การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 184
“ผู้เข้าแข่งขันมาฮาร่า และ ผู้เข้าแข่งขันชุนฮาจิน กรุณาขยับมาที่ใจกลางสนามด้วยครับ”
เมื่อได้ยินถ้อยคําของเจ้าภาพ ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 2 คน ขยับตัวเดินไปข้างหน้า 5 ก้าว มาฮาร่าเตี้ยกว่าชุนฮาจินหนึ่งช่วงศีรษะ เขาหรี่นัยน์ตามองไปยังชุนฮาจินที่ยืนอยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายสวมชุดสีดําทั้งตัวขับเน้นบรรยากาศน่าเกรงขาม บริเวณส่วนศีรษะมี ผ้าคลุมปกปิดใบหน้าสวมทับด้วยหน้ากาก จึงมองหน้าตาของชุนฮาจินไม่ถนัด แม้จะมองไม่เห็นใบหน้า แต่ยังสามารถมองเห็นผิวกายของอีกฝ่ายได้ลับล่อ ชุนฮาจนมีผิวกายสีด่าเมียมคล้ายกับชุดที่เจ้าตัวกําลังสวมใส่อยู่..
“ต่อสู้ทั้งที่ตัวเองใส่ชุดแนบเนื้อรัดรึงแบบนั้น นายไม่รู้สึกอึดอัดบ้างเหรอ?”
มาฮาร่าคาดว่าชุนฮาจินสมควรถอดชุดออกหลังจากที่ได้ยินเสียงประกาศเริ่มการประลอง แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมถอดออก แล้วตัดสินใจต่อสู้ทั้งอย่างนั้น หมายความว่า ชุดที่ชนฮาจินสวมใส่ต้องมีอานาจพิเศษบางอย่างแน่ๆ ไม่อย่างนั้น อีกฝ่ายคงไม่ยอมอดทนต่อความอึดอัดหรอก
“จะใส่ชุดอะไรก็เป็นเรื่องของฉัน นายไม่ต้องมาลุ้น ชุนฮาจินตอบคําถามของมาฮาร่ากลับด้วยแว่วเสียงเย็นชา
การตอบสนองที่ชุนฮาจินแสดงออกมาให้เห็น บ่งบอกชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่สบอารมณ์อย่างมากที่มีคนแปลกหน้ามาตาหนิติเตียนการแต่งกายของตน
มาฮาร่าเมินเฉยสีหน้าของอีกฝ่ายและไม่คิดถามเซ้ําซี่ เขาพยักหัวเบาๆพร้อมกับประสานมือไว้ด้านหน้า…
“ช่างมันเถอะ การประลองวันนี้ ฉันหวังว่าจะได้รับประสบการณ์ดีๆจากนาย”มาฮาร่ากล่าว
“เช่นกัน…”ชุนฮาจินพื้มพ่าในลําคอ
“เตรียมตัวให้พร้อม..”
เจ้าภาพค่อยๆนับเลขถอยหลัง…
“ไม่รู้ว่าชายร่างเตี้ยอย่างนาย จะทนมือทนเท้าของฉันได้สักกี่น้ํา”
ชนฮาจินใช้วาจาเชือดเฉือนแทงใจด่าอีกฝ่าย มาฮาร่าที่ได้ยินค่าเหยียดหยันนั้นเลิกคิ้วขึ้นเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมาเป็นครั้งแรก..
“การประลองเริ่มได้!!”
เจ้าภาพส่งสัญญาณเริ่มการประลอง…
ฟรี่บ!!
มาฮาร่าไม่รอช้เร่งสร้างร่างโคลนขึ้น ร่างโคลนทั้ง 10 ถีบตัวพุ่งเข้าหาชุนฮาจินโดยพร้อมเพรียง
“ฮีม ปากดีจริงๆ มาดูกันว่าใครกันแน่จะเป็นฝ่ายโดนอัดจนน่วม”
แท้จริงแล้วร่างโคลนนับสิบที่ปรากฏบนสนามประลอง คือภาพลวงตาที่เกิดจากผลของสกิล ภาพลวงตาที่ว่าสามารถทําลายได้ แต่การจะทําให้ภาพลวงตาหายไป จ่าเป็นต้องใช้เวลาประมาณหนึ่ง หากศัตรูคิดจะลบล้างภาพลวงตา ช่วงระยะเวลาสั้นๆที่เกิดขึ้น อาจส่งผลให้ศัตรูของเขาเสียชีวิตได้ เพราะมาฮาร่าไม่ได้เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์มากนัก ความสามารถที่แท้จริงของเขา คือการต่อสู้ระยะประชิด..
