จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 38
ตอนที่ 38 อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเมืองชิงเหอ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สำหรับฉินเทียนแล้ว เม็ดยานั้นเป็นสิ่งที่เขาต้องการอย่างเร่งด่วน
เม็ดยาก็เหมือนกับน้ำยาฟื้นฟูพลังชีวิตและน้ำยาฟื้นฟูมานาในเกมออนไลน์ ปราศจากพวกมันแล้ว ชีวิตของเขาก็สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง การต่อสู้กับศัตรูจะยากลำบากมากขึ้น
เป็นเพราะจุดตันเถียนที่เสียหาย ร่างกายของเขาก็ไม่อาจดูดซับพลังปราณได้ด้วยตนเอง ฉินเทียนเข้าใจเรื่องนี้ดี เพื่อที่จะทะลวงผ่านขั้นแล้ว เม็ดยาถือเป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดไปได้
การเตรียมเม็ดยาเอาไว้ล่วงหน้าถือเป็นการสำรองค่าพลังปราณเอาไว้ หากว่ามีจำนวนเม็ดยาเพียงพอ มันก็เปรียบได้กับมีบ่อพลังปราณสำรองไม่มีหมด
ดังนั้นเม็ดยาจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
เม็ดยาห้าสิบเม็ดนั้นเทียบได้กับค่าพลังปราณประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันจุด ซึ่งนั่นจะทำให้เขาสามารถใช้คลุ้งคลั่งได้สามครั้ง ฉินเทียนตื่นเต้นอย่างมาก เขามีความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มค่าความชำนาญในการปรุงยาให้สูงยิ่งขึ้น
การศึกษาการปรุงยาจะทำให้เขาไม่ขาดแคลนเม็ดยาและทำลายโซ่ตรวนที่ฉุดรั้งเขาเอาไว้
เมื่อฉินเทียนออกจากตระกูลฉิน มันก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจที่จะกลับไปยังเหลาฟุหลงก่อน
แสงตะวันสีแดงอาบย้อมครึ่งเมืองทำให้ตัวเมืองคล้ายถูกอาบย้อมไปด้วยโลหิต มันคล้ายกับเป็นลางบอกเหตุ ผู้คนต่างแยกย้ายกันกลับบ้านอย่างเร่งรีบ
ฉินเทียนเดินทอดน่องไปตามถนน คิดวางแผนถึงที่ที่จะไปและหนทางในการเพิ่มเลเวล หากว่าเขาสามารถทะลวงขั้นไปถึงขั้นก่อตั้งวิญญาณในครึ่งเดือนได้ล่ะก็ เม็ดยาอีกห้าสิบเม็ดก็จะตกเป็นของเขา และนั่นจะยิ่งทำให้เขามีโอกาสจะได้รับรางวัลอื่นๆอีก
เมื่อคิดถึงเม็ดยาจำนวนมากที่ได้มาจากฉินซานเทียนแล้ว เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ฉินเทียน!”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นได้ดังขึ้นขัดความคิดของเขา
ฉินเทียนหลุดจากภวังค์ เขาหันกลับไปยังทิศของเสียงและก้ต้องประหลาดใจ “เสี่ยวหยูเฟิง…”
ลึกลงไปในความทรงจำของเขาแล้ว ระหว่างเขาและเสี่ยวหยูเฟิงได้มีเรื่องราวเกิดขึ้น เมื่อห้าปีก่อน เสี่ยวหยูเฟิงเคยพ่ายแพ้ต่อฉินเทียน มันเป็นการพ่ายแพ้อย่างย่อยยับโดยไร้หนทางตอบโต้ จนทำให้นับแต่นั้นมา บุคลิกของเสี่ยวหยูเฟิงได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
ตลอดห้าปีที่เอาแต่ฝึกฝน มันไม่ได้ช่วยลดความเกลียดชังที่มีต่อฉินเทียนลงเลย หากแต่ยิ่งบาดลึก
ในปีที่จุดตันเถียนของฉินเทียนกลายเป็นเสียหายนั้น ชื่อเสียงของฉินเทียนก็ดิ่งลงอย่างน่าใจหาย เขากลายเป็นเป็นที่รู้กจักในนามสวะอันดับหนึ่งแห่งเมืองชิงเหอ ซึ่งในช่วงนั้นเอง เสี่ยวหยูเฟิงก็สามารถทะยานข้ามเหล่าผู้เยาว์ภายในเมืองชิงเหอและขึ้นเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมือง
ในตอนนี้ ระดับบ่มเพาะของเสี่ยวหยูเฟิงคือ ขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับที่หก ซึ่งสูงกว่าฉินเทียนอยู่ถึงแปดขั้น
ผู้บ่มเพาะขั้นผู้ฝึกตนและผู้บ่มเพาะขั้นก่อตั้งวิญญาณนั้นอยู่คนละระดับกัน ในด้านความแข็งแกร่งนั้นอยู่ห่างกันมากโข โดยเฉพาะหลังจากขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับที่ห้าขึ้นไป ในทุกๆการบรรลุระดับไปหนึ่งระดับนั้น ร่างกายก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงและทำให้พลังปราณเพิ่มพูนมหาศาล
สำหรับผู้บ่มเพาะพลังขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับที่หกแล้ว การจะสังหารขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับที่ห้าก็ง่ายดุจบี้มดปลวก
