การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 183
ในต่านานปรัมปราเล่าขานไว้ว่า ซิกฟรีด คือวีรชนแกร่งกล้าซึ่งเป็นผู้ที่สามารถโค่นล้มฟาฟเนียร์ลงได้ แต่นั่นเป็นเพียงต่านานที่เล่าสืบต่อกันมา ภายหลังฟาฟเนียร์เป็น ชื่อที่ใช้เรียกมอนสเตอร์ตัวหนึ่ง ซึ่งมีอดีตเคยล้างบางโลกของซูฮยอนมาก่อน บอกตามตรงว่าชื่อซิกฟรีดส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาเล็กน้อย..
<< วีรชนมีตั้งเยอะแยะ ทําไมอวตารที่ฉันสวมบทบาท ต้องชื่อซิกฟรีดด้วย? >>
ซูฮยอนก้มมองไปยังดาบบัลมุงก์ที่อยู่ในมือ ชื่อของดาบบัลมุงก์ เขาได้แรงบันดาลใจมาจากดาบประจํากายของซิกฟรีดตามตํานาน ไม่ว่าจะเป็นชื่อหรือดาบที่ถืออยู่ในมือตอนนี้ ทุกอย่างมันเหมาะเหม็งไปเสียหมด…
<< ช่างมันเถอะ ฉันไม่ควรเก็บเรื่องนี้มาคิดมาก มันคงเป็นความบังเอิญนั้นแหละ ชื่อของคนเราสามารถซ้ํากันได้ อีกอย่างต้องไม่ลืมว่าเวลานี้ซูฮยอนอยู่ในหอคอยแห่งการทดสอบ โลกภายในหอคอยเต็มไปด้วยปริศนาและแตกต่างจากโลกที่เขาอาศัยอยู่ เพราะฉะนั้นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งพรรค์นี้ ไม่ควรเก็บมาคิดให้เปลืองพลังงาน.. “การประลองรอบถัดไปจะเริ่มอีกทีตอนไหนครับ?”ซูฮยอนที่พึ่งมอบความพ่ายแพ้ให้แก่คู่ต่อสู้ นวดเฟ้นข้อมือพลางหันหน้าไปถามเจ้าภาพ สีหน้าของเจ้าภาพยังคงไม่ยินดียินร้ายเฉกเช่นเดิม สายตาของเขาไม่คิดจะแลมองซูฮยอนด้วยซ้ํา.. “เริ่มวันพรุ่งนี้"เจ้าภาพตอบกลับด้วยเสียงเนิบนาบ “มีผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดกี่คนครับ?” “แรกเริ่มมีผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 256 ท่าน หลังการประลองของวันนี้ยุติลง จะเหลือผู้เข้าแข่งขันเพียง 128 ท่านเท่านั้น หากคุณได้รับบาดเจ็บ โปรดรีบบอกกล่าวให้ทางเราทราบโดยด่วนที่สุด เพราะทางเราสามารถรักษาบาดแผลให้หายเป็นปลิดทิ้งได้โดยใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที” ซูฮยอนสายหน้าปฏิเสธให้กับน้ําเสียงแข็งกระด้างของเจ้าภาพ เขาไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน แค่เสียพลังกายนิดๆหน่อยๆ นั่งพักชั่วครู่หนึ่งเดี๋ยวก็หาย เมื่อเจ้าภาพเห็นว่าผู้ที่ชนะการประลองไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน จึงยกมือชี้ไปยังปล่องอุโมงค์ ซึ่งเป็นเส้นทางที่เขาเดินออกมา ความหมายที่เจ้าภาพต้องการจะสื่อก็คือซูฮยอนสามารถกลับไปพักผ่อนยังห้องที่จัดเตรียมไว้ให้ได้แล้ว เจ้าภาพไม่รีรอรีบขานชื่อผู้เข้าประลองคนต่อไปทันที... << กิริยาท่าทางของเขาไม่ต่างจากตุ๊กตาเลย >>
เจ้าภาพไม่ใช่ทั้งมนุษย์และก็ไม่ใช่เผ่าพันธุ์อื่นด้วยเช่นกัน ซูฮยอนสัมผัสกลิ่นอาย พลังชีวิตจากร่างกายของอีกฝ่ายไม่ได้เลย เขาราวกับเป็นตุ๊กตา ซึ่งมีหน้าที่คอยแนะนําตอบคาถามคล้ายข้อสงสัยให้กับผู้เข้าประลองและขยับเขยื้อนร่างกายพอเป็นพิธี..