หมัดของมาฮาร่าจากร่างโคลนนับสิบถลาเข้าหาชุนฮาจินรอบทิศทาง มองไม่ออกว่าใครตัวจริงใครตัวปลอม ทว่าชุนฮาจินไม่คิดหลบเลี่ยงไปไหน เขายังคงมีทีท่าวางเฉย มองหมัดที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆอย่างไม่หวั่นเกรง
ทันใดนั้นเอง…
ตูม!!
กรอบ!
ชุนฮาจินเอื้อมมือออกไปข้างหนึ่ง คว้าจับหมัดของมาฮาร่าที่พุ่งตรงเข้ามา แล้วทําการบิดข้อมือ..
“อ๊ากกกกก!!”
“อย่าร้องเสียงดังสิ มันหนวกหูนะรู้ตัวไหม”
ชุนฮาจินหักข้อมือของมาฮาร่าและกระแทกร่างอีกฝ่ายลงพื้นสนามประลองเต็มแรง ร่างโคลนที่สร้างขึ้นมาจากสกิลภาพลวงตาอันตรธานหายไปไร้ร่องรอย เพียงชั่วเวลาสั้นๆชุนฮาจินก็สามารถมองข้อบกพร่องสกิลของมาฮาร่าได้ทะลุปรุโปร่ง แล้วเผด็จศึกด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว…
มาฮาร่าที่นอนสะบักสะบอมอยู่บนพื้น ตระหนักได้แล้วว่าคู่ต่อสู้ตรงหน้ามีความสามารถเหนือกว่าตนเองมาก..
“ฉันขอยอมแพ้ นายแข็งแกร่งจริงๆ…”
“จําได้ไหมว่านายเคยพูดว่าอยากได้ประสบการณ์ดีๆจากฉัน?”
แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของชุนฮาจิน แต่มาฮาร่าเห็นว่ามุมปากของอีกฝ่ายกําลัง ยกยิ้มเหยียดหยันพร้อมทั้งเปล่งเสียงหัวเราะน่าขนลุกในค่าคอยกใหญ่
“ประสบการณ์ดีๆที่นายต้องการ ฉันคนนี้จะมอบประสบการณ์ที่นายไม่มีวันลืมให้เอง”
“นายหมายความว่าไง? ไม่นะ!! อย่า!! อ๊ากกกกก!!”
เสียงร้องครวญครางดังระงมไปทั่วสนามประลอง แต่น่าแปลกใจที่เจ้าภาพไม่คิดจะเอ่ยปากห้ามปรามการกระทําของชุนฮาจนเลย เจ้าภาพยืนชมอยู่เงียบๆราวกับว่าเป็ เหตุการณ์ปกติ ร่างกายที่สมบูรณ์พร้อมของมาฮาร่าแห้งเหี่ยวลงอย่างฉับพลัน ผิวหนังค่อยๆสญเสียความชุ่มชื่นไปที่ละนิด ชั่วครู่หนึ่งร่างกายของมาฮาร่าก็ซบผอมลงจนหนังหุ้มกระดูก ไม่ต่างอะไรกับมัมมี…
ร่างไร้วิญญาณของมาฮาร่าย่อยสลายกลายเป็นผุยผงคามือชุนฮาจิน
ชุนฮาจินสะบัดข้อมือไล่เศษผงคล้ายเม็ดทรายให้ปลิวออก งมงาเสียงแผ่วเบาว่า “รสชาติห่วยแตกเป็นบ้า
ชุนฮาจินปรายตามองไปยังเจ้าภาพ ไม่นานเจ้าภาพก็ประกาศผลการประลองเสียงดังว่า “วีรชนชุนฮาจินเป็นฝ่ายชนะ!!”
ซูฮยอนเลิกคิ้วขึ้นสูง..
