จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 46
ตอนที่ 46 การแสดงเปิดม่านขึ้นแล้ว
ฉินเฟิงก้าวลงจากเวที ขณะที่สีหน้าของฉินซานเทียนไม่ค่อยสู้ดีนัก กระนั้นมันก็ไม่ได้ตำหนิฉินเฟิง
อย่างไรก็ตามเหล่าผู้อาวโสใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านข้างก็เริ่มจับกลุ่มวิจารณ์ คำวิจารณ์ของพวกมันเต็มไปด้วยคำปรามาส การขอยอมแพ้โดยไม่ทันได้เริ่มสู้ถือเป็นการสร้างความเสื่อมเสียแก่ตระกูลฉิน ทั้งนี่ยังเป็นต่อหน้าคนทั้งเมือง
พวกมันเองก็ทราบว่าโอกาสชนะของฉินเฟิงนั้นไม่มี กระนั้นพวกมันก็ยังไม่อาจยอมรับต่อความพ่ายแพ้ของศิษย์ตระกูลฉิน
คำวิจารณ์ยิ่งมายิ่งรุนแรง จนฉินซานเทียนกระแอมไอ เสียงวิจารณ์จึงค่อยเงียบลง
ตอนนี้เอง ฉินควงที่ไม่ได้เอ่ยวาจาตั้งแต่ต้นพลันขมวดคิ้วและกล่าวอย่างโมโหว่า “ยอมแพ้โดยไม่ทันได้ต่อสู้ เจ้าทำให้ตระกูลฉินต้องเสื่อมเกียรตินัก”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของฉินควง ผู้อาวุโสหลายคนก็กลับมาออกความคิดเห็นโดยไม่ใส่ใจต่อใบหน้าที่เริ่มเย็นชาของฉินซานเทียน
นี่เป็นการไม่ไว้หน้าประมุขของตระกูลแม้แต่น้อย
ฉินซานเทียนโกรธมาก กระนั้นก็ยังไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา มันเหลือบมองฉินเฟิงด้วยหางตาและกล่าวว่า “ฉินเฟิง คนจากตระกูลฉินจะสู้จนเลือดหยดสุดท้าย ไม่ยอมแพ้ การแสดงออกของเจ้าในวันนี้จะต้องถูกลงโทษ จงไปที่หน้าผาด้านหลังเพื่อทบทวนความผิดเป็นเวลาสามปี มีอะไรจะคัดค้านหรือไม่”
สามปีที่หน้าผางั้นหรือ
หน้าผาส่วนหลังของตระกูลฉินมีไว้เพื่อกักขังผู้กระทำความผิด พื้นที่แถบนั้นทุรกันดารยิ่ง คงมีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะทำให้ฉินเฟิงสามารถอยู่รอดได้ถึงสามปี การส่งฉินเฟิงไปที่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการส่งไปตาย
ฉินเฟิงพยักหน้าอย่างเฉยเมย หากแต่ในใจของมันกำลังกรีดร้อง “ศิษย์เข้าใจแล้ว”
“ท่านประมุข การลงโทษนี้ไม่รุนแรงไปหน่อยหรือ”
ฉินเทียนไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป ทุกคนต่างก็ทราบผลลัพธ์ดีหากให้ฉินเฟิงต่อสู้กับเสี่ยวหยูเฟิง ทว่าเหล่าผู้อาวุโสกลับไม่สนใจพรสวรรค์ที่เขามีและกล่าวตำหนิอย่างรุนแรง ไม่เพียงเท่านั้น เพื่อเป็นการรักษาหนาของตระกูลฉิน ฉินซานเทียนยังมอบบทลงโทษอย่างรุนแรงอีก
ฉินเทียนแค่นเสียง ตระกูลฉินนี่ฟอนเฟะไปถึงแก่นแล้วจริงๆ
ฉินซานเทียนยังไม่ทันได้กล่าวตอบ ฉินควงที่อยู่ด้านข้างก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “ถึงคราวให้เจ้าสอดคำแล้วหรือ”
ฉินควงปลดปล่อยจิตสังหารออกมาราวกับมันจะลงมือทันทีที่ฉินเทียนกล่าวออกมาอีกคำ
“พอแล้ว”