“ผมมีข้อสงสัยครับ”ซูฮยอนชําเลืองตามองไปทางเจ้าภาพ เอ่ยถามอย่างใคร่รู้ว่า..
“ผมสามารถดูการประลองของคู่ต่อไปได้ไหม?”
“ไม่มีปัญหา เชิญตามสบาย
ทันทีที่ได้รับคําอนุญาตจากปากเจ้าภาพ ซูฮยอนรีบเดินขึ้นไปบนอัฒจันทร์พยายามหาทําเลที่นั่ง ที่สามารถมองเห็นการต่อสู้ได้ครอบคลุม เขาเลือกนั่งแถวหน้าสุด เพราะมองเห็นสนามประลองได้ถนัดตาดี…
<< วีรชนจากหลายโลก...>>
สาเหตุที่ซูฮยอนตัดสินใจอยู่ชมการประลองต่อ เพราะคิดว่ายิ่งรู้ความสามารถของผู้เข้าประลองได้เยอะ เขาก็ยิ่งได้เปรียบที่สําคัญเขายังมีเจตนารมณ์อื่นด้วย..
ซูฮยอนอ่อนไหวกับคําว่าวีรชนเป็นที่สุด ชาติภพก่อนเขาถูกผู้คนเรียกว่าวีรชนบ่อยครั้งและเขาไม่ชอบถูกคนอื่นเรียกแบบนั้นอย่างมาก น่าเศร้าที่ซูฮยอนไม่อาจห้ามปรามผู้คนให้หยุดเรียกตัวเองว่าวีรชนได้
การที่เขาดูการประลอง นอกจากจะเก็บข้อมูลของผู้เข้าประลองแล้ว เขายังอยากรู้ด้วยว่าวีรชนจากโลกอื่นมีหน้าตาอย่างไร วีรชนชายร่างยักษ์ที่ซูฮยอนพึ่งชนะมาได้ มอบความผิดหวังให้แก่เขาไม่น้อย..
<< แต่ละคนมีทักษะความสามารถที่ไม่เหมือนกัน... >>
ตูม!! ตูม!!
อัฒจันทร์อยู่ห่างจากสนามประลองพอสมควร ด้วยระยะที่ไกลขนาดนี้ หากคนที่มีสายตาไม่ดี คงมองไม่เห็นว่าในสนามประลองเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น แต่ไม่เป็นปัญหาสาหรับซูฮยอน นั่นเพราะเขามองเห็นการต่อสู้ได้อย่างชัดแจ๋ว
วีรชนเลือกสรรมาจากหลายโลก หมายความว่าพวกเขาทุกคนมีทักษะการต่อสู้เป็นเลิศ.คู่ต่อสู้ที่ซูฮยอนเผชิญหน้าด้วยรอบที่ผ่านมา แข็งแกร่งมากพอที่จะเอาชนะผู้ที่นขึ้นแรงค์ S ส่วนใหญ่ได้อย่างง่ายดาย ถ้าสเตตัสความแข็งแกร่งของซูฮยอนไม่ถึง 97 คงจําใจต้องชักดาบออกมาใช้..