เสี่ยวหยูเฟิงทราบมาว่าฉินเทียนนั้นฟื้นตัวแล้ว ทั้งยังสามารถเอาชนะฉินคุน ต้านทานการโจมตีของฉินซานเทียนและกระทั่งเอาชนะผู้บ่มเพาะขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับสามจ้าวยี่ เมื่อมันได้ทราบข่าวนี้ ความเกลียดชังภายในใจก็พลันปะทุขึ้นมาอีกครา
ในอดีต เมื่อจุดตันเถียนของฉินเทียนได้เสียหายและกลายเป็นสวะไป มันก็คร้านที่ลดตัวลงไปทุบตีฉินเทียน แต่ตอนนี้ ฉินเทียนได้ฟื้นคืนความแข็งแกร่งกลับมาแล้ว ความเกลียดชังที่มันสะกดกลั้นเอาไว้หลายปีก็ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง เพียงไม่กี่วัน ความเกลียดชังของมันก็แผ่ขยายอย่างรวดเร็ว จากเมล็ดพันธุ์เล็กๆค่อยๆขยายขนาดจนแทบจะเปลี่ยนให้มันกลายเป็นปีศาจ
เพื่อที่จะขจัดมารในใจแล้ว ทางเดียวคือฉินเทียนต้องตาย
ฉินเทียนเป็นผู้ที่สร้างมารในใจของมัน
เสี่ยวหยูเฟิงพลันไขว้มือทั้งสองไว้ที่กลางอก กระบี่ในมือของมันเริ่มสั่นสะท้านและส่งเสียง ‘แกร๊ก แกร๊ก’ ออกมา การสั่นอย่างรุนแรงของตัวกระบี่ทำให้พลังปราณปริมาณมหาศาลได้ก่อตัวขึ้นที่จุดตันเถียนของมัน คล้ายกับกระบี่ได้ตอบรับความเกลียดชังที่มากล้นขอเจ้าของ
“เสี่ยวหยูเฟิง?”
ฉินเทียนกล่าวออกมาอย่างเย็นชา เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งของเสี่ยวหยูเฟิง เป็นพลังที่มากพอจะกำจัดเขาได้อย่างสมบูรณ์ นี่ทำให้เขาเปลี่ยนเป็นระมัดระวังตัวขณะที่จ้องมองไปยังเสี่ยวหยูเฟิง
เสี่ยวหยูเฟิงยังคงเรียบเฉย สองตาของมันจับจ้องอยู่ที่ฉินเทียน ทันใดนั้นมันก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “วางใจเถอะ ข้าจะยังไม่ลงในมือที่นี่”
“ห้าปีก่อน ข้าได้พ่ายแพ้ต่อเจ้าในงานชุมนุม”
“ข้าปีต่อมา เป็นโชคดีของข้าที่เจ้าสามารถฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับมา เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะเอาชนะเจ้าและสังหารเจ้าต่อหน้าผู้คนทั้งเมืองชิงเหอ”
“เจ้าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว จงใช้เวลาที่เหลืออย่างคุ้มค่า”
กลิ่นอายอันหนักหน่วงที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นทำให้เคล็ดมังกรฟ้าในจุดตันเถียนของเขาเริ่มเคลื่อนไหวขึ้นเองเพื่อต่อต้านแรงกดดันจากเสี่ยวหยูเฟิง แผ่นหลังของเขากลายเป็นเย็นเยียบคล้ายกับกำลังถูกขังเอาไว้ในกรงน้ำแข็ง
น้ำเสียงของเสี่ยวหยูเฟิงที่เย็นชาราวไร้ชีวิต รอยยิ้มของมันคล้ายดังมัจจุราชได้พบเหยื่อ ความเกลียดชังที่มันต้องสะกดเอาไว้มาหลายปี ในที่สุดมันก็จะมีโอกาสได้ปลดปล่อยออกมาแล้ว
“จงจำเอาไว้ อย่าได้คิดที่จะหลบหนี หลังจากนี้อีกครึ่งเดือน เจ้าจะต้องตายด้วยมือคู่นี้ของข้า”
น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความถือดี ในสายตาของมันแล้ว ฉินเทียนก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้ว แต่เพื่อเป็นการตอบสนองให้กับจิตมากในใจของมัน ฉินเทียนจะต้องตายต่อหน้าผู้คนของเมืองชิงเหอ
“ช่างเป็นแรงกดดันที่มหาศาลนัก”
ความหงุดหงิดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ เขามองไปที่เสี่ยวหยูเฟิงแล้วหัวเราะออกมา “เมื่อห้าปีก่อนข้าเคยเอาชนะเจ้า ห้าปีต่อมาก็ไม่มีเหตุผลที่ข้าจะต้องพ่ายแพ้…”
เอาชนะเสี่ยวหยูเฟิงงั้นหรือ? ฉินเทียนไม่มั่นใจนักว่าจะกระทำได้ การเาอชนะขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับที่หกไม่ใช่งานง่าย ยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวหยูเฟิงยังเป็นบุตรของเสี่ยวเลี่ย ด้วยทรัพยากรบ่มเพาะที่มากมายแล้ว การที่ใช้เวลาเพียงห้าปีในการมาถึงจุดนี้ได้แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนจากตระกูลของมัน
อย่างไรก็ตาม ฉินเทียนไม่ได้รู้สึกกังวลมากนัก เขาเพียงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา หากว่าเขามีความแข็งแกร่งพอจะทุบตีเสี่ยวหยูเฟิงได้ในตอนนี้ เขาก็คงจะลงมือโดยไม่ลังเล
ตอนนี้ การดำรงอยู่ของเสี่ยวหยูเฟิงสำหรับเขาแล้วก็คือเสี้ยนหนาม แม้ว่าอีกฝ่ายจะสะกดกลั้นเอาไว้ หากแต่ฉินเทียนก็สัมผัสถึงจิตสังหารได้ หากว่าเขาได้พบกับเสี่ยวหยูเฟิงในงานชุมนุมจริงๆล่ะก็ แน่นอนว่าเขาเองก็จะไม่ปราณีต่ออีกฝ่าย
“ฮ่าฮ่า….”