<< วีรชน? เขาเนี่ยนะเป็นวีรชน? วีรชนกับผนะสิ!! >>
คนแบบนั้นไม่สมควรเรียกว่าวีรชนด้วยซ้ํา การประลองครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเฟ้นหาวีรชนที่แข็งแกร่งเท่านั้น ไม่มีเหตุผลจําเป็นต้องฆ่าแกงกัน แต่ชุนฮาจินกลับลงมือสังหารมาฮาร่าอย่างไม่ลังเล แถมยังมีหน้าหัวเราะชอบใจการกระทําของตัวเองอีก…
<< ชายคนนั้นเป็นฆาตกรในคราบวีรชน >>
ปฏิเสธไม่ได้ว่าชนฮาจินมีความสามารถที่ยอดเยี่ยม สกิลที่อีกฝ่ายใช้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและทรงพลังอย่างมาก
“อํานาจดูดกลืน เป็นสกิลขึ้นชื่อและรู้จักกันอย่างกว้างขวางในโลกของเขา”ลัสเล็ซอธิบายเสียงเนิบนาบ ท่าทางลัสเล็ซจะทราบประวัติของชุนฮาจินดีพอสมควร
“ความสามารถของสกิล คือดูดกลืนพลังเวทในร่างกายของผู้อื่นใช่หรือป่าว” ซูฮยอนถาม
“ถูกต้อง แต่ไม่ใช่แค่พลังเวทเท่านั้น พลังชีวิตในร่างกายก็ถูกดูดกลืนไปพร้อมกับพลังเวทด้วย ชนฮาจินเปรียบเสมือนมอนสเตอร์ที่กลืนกินผู้อื่น เพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของตนเองให้สูงขึ้น”
“ว่าแต่ คุณรู้ชื่อสกิลของชุนฮาจินได้ยังไง? อย่าบอกนะว่าพวกคุณ 2 คนรู้จักกัน?”
“ใช่ซะที่ไหน ทําไมนายถึงคิดแบบนั้นเล่า? จากสีหน้าของนาย เหมือนนายก่าลังอารมณ์เสียอยู่นะ เป็นอะไรหรือป่าว?”ลัสเล็ซยิ้มถามอย่างห่วงใย เมื่อเห็นคู่สนทนาไม่เอ่ยตอบกลับ ลัสเล็ซเลื่อนสายตามองไปยังเก้าอี้สําหรับผู้เข้าแข่งขันที่จัดเรียงไว้อยู่ข้างสนานประลองชิดผนังโคลอสเซียม
“พวกเราไปหาที่นั่งกันเถอะ นายควรสํารองเรี่ยวแรงไว้เยอะๆ เพราะอีกไม่นานก็ถึงตาของนายแล้ว ถ้านายไม่ตกรอบไปซะก่อน ฉันเดาว่าคู่ต่อสู้รอบรองชนะเลิศที่นายจะได้เผชิญหน้าด้วย มีโอกาสสูงที่จะเป็นชุนฮาจิน เพราะงั้นนายระวังเนื้อระวังตัวไว้หน่อยก็ดี ไม่เช่นนั้นชะตากรรมของนายจะเหมือนกับมาฮาร่า”
“รอบรองชนะเลิศงั้นเหรอ…”ซูฮยอนจีมงาในล่าคอ
ชุนฮาจินคือเป้าหมายที่เขาต้องพิชิตให้ได้ เพื่อผ่านการทดสอบชั้นที่ 42 ความสามารถที่ชุนฮาจีนเผยออกมาให้เห็นเมื่อสักครู่ แข็งแกร่งยิ่งกว่าบอสมอนสเตอร์บางตัวเสียอีก
การทดสอบชั้นที่ 42 ยากกว่าที่ซูฮยอนคิดไว้มาก
“รอบรองชนะเลิศได้เจอกับชุนฮาจิน แสดงว่ารอบชิงชนะเลิศผมก็ได้เผชิญหน้ากับนายน่ะสิ?”
ชายที่ยืนอยู่ข้างกายของซูฮยอนตอนนี้ แข็งแกร่งกว่าชุนฮาจินหลายเท่า และรอบชิงชนะเลิศคนที่จะต้องเผชิญหน้ากับเขาต้องเป็นชายคนนี้ไม่ผิดแน่
ซูฮยอนไม่หวาดหวั่นต่อความแข็งแกร่งชุนฮาจินเลยสักนิด ในบรรดาผู้เข้าแข่งขันคู่ต่อสู้ที่สร้างความหนักใจให้แก่เขามากที่สุดคือลัสเล็ซ…
“คุณรู้จักกับชุนฮาจินได้ไง? พอจะบอกให้ได้ไหม?”