<< ฉันคิดว่าการที่ชายร่างยักษ์พ่ายแพ้ คงเป็นเพราะบ้านเกิดของเขาเป็นโลกที่ ค่อนข้างสงบสุข หรือไม่ก็เพราะดวงซวย ดันมาเจอฉันตั้งแต่รอบแรก? >>
จากที่เฝ้าสังเกตมาสักระยะเวลาหนึ่ง ชายร่างยักษ์ที่ซูฮยอนเคยประมือ อ่อนแอกว่าผู้เข้าประลองคนอื่นๆที่กําลังออกลวดลายต่อสู้อยู่บนสนามประลองพอทําเนา แน่นอนว่าชายร่างยักษ์ไม่ได้อ่อนแอ ความแข็งแกร่งของเขาเทียบเคียงได้กับคู่ต่อสู้ที่โรมรันอยู่บนสนามประลองในขณะนี้ หากเขาโชคดี ไม่ประจันหน้ากับซูฮยอนตั้งแต่รอบแรก เขาอาจพอมีหวังผ่านเข้าสู่รอบต่อไป…
<< ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง จะไม่ชักคมดาบออกจากฝัก จนกว่าจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์คับขัน หรือเข้าตาจน >>
แม้การประลองจะผ่านมาแล้วหลายคู่ แต่ซูฮยอนก็มิอาจจับจุดความแข็งแกร่งของผู้ผ่านเข้ารอบได้เลยสักคน เพราะผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ด้วยการโจมตีเพียงไม่กี่ครั้ง เหมือนอย่างที่ซูฮยอนเคยทํา..
<< ไม่ได้เรื่องได้ราวเลย เสียเวลาเปล่าจริงๆ >>
ซูฮยอนทะลึ่งตัวลุกขึ้นจากอัฒจันทร์ เขาคิดว่านั่งชมการประลองต่อไป ก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดขึ้น ผู้ที่แข็งแกร่งจะไม่หงายไพ่ตายของตนเองยามนี้แน่…
“นายจะกลับห้องพักแล้วเหรอ?”
ขณะที่ซูฮยอนกําลังจะกลับไปพักผ่อนห้องตัวเอง เสียงร้องทักของชายคนหนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ด้านหลังรั้งร่างกายของเขาเอาไว้
ซูฮยอนจาใบหน้าของชายคนนั้นได้ อีกฝ่ายลงต่อสู้ในสนามประลองรอบที่ห้าและ สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว…
ซูฮยอนหันหน้า เพ่งสายตามองฝ่ายตรงข้ามและเอ่ยปากตอบกลับ “ใช่ครับ ไม่มีอะไรตื่นตาตื่นใจ มีแต่ภาพซ้ําๆเดิมๆ น่าเบื่อจะตาย”
“ฉันเห็นด้วย พวกเขากระปั้วกระเบี้ยเกินไป” ชายคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้า
ชายคนนั้นน่าจะมีอายุประมาณสามสิบหรือสี่สิบปลายๆ ส่วนสูง 190 เซนติเมตร ร่างกายล่าสันแข็งแกร่ง แววตาอ่อนโยนแต่กลับแฝงความดุดันเอาไว้
ความประทับใจแรกที่ซูฮยอนมีต่อเขา คือ อีกฝ่ายเหมือนหัวหน้าแก๊งอันธพาลที่มีหน้าตาหล่อเหลา ซึ่งมักจะปรากฏตัวให้เห็นในภาพยนตร์บ่อยๆ
“แต่ฉันแนะนําว่านายอย่าพึ่งรีบจะกลับดีกว่า ยังเหลือการประลองอีกหลายคู่ ทนดูไปเรื่อยๆ ฉันมั่นใจว่าคนที่แข็งแกร่งต้องโผล่ออกมาแน่” ชายคนนั้นกล่าวพร้อมยกมือ ตบหน้าอก
“งั้นเหรอครับ แล้วการประลองรอบที่ผ่านมา มีคนที่พอจะเข้าตาคุณบ้างหรือป่าว?”ซูฮยอนถาม
“นายเล่นถามฉันโต้งๆแบบนี้เลย? อืม…เฉันพบคนที่น่าสนใจอยู่หนึ่งคนนะ”
“คนที่คุณพูด หมายถึงใครกัน?”
