นสาปสาวเย้ายวนของเธอนั้นอบอวลไปทั่วอุโมงค์แห่งนี้ บวกกับลมหายใจหนักๆของเธอยิ่งทําให้มีเสน่ห์อย่างมาก
มู่หนิวเจี่ยวกรอกตามองบนพร้อมกับบ่นโม่ฝาน “ทําไมนายถึงไม่ไปคอยปกป้องภรรยาหลวงของนายล่ะ?”
“เอ่อ…” โม่ฝานหุบรอยยิ้มลงครึ่งหนึ่ง ทําไมเขาถึงพูดประโยคเช่นนั้นออกไปต่อหน้ามู่หนิวเจียวนะ?
เมื่อเธอเห็นท่าทีของโม่ผ่าน มู่หนิวเจี่ยวถามต่อทันที “นายเจอเธอที่ไหนงั้นเหรอ?”
“เธอเป็นเพื่อนบ้านของฉันน่ะ” โม่ฝานตอบออกไปตรงๆ
บ้านของเธอนั้นคือคฤหาสน์สุดหรูในย่านนั้น เต็มไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด อีกทั้งยังมีตึกสูงใหญ่เรียงรายสไตล์ยุโรปอีกด้วย แต่ทว่าบ้านของเขาเป็นเพียงชายคาของระเบียงภายในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ถึงอย่างไรนั้นก็สามารถเรียกว่าเพื่อนบ้านได้อยู่ดี!
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็มาจากเมืองบ่อเหมือนกัน…อืม ฉันเข้าใจปฏิกริยาก่อนหน้านี้ของเธอแล้วล่ะ” มู่หนิวเจี่ยวนึกถึงท่าทีของมู่หนิงเซวียตอนที่เธอจัดการกับหลัวซึ่งก่อนหน้านี้
“ดูเหมือนว่าคุณทั้งสองคนคงจะกําลังเพลิดเพลินกับการหยอกล้อกันอยู่สินะ ได้โปรดระวังตัวด้วย เพราะคุณอาจจะตายโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าหนทางข้างหน้านั้นมีอะไรอยู่บ้าง ฉันเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับนักเวทระดับมัชฌิมตายตกไปเพียงเพราะสูดดมกลิ่นเหม็นเน่าของอสูรเวทหรือเพียงเพราะถูกซุ่มโจมตีโดยฉับพลันขณะคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งมากพอ ดังนั้นในฐานะนักล่าระดับมัชฌิม ฉันอยากจะเตือนให้ทุกคนระวังตัวอยู่ตลอดเวลา” เหล่าหมิงฉยวนแนะนําราวกับว่าเขานั้นมีประสบการณ์มากกว่าคนอื่นๆ
“โอ้ นักล่าระดับมัชฌิมงั้นเหรอ ช่างน่าประทับใจ!” โม่ฝานระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
เหล่าหมิงฉยวนซึ่งกําลังลูบหัวของหนูแฮมเตอร์ในกระเป๋าเสื้อของตนเองอย่างถะนุถนอม นี่คือความภาคภูมิใจทั้งหมดของเขาเอง ซึ่งในตอนนี้สายตาของเขาจับจ้องไปที่มู่หนิวเจียวเพื่ออยากรู้ว่าเธอคิดเห็นอย่างไรกับฐานะของตน
โม่ฝานรู้สึกว่าเรื่องเช่นนี้น่าขันเกินกว่าจะบรรยายได้ เขานั้นไม่ได้บอกใครเลยว่าเขาคือนักล่าระดับสูงแล้ว แต่ทว่าชายตรงหน้าของเขากลับแสดงตนออกมาอย่างโง่เขลา เขาไม่รู้แน่ๆว่าคู่หูของโม่ฝานเป็นถึงหัวหน้านักล่า!
เนื่องจากในตอนนี้เขาได้พบเจอกับเด็กอายุสิบสองปีกลายเป็นหัวหน้านักล่าซะแล้ว โม่ฝานจึงไม่กล้าที่จะเย่อหยิ่งเที่ยวประกาศให้ใครรู้ว่าตนเองคือนักล่าระดับสูง มันน่าอายเกินไป!