“ถามฉันเหรอ? ตอบยากเหมือนกันแฮะ….”
“ทุกคนที่อยู่ในโคลอสเซียมมาจากต่างที่ต่างโลก ในหอคอยแห่งการทดสอบมีโลกอยู่หลายใบ แต่ฉันกลับไม่ทราบปูมหลังของคุณเลยแม้แต่นิดเดียว ตกลงคุณเป็นใครกันแน่?”คิ้วตาของซูฮยอนกดลงจ้องมองลัสเล็ซอย่างพินิจ
“คุณเป็นผู้ตื่นขึ้นที่ปีนป่ายหอคอยเหมือนกับผมใช่ไหม? หรือว่า…”
“ผู้เข้าแข่งขันซิกฟรีด โปรดขึ้นมาบนสนามประลอง”เจ้าภาพเรียกซูฮยอนให้ขึ้นไปด้านบน
แม้จะได้ยินเสียงเจ้าภาพขานเรียก แต่ซูฮยอนยังเลือกที่จะนิ่งเฉยไม่ขยับไปหน เมื่อเจ้าภาพเรียกจนครบ 3 ครั้ง ลัสเล็ซจึงพูดเร่งเร้า…
“เจ้าภาพเรียกนายตั้งนานแล้ว รีบขึ้นไปบนสนามประลองเถอะ”
ซูฮยอนแลมองไปยังลัสเซพักหนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้าเดินขึ้นไปบนสนามประลอง ลัสเล็ซโบกไม้โบกมือให้เขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หลังมายืนใจกลางสนามประลองชื่อ ของผู้เข้าแข่งขัน 2 คนแล่นปราดเข้ามาในหัวของซูฮยอน…
<< ชุนฮาจิน และ ลัสเล็ซ >>
พวกเขาทั้ง 2 คนเป็นคู่ต่อสู้ที่ซูฮยอนจะต้องเผชิญหน้าด้วยในรอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศ ตามความคิดเห็นของเขา จากผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 2 คนนั้น อาจเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดในการทดสอบครั้งนี้…
เมื่อซูฮยอนเข้าประจําตําแหน่ง พบว่าคู่ต่อสู้ยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้ว สายตาแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น..
<< ฉันควรโยนเรื่องไม่สาคัญทิ้งไปก่อน ตอนนี้สิ่งที่ฉันต้องทํา คือเพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการต่อสู้ที่กําลังจะเริ่มขึ้น >>
หากซูฮยอนสยบคู่ต่อสู้ตรงหน้าลงได้ เขาก็ยังมีโอกาสเผชิญหน้ากับชุนฮาจิน และลัสเล็ซ ในภายหลัง…
“เตรียมตัวให้พร้อม การประลองเริ่มได้!!”
หรือ!!
สิ้นเสียงเจ้าภาพให้สัญญาณเริ่มการประลอง ซูฮยอนกระทืบเท้าถีบตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว…
เนื่องด้วยมีผู้เข้าแข่งขันมากถึง 128 คน ตารางการประลองจึงแบ่งเป็น 2 วัน วันละ 64 คน
เพื่อหาตัวผู้ชนะเข้าสู่รอบถัดไปการประลองจึงกินเวลาตลอดทั้งวัน
ผู้เข้าแข่นขันทุกคนไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บ เพราะในสนามมีอุปกรณ์พิเศษชนิดหนึ่ง ที่สามารถรักษาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของผู้เข้าแข่งขันได้ในพริบตา
วันนี้มีการประลองทั้งหมด 32 คู่ และซูฮยอนถือเป็นคู่ปิดงาน..
ตูม!!
ซูฮยอนเหวี่ยงหมัดต่อยไปด้านหน้า แต่คู่ต่อสู้เอี้ยวตัวหลบได้ฉิวเฉียด คนที่เขากำลังประมือด้วยค่อนข้างปราดเปรียวและมีความสามารถในการใช้สกิลภาพลวงตาอีกฝ่ายจึงหลีกเลี่ยงการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดาย คู่ต่อสู้โดนซูฮยอนไล่ต้อนอยู่ฝ่ายเดียว ไม่มีโอกาสโจมตีสวนกลับ ทําได้แต่ขยับร่างกายเปลี่ยนตําแหน่งไปเรื่อยๆ
ฉวะ!!