“ก็นายไง”ชายคนนั้นยิ้มยิงฟังตอบกลับ
เมื่อซฮยอนได้ยินค่าตอบและเห็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายแสดง เส้นขนสรรพางค์กายของเขาขนลุกซู่…
ชายคนนั้นรีบส่ายหัวอย่างร้อนรน กล่าวแก้ตัวว่า… “ไม่ ไม่ นายกําลังเข้าใจผิดแล้ว คาว่าน่าสนใจของฉัน ไม่ได้หมายความถึงรักใคร่ชอบพอ ฉันไม่ใช่พวกชอบไม้ป่าเดียวกันสักหน่อย ฉันพูดจริงนะ”
“ผมเข้าใจดี แต่ท่าทางและลักษณะการพูด ทําให้ผมรู้สึกแปลกๆนิดหน่อย”
“เฮ้อ…นายเข้าใจก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายให้มากความ เหตุผลที่ฉันเข้ามาทักทาย เพราะอยากทําความรู้จักกับผู้เป็นนายของมังกรแดงเท่านั้นเอง ไม่มีเจตนาอย่างอื่นแอบแฝง”
ซูฮยอนที่กําลังหมดอารมณ์ชมการประลองต่อ ถูกคําพูดของชายตรงหน้า กระตุ้นให้เขาตื่นตัวกลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้ง
มิรุนอนอยู่ข้างกายเขา เนื่องจากไม่มีอะไรให้ทําและการประลองบนสนามก็น่าเบื่อหน่าย มันจึงเปิดปากหาวหวอดใหญ่ หนังตาเริ่มปรือพร้อมม่อยหลับได้ทุกเมื่อ
“คุณเคยเห็นมังกรมาก่อนเหรอครับ?”ซูฮยอนถาม
“เคยเห็นสิ เจอจนชินตาเลยแหละ ฉันมั่นใจว่าในที่แห่งนี้ ไม่มีใครรอบรู้เรื่องเกี่ยวกับมังกรดีไปกว่าตัวฉันอีกแล้ว”
“ช่วยบอกชื่อเสียงเรียงนามของคุณให้ทราบหน่อยได้ไหม ผมจะได้เรียกถูก”
“โอ้ นายอยากรู้ชื่อของฉันงั้นเหรอ? ฉันมีชื่อว่า ลัสเล็ซ เคยได้ยินผ่านหมาบางหรือป่าว?”
[ลัสเล็ซ] ซูฮยอนรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี…
<< ผู้ประพันธ์หนังสือเกี่ยวกับมังกรที่ฉันขอยืม มัลคอล์ม อ่าน รู้สึกจะมีชื่อว่า ลัส เล็ซ เอ็กซ์โซส >>
ซฮยอนไม่รู้ว่าหนังสือที่อีกฝ่ายประพันธ์ขึ้นเริ่มต้นเขียนที่ไหน แต่ต้องไม่ใช่โลกม นุษย์ของซูฮยอนอย่างแน่นอน เขากล้าพูดได้เต็มปากว่าผู้ประพันธ์เป็นคนจากโลกอื่น ไม่น่าเชื่อว่าการทดสอบในคราครั้งนี้จะทําให้ซูฮยอนพบหน้าผู้ประพันธ์หนังสือเกี่ยวกับมังกรโดยไม่คาดคิด…
“ชื่อเสียงของฉันโด่งดังพอตัวเลยน่า ฉันมีโอกาสเห็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เกือบจะทุกชนิดบนโลก ฉันเคยเขียนหนังสือด้วยนะจะบอกให้
“คุณเจอมังกรได้ยังไง?”