ฉินซานเทียนกล่าวออกมาเบาๆ จิตสังหารที่เคยมีอยู่เมื่อครู่จึงค่อยๆสลายไป
กลิ่นอายของขั้นกลั่นวิญญาณนั้นแข็งแกร่งกว่าระดับสูงสุดของขั้นรวบรวมวิญญาณมาก
ฉินเฟิงหันไปมองฉินเทียนด้วยสายตาสำนึกขอบคุณ ใบหน้าของมันเผยรอยยิ้มออกมา
ฉินควงยังกล่าวเสริมอีกว่า “ยังมีผู้ที่ถูกพิจารณาว่าไร้ค่า คนเหล่านี้สมควรถูกขับไล่ออกจากตระกูล”
แน่นอนว่าวาจาเหล่านี้มันต้องการให้ฉินเทียนได้ยินเพื่อตัดทางถอยของเขา มันเห็นแววตาเกลียดชังของเสี่ยวหยูเฟิงยามที่มองมายังฉินเทียน ดังนั้นทั้งสองย่อมต้องลงมืออย่างหนักหน่วง
ทว่าฉินเทียนนั้นเป็นเพียงขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับที่สี่ ในขณะที่เสี่ยวหยูเฟิงนั้นตัดผ่านไปยังระดับที่หกตั้งแต่เมื่อครึ่งปีที่แล้ว
เช่นนี้ฉินเทียนย่อมไม่ใช่คู่มือของเสี่ยวหยูเฟิง
ฉินเทียนจะต้องตายอย่างแน่นอน นั่นทำให้มันไม่ต้องลงมือด้วยตนเอง และหากว่าฉินเทียนเลือกที่จะยอมแพ้ ถึงตอนนั้นมันย่อมไม่ยอมนิ่งเฉย
ทั้งหมดนี้ฉินเทียนนั้นทราบดีอยู่แล้ว
หากไม่ได้ฉินซานเทียนคอยเป็นไม้กันหมาให้ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ฉินเทียนจะต้องตายด้วยฝีมือของฉินควงและฉินเซี่ยงเทียน ในใจของเขาตอนนี้ได้ตัดสินใจแล้วว่า ทั้งฉินควงและฉินเซี่ยงเทียนจะต้องตาย
ได้ยินคำกระตุ้นเตือนของฉินควง ฉินซานเทียนก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด มันไม่แม้แต่จะคัดค้าน กระนั้นแววตาของมันได้เปลี่ยนไป
การประลองรอบที่ห้าจบลงแล้ว หลงเหลือผู้เข้าประลองอยู่เพียงหกคน
นอกจากเสี่ยวหยูเฟิงแล้ว ที่เหลืออีกห้าคนล้วนมาจากสี่ตระกูลใหญ่
การประลองในรอบที่หกเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉินเทียน เสี่ยวหยูเฟิงและจ้าวคงไม่ได้พบกัน
คู่ประลองของฉินเทียนและเสี่ยวหยูเฟิงเลือกที่จะยอมแพ้ไป มีเพียงจ้าวคงที่ได้ต่อสู้ก่อนจะเข้าสู่รอบสุดท้าย
ในรอบที่หกนี้ จ้าวคงทำได้เพียงเฉือนชนะคู่ต่อสู้ไปได้อย่างเฉียดฉิว ทั่วร่างของมันเต็มไปด้วยบาดแผลเล็กน้อยหลายแห่ง
มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงก็คือสีหน้าของมัน
สำหรับการประลองในรอบที่เจ็ด ผู้เข้าแข่งขันเหลืออยู่เพียงสามคน เสี่ยวหยูเฟิงเพียงเพ่งเล็งไปที่ฉินเทียน แต่หลังจากเฝ้าดูการประลองของจ้าวคงแล้ว มันก็ทราบว่าจ้าวคงยังเก็บงำฝีมือเอาไว้ ฉินเทียนเองก็ตื่นตัวกับความสามารถของจ้าวคงเช่นกัน
จ้าวคงเรียกได้ว่าเป็นม้ามืดของรายการนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่มันเป็นตัวแทนของตระกูลจ้าวในการประลอง ฉินเทียนไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของคนผู้นี้มาก่อน
บางทีจ้าวอู่ตี้อาจจะปกปิดศิษย์เช่นนี้เอาไว้….