เสี่ยวหยูเฟิงหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งขณะที่ปลดปล่อยพลังปราณออกมา กระบี่ในมือของมันสั่นอย่างรุนแรงคล้ายกับจะหลุดออกจากฝักได้ทุกเมื่อ แรงกดดันอันมหาศาลได้ถาโถมเข้าใส่ฉินเทียน…
ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาบนถนนต่างรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย บางคนถึงกลับแข้งขาอ่อน ผู้คนทั่วไปที่ไม่แข็งแกร่งนักได้ล้มลงกับพื้นในทันที
“เพื่อที่จะสามารถผสานความเกลียดชังเข้ากับพลังปราณและปลดปล่อยมันออกมาได้ถึงระดับนี้แล้ว ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมันจะต้องน่าหวาดหวั่นไม่น้อยเลย”
ฉินเทียนขมวดคิ้ว ขณะที่ลมหายใจกลายเป็นหนักหน่วงขึ้นมา เขาต้องใช้พลังทั้งหมดในร่างเพื่อต่อต้านกลิ่นอายของเสี่ยวหยูเฟิงนี้
ขณะที่คิดอยู่นั้นเอง มุมปากของเสี่ยวหยูเฟิงก็ยกตัวขึ้น กระบี่ของมันพลันหยุดสั่น
เมื่อห้าปีก่อน ต่อหน้าชาวเมืองชิงเหอแล้ว มันพ่ายแพ้ต่อหมัดฉินเทียนอย่างอนาถ
ห้าปีต่อมา มันต้องการจะใช้งานประลองเดียวกับที่มันพ่ายแพ้เอาชนะศัตรูที่มันเกลียดแสนเกลียด สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ มันต้องการจะแสดงให้ทั่วทั้งเมืองชิงเหอได้ประจักษ์ว่ามันก็คืออัจฉริยะที่แท้จริงที่เมืองชิงเหอเคยมีมา เป็นบุรุษหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถทะลวงผ่านไปขั้นกลั่นวิญญาณได้ก่อนอายุสามสิบปี
ด้วยเหตุนั้น ฉินเทียนจะต้องตายภายใต้คมกระบี่ของมัน
เสี่ยวหยูเฟิงจ้องมองฉินเทียนอย่างเย็นชาก่อนจะหัวเราะอย่างยาวนาน จากนั้นจึงหันกลายเดินหายไปในฝูงชน
ฉินเทียนระบายลมหายใจออกมา หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อหลังจากต้องเผชิญแรงกดดันอันมหาศาล “ให้ตายเถอะ ข้าล่ะก็เกลียดความรู้สึกนี้จริงๆเลย”
เขาเองนั้นอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วที่ต้องทนรับกลิ่นอายอันมหาศาลของฉินซานเทียนที่ลานฝึกของตระกูลเมื่อวันก่อน มาตอนนี้กลับถูกเสี่ยวหยูเฟิงราดน้ำมันใส่กองเพลิงเข้าไปอีก นี่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างถึงที่สุด
“ขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับที่หกงั้นหรือ?”
ฉินเทียนกัดฟันมองไปยังทิศทางที่เสี่ยวหยูเฟิงจากไป ประกายฆ่าฟันเริ่มก่อตัวขึ้นในใจอย่างช้าๆ….
YOU MAY ALSO LIKE
Tips: Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipisicing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna aliqua. Ut enim ad minim veniam, quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea commodo consequat. Duis aulores eos qui ratione voluptatem sequi nesciunt. Neque porro quisquam est, qui dolorem ipsum quia dolor sit ame