“ถามว่าเจอได้ยังไงงั้นเหรอ?”ลัสเล็ซยกนิ้วชี้ขึ้นไปบนฟ้า
“แน่นอนว่าจากการปีนหอคอยสิ”
“…!”ดวงตาของซูฮยอนเหลือกโปน
<< เขาบอกว่าปีนป่ายหอคอย? >>
ซูฮยอนมั่นใจว่าหอคอยที่อีกฝ่ายพูดถึง น่าจะเป็นหอคอยอันเดียวกันกับที่เขากำลังทําการทดสอบอยู่..
“เฮ้อ…”ลัสเล็ซถอนหายใจเบาๆ
“ท่าทางจะมีแค่นายและฉันที่เป็นมนุษย์โลกเหมือนกัน คนอื่นๆไม่รู้เป็นใครมาจากไหน…”
“คุณเป็นใครกันแน่?”ซูฮยอนถาม
“จะถามซอกแซกไปทําไม? รู้แค่ว่าฉันเป็นมนุษย์เหมือนกับนายก็พอแล้ว นายไม่ต้องคิดมากหรอก”ลัสเล็ซกล่าวพร้อมเอื้อมมือแตะหัวไหล่ซูฮยอนเบาๆ
“ฉันขอตัวไปพักผ่อนก่อน ไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้า”
ลัสเล็ฑ์เดินผ่านหน้าซูฮยอนไป ซูฮยอนหรี่ตาแคบมองไปยังแผ่นหลังของอีกฝ่าย
<< เขาเป็นมนุษย์? สนใจฉัน? >> ไร้สาระสิ้นดี << เขาคิดว่าฉันเบาปัญญาหรือไง? >>
ซูฮยอนสามารถมองเห็นบางสิ่งบางอย่างได้ชัดเจนจากแผ่นหลังของลัสเล็ซ
สายตาเฉียบคมของซูฮยอนมองเห็นดวงวิญญาณนับหมื่นดวงหรืออาจมากกว่านั้น ลอยวกไปวนมาอยู่ภายในร่างกายของอีกฝ่าย ผ่านไปพักหนึ่ง ดวงวิญญาณน้อยใหญ่ที่แตกฉานซ่านเซ็นไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย พลันค่อยรวมตัวกันกลายเป็นดวงวิญญาณดวงใหญ่ดวงเดียว
<< อย่าบอกนะว่าเขาคือ ผู้ควบคุมดวงวิญญาณ? รูปแบบการต่อสู้ของเขา ไม่น่าจะเป็นปัญหาสําหรับฉัน..>> ซูฮยอนละสายตาออกมาจากแผ่นหลังลัสเล็ซและเป็นกลับไปยังห้องพักของตัวเอง
<< การทดสอบครั้งนี้ ดูเหมือนจะไม่ง่ายซะแล้วสิ >>
ซูฮยอนเข้าใจจะแจ้งแล้ว เพราะเหตุใดการทดสอบถึงได้บอกให้เขาผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศเพียงเท่านั้น มีคนอย่าง ลัสเล็ซ อยู่ในสถานที่แห่งนี้ด้วย การเอา ชนะคู่ประลองทุกคนและคว้าอันดับหนึ่งมาไว้ในกํามือ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หากเงื่อนไขในการผ่านบททดสอบบังคับให้เขาชนะการประลองแล้วคว้าอันดับหนึ่งมาครอบครอง การทดสอบครั้งนี้สมควรเป็นของชั้นที่ 50 ไม่ใช่ชั้นที่ 42
หลังจากซูฮยอนกลับไปพักผ่อนห้องของตัวเอง เวลาครึ่งวันไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว การประลองรอบคัดเลือกปิดม่านลงอย่างสมบูรณ์ และการประลองรอบใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง เหลือผู้เข้าแข่งขันเพียง 128 คน ได้ยินข่าวมาว่าการประลองรอบต่อไปจะมีผู้เข้าชมด้วย หมายความว่าพวกเขาต้องต่อสู้ท่ามกลางสายตาผู้เข้าชมหลายหมื่นคู่ที่เปรียบเสมือนเป็นสักขีพยาน การทดสอบชั้นที่ 42 กําหนดไว้ว่า ซูฮยอนต้องฝ่าฟันไปให้ถึงรอบรองชนะเลิศ…
เพื่อบรรลุเงื่อนไขของการทดสอบ ซูฮยอนจําเป็นต้องเอาชนะคู่ประลอง 4 ครั้งติด..