ซูฮยอนชักดาบออกจากฝัก ใช้มือขวาเลือกดาบฟาดฟัน ภาพลวงตาที่วนเวียนอยู่รอบตัวถูกคลื่นดาบเลือนขาดเป็นสองท่อน สุดท้ายก็ค่อยๆจางหายไปกลางอากาศ..
อุป!!
ตูม!! ตูม! ตูม!!
และเมื่อซูฮยอนปลดปล่อยสกิลเพลิงพิโรธให้ปกคลุมรอบสนามประลอง ภาพลวงตาที่มีตัวตนอยู่ระเหยกลายเป็นไอน้ําสีขาว ในที่สุดร่างจริงของคู่ต่อสู้ก็ปรากฏต่อครรลองสายตา
“อึก…”ชายที่กาลังต่อสู้อยู่กับซูฮยอนกระอักเลือดค่าโต
“สกิลการหลบหลีกของนายไม่เลวเลย”
“…!”
เสียงที่ดังออกมาจากด้านหลัง ทําเอาชายคนนั้นสะดุ้งสะเทือนรีบตันหัวไปมอง…
ปัง!!
ทันที่ที่เขาเหลียวหลังไปมอง เขารู้สึกว่าหัวของตนคล้ายถูกวัตถุบางอย่างที่มีน้ําหนักกระแทกเต็มเหนี่ยว ความรุนแรงของมันสามารถบดขยี้กะโหลกศีรษะของคนส่วนใหญ่ได้เลย เปลือกตาค่อยๆปิดลง ก่อนจะวูบหมดสติไป
ตุบ!!
เมื่อตรวจสอบจนมั่นใจว่าคู่ต่อสู้หมดสภาพแล้ว ซูฮยอนมองไปที่เจ้าภาพ..
“วีรชนซิกฟรีดเป็นฝ่ายชนะ!”
หลังการประลองรอบสุดท้ายได้ตัวผู้ชนะ เจ้าภาพจึงกล่าวปิดงานและขอบคุณผู้เข้าชมทุกคนที่สละเวลามาดูการประลอง ซูฮยอนอุ้มคู่ต่อสู้ที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นสนามประลองขึ้นมา แล้วเดินไปส่งให้กับเจ้าภาพอีกคน เพื่อนําคู่ต่อสู้ไปรักษาอาการบาดเจ็บตามร่างกาย…
“ทําไมนายถึงไม่ฆ่าเขา?”ขณะที่กําลังจะกลับห้องพัก จู่ๆชุนฮาจินก็เดินมาคุยกับซูฮยอนหน้าตาเฉย
“แค่กระดิกนิ้ว นายก็สามารถปลิดชีพอีกฝ่ายได้แล้ว ไม่เห็นมีความจําเป็นต้องสูญเสียพลังกายเยอะขนาดนั้นเลย”
“งั้นฉันขอถามนายกลับ”ซูฮยอนเพ่งมองไปยังชุนฮาจิน
“ท่าไมนายต้องลงมือฆ่าคู่ต่อสู้ด้วย ทั้งที่นายสามารถสยบคู่ต่อสู้ให้ราบคาบ โดยที่ไม่ให้อีกฝ่ายต้องเจ็บตัวก็ได้แท้ๆ”
“นายมีอุปนิสัยแตกต่างจากฉันจริงๆ”
ชุนฮาจินหงิกงอนิ้วมือไปมาจนเหมือนงูที่กําลังบิดตัวดิ้นพล่าน ซูฮยอนเข้าใจได้อย่างชัดเจนถึงความหมายที่อีกฝ่ายกําลังจะสื่อ เขากําลังแสดงให้เห็นเป็นนัยๆว่าตนเองสามารถดูดซับพลังของผู้อื่นผ่านมือคู่นี้ได้ สกิลการดูดกลืนของชุนฮาจนสามารถดึงพลังเวทและพลังชีวิตของเป้าหมายจากการสัมผัสฝ่ายตรงข้าม…
“ฉันจะเขมือบทุกคนที่อยู่ที่นี่ให้หมด” ชุนฮาจินกล่าวพร้อมยิ้มมุมปาก แต่เพราะมีหน้ากากปิดบังใบหน้าเอาไว้จึงมองไม่เห็น แววตาที่ลอดผ่านรูหน้ากากเปี่ยมไปด้วยเจตนาสังหารแรงกล้า
ชุนฮาจินมองไปที่ผู้เข้าชมและผู้แข่งขันคนอื่นๆที่กําลังเดินกลับห้องพักของใครของมัน ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ําเสียงปิติยินดีว่า..