เหลือผู้เข้าร่วมอยู่สามคนในรอบที่เจ็ด ดังนั้นผู้ที่จับฉลากว่างเปล่าจะได้ผ่านเข้าไปรอในรอบชิงชนะเลิศ ผู้ที่จับฉลากคนแรกคือ จ้าวคง
เมื่อล้วงฉลากออกมา จ้าวคงก็ยื่นส่งให้กรรมการ
ว่างเปล่า
“ผ่านเข้ารอบ”
“ช่างโชคดีนัก”
ตอนนี้ฉินเทียนมั่นใจว่าจ้าวคงย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จัดการได้ง่าย มองดูใบหน้าที่เรียบเฉยของจ้าวคงแล้ว ฉินเทียนก็คาดว่าความแข็งแกร่งของจ้าวคงนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเสี่ยวหยูเฟิงเลย
ดูเหมือนว่าตระกูลจ้าวต้องการจะใช้จ้าวคงจัดการกับเสี่ยวหยูเฟิง แต่เนื่องเพราะการปรากฏตัวขึ้นมาของฉินเทียน แผนการของพวกมันจึงต้องเปลี่ยนแปลงไป
ต้องการเป็นนกขมิ้นหรือ ฉินเทียนแค่นเสียง “หากว่าเจ้าเป็นนกขมิ้น เช่นนั้นข้าก็จะเป็นนายพรานเอง”
เม่อจ้าวคงผ่านเข้าไปรอในรอบชิง ฉินเทียนและเสี่ยวหยุเฟิงก็ไม่จำเป็นต้องจับฉลากอีก เสี่ยวหยูเฟิงเองก็เฝ้ารอการประลองนี้ มันก้าวขึ้นเวทีก่อนจะหันมามองฉินเทียนด้วยสายตาหยามเหยียด
ฉินเทียนก้าวขึ้นเวทีประลองอย่างไม่เร่งร้อน เมื่อทั้งสองขึ้นประจันหน้ากันแล้ว เสี่ยวหยูเฟิงก็กล่าวอย่างเย็นชา “ห้าปีก่อนเจ้าเอาชนะข้าในการประลอง วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าต่อหน้าผู้คนเพื่อพิสูจน์ว่าข้าคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเมืองชิงเหอ”
“ห้าปีก่อนเจ้าแพ้ให้ข้าและไว้ชีวิตเจ้า ในเมื่อเจ้ายังไม่รู้จักดีชั่วเช่นนั้นก็กลายเป็นผีไปเถอะ” ฉินเทียนแค่นเสียงต่อคำกล่าวยั่วยุของเสี่ยวหยูเฟิง
แม้การประลองจะยังไม่ได้เริ่มขึ้น หากแต่ความเกลียดชังของทั้งสองก็ปะทุขึ้นแล้ว เหล่าผู้ชมต่างเงียบเสียงลง วันนี้พวกมันจะได้เป็นสักขีพยานว่าผู้ใดกันแน่ที่จะเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงของเมืองชิงเหอ
เมื่อห้าปีก่อนคือ ฉินเทียน ห้าปีต่อมาคือฉินเฟิง แต่วันนี้ที่จะเป็นการตัดสินแล้วว่าผู้ใดจะคู่ควรกับฉายานั้น
ทุกคนต่างกระตือรือร้นที่จะทราบว่าตำแหน่งนั้นจะตกเป็นของผู้ใด
บรรยากาศบนเวทีประลองเต็มไปด้วยความตึงเครียด
กระบี่ที่ข้างกายเสี่ยวหยูเฟิงเริ่มส่งเสียงกระหึ่มออกมาเป็นระลอก สำหรับผู้ที่มีการบ่มเพาะอ่อนด้อยแล้ว คลื่นเสียงนี้ทำให้พวกมันหูหนวกคล้ายจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อหากทนรับฟังนานกว่านี้ ดังนั้นพวกมันจึงเริ่มขยับกายถอยห่างออกไป