<< ฉันไม่ยอมหยุดอยู่แค่รอบก่อนรองชนะเลิศแน่ >>
ซูฮยอนไม่มีความคิดที่จะหยุดการทดสอบแม้ว่าจะบรรลุเงื่อนไขเบื้องต้นแล้วก็ตาม ในเมื่อเข้าร่วมการประลองแล้ว เขาจะมุ่งหน้าไปให้สุดทาง ถึงไหนถึงกัน..
<< และเพื่อไปให้ถึงฝั่งฝัน ฉันต้องพยายามสุดความสามารถ...>>
ดวงตาซูฮยอนสว่างวาวโรจน์ ความมุ่งมั่นแรงกล้าฉายแววอยู่ในนั้น ห้องที่ซูฮยอนนอนพักเอาแรง เป็นห้องโล่งๆ มีเคหะภัณฑ์ตกแต่งแค่ไม่กี่ชิ้น แต่ไม่รู้ว่าคิดไปเอง หรือป่าว เขารู้สึกเหมือนว่าลัสเล็ซ ยืนอยู่กลางห้องและกําลังจับตาดูเขาอยู่…
<< ผู้เข้าแข่งขันซิกฟรีด >> เสียงพูดของเจ้าภาพเรียกชื่อซูฮยอนดังอยู่นอกประตู
ซูฮยอนพึ่งทราบความจริงเมื่อวานว่าเจ้าภาพไม่ได้มีแค่หนึ่งหรือสองคน แต่พวกเขามีเป็นสิบ ทั้งใบหน้าและน้ําเสียง อวัยวะทุกอย่างล้วนเหมือนกันไปหมด ราวกับเป็นแฝดร่วมอุทร..
“การประลองของคุณจะเริ่มในอีก 2 คู่ถัดไป โปรดเตรียมตัวให้พร้อม”
“เข้าใจแล้วครับ ซูฮยอนผุดลุกขึ้นยืน
ซูฮยอนบิดขี้เกียจเดินออกจากห้องพัก โดยมีมิรุเดินตามกันอยู่หน้าหลังต้อยๆ เมื่อวานเขาได้ศึกษากฎระเบียบของการประลองเพิ่มเติมแล้ว ไม่มีกฎข้อไหนห้ามใช้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แปลว่ามิรูสามารถออกต่อสู้ได้ แต่เขาไม่มีความคิดที่จะทําแบบนั้น เพราะไม่อยากให้มิรุต้องเหนื่อยและเจ็บเนื้อเจ็บตัวกลับมาอีกอย่างซูฮยอนทราบดี
หากผู้เข้าแข่งขันรู้ว่าศัตรูตรงหน้ามีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ร้อยทั้งร้อยจะลงมือจัดการกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ให้หมอบราบคาบแก้วเป็นอันดับแรก ดังนั้นซูฮยอนจึงไม่ต้องการให้มิรลงสนามประลองร่วมสู้ไปกับเขา
<< ยิ่งไปกว่านั้น มิรไม่ได้มีโอกาสออกมาเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ่อยๆด้วย ในเมื่อพื้นที่เล็กๆแห่งนี้ สร้างความผาสุกให้แก่มรุได้ ฉันก็อยากให้เขาอิ่มเอมกับบรรยากาศให้ช่าใจ >>
แม้ว่ามิรุจะสามารถป้องกันตัวเองได้ แต่มิรุถนัดการโจมตีระยะไกลและเหมาะกับพื้นที่เปิดโล่งมากกว่า หากคู่ต่อสู้เข้าประชิดตัว มิรุจะหมดโอกาสต่อกรทันที จากที่ซูฮยอนเฝ้าสังเกตการประลองรอบที่ผ่านมา คู่ต่อสู้ส่วนใหญ่ถนัดการโจมตีระยะประ ชิด ซูฮยอนที่ช่าชองการโจมตีระยะประชิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงคู่ควรแก่การลงส นามมากกว่ามิรุ ต่อให้คู่ต่อสู้เชี่ยวชาญการโจมตีระยะไกล เขาก็เชื่อมั่นว่าสามารถหลบได้…
ซูฮยอนเดินเรื่อยๆไปตามปลองอุโมงค์ที่ยาวเหยียด ชั่วครู่หนึ่งก็เห็นแสงสว่างขาวรําไรอยู่ปลายอุโมงค์..