“ที่แห่งนี้คือสรวงสวรรค์สําหรับฉัน มีเหยื่อให้เลือกเยอะแยะเต็มไปหมด โดยเฉพาะนาย เหยื่อที่มีรสชาติอร่อยเลิศและน่าจะถูกปากของฉัน ก็คือตัวนายยังไงล่ะ”
“อ่อ งั้นเหรอ”
“ฉันตกใจจริงๆที่นายใจอ่อน ไม่ยอมลงมือฆ่าคู่ต่อสู้ ถึงแม้พวกเขาจะรอดจากน้ํามือของนายไปได้ แต่พวกเขาไม่มีทางหนีรอดเงื้อมมือของฉันแน่”
“เหตุผลที่นายมาหาฉัน เพราะต้องการพูดคุยเรื่องแค่นี้?”
“คงใช่ ฉันมาหานายเพราะอยากรู้ว่านายมีนิสัยเหมือนกับฉันหรือป่าวแค่นั้นแหละ”
“ที่นี้ นายก็รู้แล้วสินะว่าพวกเรามีนิสัยแตกต่างกัน
ซูฮยอนลืมตากว้าง เนตรที่สามกลางหน้าผากแย้มพรายเล็กน้อย จิตสังหารแผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย ลอยวกวนรอบตัวชุนฮาจิน
“ฉันขอสาบานไว้ตรงนี้เลยว่า ถ้านายและฉันเผชิญหน้ากันบนสนามประลอง ฉันจะส่งนายไปยมโลก”ซูฮยอนพูดเสียงแน่วแน่
“ฮ่า ฮ่า นี้แหละค่าตอบที่ฉันอยากได้ยิน” ดวงตาของชุนฮาจินหลุกหลิกไปมา ฉีกปากยิ้มกว้าง ยังกับกําลังมีความสุขกับค่าตอบของซูฮยอน…
“หวังว่าพวกเราจะได้เจอกัน ถึงตอนนั้น ฉันจะกลืนกินนายให้ไม่เหลือแม้ทั้งกระดูก”
“ห์ น่าสนุกดีเหมือนกันนี้ ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าระหว่างนายและฉัน ใครกันแน่เป็นหมู ใครกันแน่เป็นเสือ”ซูฮยอนตอกกลับพร้อมส่ายหัวคร้านจะต่อปากต่อคํากับอีกฝ่าย
พวกเขาไม่จําเป็นต้องคุยกันอีก อย่างไรเสียหนทางสุดท้ายของพวกเขาก็คงหนีไม่พ้นการเผชิญหน้ากันในรอบรองชิงชนะเลิศอยู่ดี เหตุผลที่ชุนฮาจีนเดินมาพูดคุยกับซูฮยอน เพราะต้องการจงใจยั่วให้เขาเกิดอารมณ์โมโห แต่น่าเสียดายที่ไม่เป็นมรรคผล ซฮยอนเป็นคนประเภทพระอิฐพระปูน เรื่องหยุมหยิมพรรรค์นี้ เขาไม่มีวันเก็บมาคิดให้รกสมองหรอก
แม้ซูฮยอนจะไม่ให้ค่าชุนฮาจิน แต่เขามีความสงสัยอย่างหนึ่ง ที่อยากจะถามอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน…
“ฉันมีคําถาม 1 ข้อ สมมตินายกลืนกินทุกคนในที่แห่งนี้จนหมด นายจะทําอะไรต่อไป?”
“นายกําลังหมายถึงอะไร?”
“เหตุผลที่นายกลืนกินผู้เข้าแข่งขันคนอื่น เพราะอยากแข็งแกร่งขึ้นใช่ไหมล่ะ? ฉันอยากรู้ว่านายจะเอาความแข็งแกร่งที่ได้รับมา ไปท่าอะไร?