“โม่ฝานนายรู้สึกไหมว่ามีบางอย่างกําลังจ้องดูพวกเราอยู่?” มู่หนิวเจี่ยวโพล่งขึ้นมา เธอไม่แยแสต่อชายที่เพิ่งโอ้อวดตนเองตรงหน้าโดยสมบูรณ์
“สาวน้อยมู่ คุณไม่ต้องกังวลอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้วยประสบการณ์การล่าที่มากล้นของฉัน ในตอนนี้ไม่มีอะไรที่อยู่ใกล้กับเราเลยแม้แต่น้อย” เหล่าหมิงฉยวนกล่าวออกมาพร้อมแววตาเจ้าชู้
ในที่สุดเขาก็มีโอกาสได้พูดคุยกับมู่หนิวเจียวสักที เขาจึงรีบใช้โอกาสนี้
ฉับพลันแฮมเตอร์น้อยในกระเป๋าเสื้อของเหล่าหมิงฉยวนได้ยืนตัวออกมาพร้อมกรีดร้องเตือนอย่างบ้าคลั่ง
รอยยิ้มของเหล่าหมิงฉยวนแข็งค้างทันที สายตาของเขากวาดไปรอบๆอย่างระมัดระวัง
“จ้าวหม่าหยันส่องไฟไปตรงนั้นที!” โม่ฝานตะโกน
จ้าวหม่าหยันหันหน้าไปหาโม่ผ่านพร้อมกับรับคําสั่งอย่างรวดเร็ว เขาสาดแสงไฟไปตามทิศทางที่โม่ฝานได้อย่างว่องไว
“ข้างหน้า!!!”
จ้าวหม่าหยันสาดแสงไฟไปยังบริเวณที่มู่หนิวเจียวยืนอยู่ แสงสีทองเผยให้เห็นเถาวัลย์สีดํามืดเกาะอยู่เต็มผนังของอุโมงค์ พวกมันอยู่ห่างจากพวกเขาเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
เถาวัลย์สีดําแผ่กระจายไปทั่วพื้นผิวของผนังอุโมงค์ราวกับรังของแมงมุม อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งหมดสามารถเห็นดวงตาแดงฉานซึ่งอยู่ภายในเถาวัลย์ลึกลับนี้ได้อย่างชัดเจน มันกําลังมองตรงมาที่มู่หนิวเจียวซึ่งอยู่ใกล์กับมันมากที่สุด ราวกับว่ามันได้พบเจออาหารที่รอคอยมาเนิ่นนาน!!!
“เดี๋ยวเดี๋ยวอยู่ใกล้ฉันไว้!!” โม่ฝานก้าวไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
มู่หนิวเจี่ยวนั้นไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาแต่อย่างใด ออร่าพลังสีเขียวแห่งสายลมปรากฏขึ้นรอบกายของเธออย่างฉับพลันเช่นนี้ทําให้เธอสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว
“บอลเพลิง!” โม่ฝานตะโกนออกมาพร้อมกับปรากฏลูกบอลเพลิงในมือของตนเองขึ้น
ลูกบอลไฟถูกขว้างออกไปอย่างรวดเร็ว เปลวไฟกุหลาบของเขาได้เผาไหม้เถาวัลย์ทั้งหมดที่อยู่ตรงกําแพงจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
เปลวไฟขนาดใหญ่ที่โม่ฝานสร้างขึ้นทําให้สามารถมองเห็นร่างของอสูรยักษ์ขนาดใหญ่ซึ่งถืออาวุธเอาไว้ นั่นคือโครงกระดูกยักษ์ ก่อนหน้านี้ไม่มีใครพบเห็นมันเพียงเพราะแสงพิสุทธิ์นั้นสาดส่องไปไม่ถึง อสูรเวทที่ดุร้ายตนแรกได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว!!!