แรงกดดันมหาศาลปะทุขึ้น แรงกดดันในครั้งนี้ยังรุนแรงเป็นสองเท่าจากเมื่อตอนที่ปลดปล่อยออกมาบนถนน มันค่อยๆกวาดไปทั่วร่างกายของฉินเทียน
กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมานี้ราวกับมีกระบี่สวรรค์กำลังเพ่งเล็งมาที่เขา สายลมเริ่มกรีดหวีดหวิวจากทั่วสี่ทิศคล้ายกับมีเมฆหมอกปกคลุมไปทั่วเวทีประลอง บรรยากาศตอนนี้เต็มไปด้วยความกดดันยิ่ง
“แรงกดดันนี้อีกแล้ว”
ฉินเทียนยิ้มเย็นชา เคล็ดมังกรฟ้าถูกกระตุ้นขึ้นมาทันทีที่สัมผัสกับกลิ่นอายอันทรงพลังของเสี่ยวหยูเฟิง ฉินเทียนฉีกยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความดูถูก
“ขอดูหน่อยว่าเจ้าจะพัฒนาขึ้นสักเท่าใด”
เสี่ยวหยูเฟิงตะโกน ‘ฮ่า’ ก่อนที่แรงกดดันจะสลายไป ขณะเดียวกันกระบี่ที่ลอยอยุ่ช้างกายก็เริ่มสั่นสะท้านและส่งเสียง ‘เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ’ ออกมา ตัวกระบี่พุ่งทะยานออกมาเล็งไปยังจุดชีวิตของฉินเทียน
ขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับที่หกและพลังปราณอันลึกล้ำ กลิ่นอายของมันแหลมคมดุจหอกที่สะกดตรึงการเคลื่อนไหวของเขา กระบี่พุ่งทะยานเข้าหาเขาด้วยความรวดเร็วดุจสายวิชชุ
ฉินเทียนก้าวออกไปข้างหน้าขณะที่สายลมรอบกายเริ่มหมุนวน มันยังคงหมุนวนอย่างต่อเนื่องจนก่อเป็นพายุขนาดย่อมที่รอบกายของเขา ฉินเทียนใช้เท้ายันพื้นพุ่งตัวไปข้างหน้าดุจเหินบิน
ใช้กลิ่นอายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายงั้นหรือ
นั่นเป็นไปไม่ได้ ฉินเทียนเพียงอยู่ในระดับที่สี่ของขั้นก่อตั้งวิญญาณ แล้วฉินเทียนจะมีพลังปราณที่ลึกล้ำได้อย่างไร
เสี่ยวหยูเฟิงยากที่จะทำใจเชื่อได้ลง เขาตวาดออกมาด้วยความโกรธก่อนจะพุ่งตัวออกไป
ครืนนนนนน
สายลมที่เกรี้ยวกราดพลันโหมกระหน่ำไปทั่วเวทีประลอง…..
YOU MAY ALSO LIKE
Tips: Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipisicing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna aliqua. Ut enim ad minim veniam, quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea commodo consequat. Duis aulores eos qui ratione voluptatem sequi nesciunt. Neque porro quisquam est, qui dolorem ipsum quia dolor sit ame