ค่าถามที่กล่าวออกไปไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ซูฮยอนกําลังนึกข้องใจกับทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ ไม่ใช่แค่ชุนฮาจินเท่านั้น ยังรวมไปถึงผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆด้วย
<< พวกเขาคือมนุษย์ที่ต่อสู้อยู่ในโลกใบอื่นใช่ไหม? หรือว่า พวกเขาจะเป็นผู้ตื่นขึ้นที่ปีนป่ายหอคอยแห่งการทดสอบเหมือนกับลัสเล็ซ? >>
ซูฮยอนมีข้อสงสัยอยู่ในหัวเต็มไปหมด และเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าชายตรงหน้าจะให้คําตอบไขความเคลือบแคลงได้..
“ฉันอยากทําอะไรกันแน่?”ใบหน้าของชุนฮาจินว่างเปล่า
“สิ่ง..ที่..ฉัน..ต้องการ..คืออะไร..ฉัน..แข็งแกร่ง..ไป..เพื่ออะไร..?”
“..?”
ชุนฮาจินตอบกลับอย่างตะกุกตะกัก เผยแววตาเลื่อนลอยออกมาแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง…
“ช่างเถอะ ฉันจะกลับไปพักผ่อนแล้ว หวังว่านายจะไม่แพ้ซะก่อน ไว้เจอกันใหม่บนสนามประลอง”
ชุนฮาจนท่าเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หนุนตัวเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มระรื่นอีกฝ่ายไม่ตอบคาถามของซูฮยอนให้กระจ่างแจ้ง ยิ่งไปกว่านั้นพฤติกรรมที่อีกฝ่ายแสดงออกมา ราวกับชุนฮาจินหลงลืมไปแล้วว่าซูฮยอนเคยถามอะไร…
“เมื่อตะกี้ เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”ซูฮยอนว่าพึงรําพัน
มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล บอกตรงๆว่าซูฮยอนไม่อยากข้องเกี่ยวกับโลกใบนี้มากเกินไป แต่เพราะความสงสัยแคลงใจ เขาจึงอยากหาค่าตอบให้ได้ว่าเพราะสาเหตุใด ท่าไมชุนฮาจนถึงได้มีท่าทีแปลกๆไป
ซูฮยอนเดินดุมๆไปหาผู้เข้าแข่งขันคนอื่นและถามค่าถามคล้ายๆกับที่เคยถามชุนฮาจิน โดยปรับเปลี่ยนโครงสร้างประโยคนิดหน่อย เขาคาดคั้นไต่ถามถึงชีวิตความเป็นอยู่และซักไซ้ไล่เลี่ยงหาเหตุผล ทําไมพวกเขาถึงตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขัน แต่ค่าตอบที่ได้กลับมาคือ…
“นั่นสิ เพราะอะไรกัน ทําไมฉันถึงได้…”
“หึม…”
“การแข่งขัน? นายพูดถึงเรื่องอะไรกัน?”
ทุกคนมีปฏิกิริยาการตอบสนองเหมือนกันทุกประการ พวกเขามีจุดหมายเดียวกัน นั่นก็คือชนะการประลอง แต่พวกเขาดันให้ค่าตอบแก่ซูฮยอนไม่ได้ว่าเพราะอะไร ทําไมถึงอยากชนะการประลองนัก บางคนอาการหนักถึงขั้นจาชื่อตัวเองไม่ได้และไม่รู้ด้วยซ้ําว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน
<< เรื่องมันชักจะแปลกๆเข้าไปทุกที่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? >>
ซูฮยอนมีประสบการณ์พิชิตการทดสอบมาหลายชั้น แต่เหตุการณ์ลักษณะแบบนี้ เขาก็พึ่งประสบพบเจอเป็นครั้งแรก จากการสังเกตปฏิกิริยาการตอบสนองของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ซูฮยอนสังหรณ์ใจว่าการทดสอบครั้งนี้มีลับลมคมใน
<< การทดสอบชั้นที่ 42 ซ่อนเร้นไปด้วยเงื่อนงํา เล่นเอาสมองของฉันมนตบไปหมด >>
ใบบรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องรู้ราวและมีกิริยาท่าทางแตกต่างจากคนอื่นๆ
“จะถามซอกแซกไปทําไม? รู้แค่ว่าฉันเป็นมนุษย์เหมือนกับนายก็พอแล้ว นายไม่ต้องคิดมากหรอกน่า”
คนที่ซูฮยอนหมายถึงคือ ลัสเล็ซ เอ็กซ์โซส
<< ตกลงแล้ว ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่? >>