“ฮูเร่!!”
“สุดยอด!! ให้มันได้อย่างนี้สิ”
เสียงร้องตะโกนของผู้เข้าชมทั้งเกรียวกราว ได้ยินไปถึงปล่องอุโมงค์ที่ซูฮยอนกําลังก้าวเดิน เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก เมื่อร่างพ้นออกมาจากปล่องอุโมงค์ ซูฮยอนพบว่าที่นั่งบนอัฒจันทร์ มีผู้เข้าชมจับจองเนืองแน่น
“ลุยเลย แม็กส์แมน!!”
“ฉันเดิมพันหมดหน้าตักกับนายโดยเฉพาะ ถ้าแพ้การประลองขึ้นมา เจอฉันสาปส่งแน่!!”
“เริ่มสัสักทีสิเฟ้ย!! ไอ้พวกขลาดเขลา! เป็นปลากัดหรือไง ยืนจ้องตากันอยู่ได้ไ! เดี๋ยวก็ท้องหรอก”
“พวกแก 2 คน ไม่อายสายตาประชาชีเลยเหรอ!!”
เสียงเชียร์และเสียงโห่ร้องวิพากษ์วิจารณ์ดังแซ่ซ้องผสมปนเปกัน ซูฮยอนที่มองเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเผลออ้าปากค้าง ผู้คนที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์มากหน้าหลายตา กะด้วยสายตาอาจมีจํานวนมากถึงหลายแสนคน และซูฮยอนค่อนข้างคุ้นเคยกับพวกเขา
<< มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้เข้าชมการประลอง จะเป็นประชาชนพลเมืองที่อาศัยอยู่ในโลกของหอคอยแห่งการทดสอบ >>
ผู้เข้าชมการประลองคือประชากรที่อาศัยอยู่ตามชั้นต่างๆของหอคอยแห่งการทดสอบ หน้าตา สีผิว และการแต่งกาย ออกจะแตกต่างกัน เพราะทุกคนมาจากหลายๆที่การดํารงชีวิตและวัฒนธรรมจึงมิอาจเหมือนกันได้ ซูฮยอนมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าผู้เข้าชมที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ต้องเป็นอย่างที่เขาสันนิษฐานไว้ไม่ผิดแน่
<< แต่ทําไมพวกเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้? >>
ที่นี่ไม่ใช่เมืองของโลกชั้นที่ 42 เสียหน่อย อีกอย่างตอนนี้ซูฮยอนกําลังอยู่ในการทดสอบ…
“เตรียมตัวให้พร้อม ใกล้จะถึงตาของคุณแล้ว”เจ้าภาพที่ยืนด้านหลังซูฮยอนกล่าว เตือนด้วยน้ําเสียงแหบแห้ง
ซูฮยอนยังมีสติครบถ้วน แต่ที่เขาไม่อาจละสายตาจากผู้เข้าชมบนอัฒจันทร์ได้ เพราะเป็นครั้งแรกที่ตนเองประสบพบเจอเหตุการณ์แปลกๆเหล่านี้ในการทดสอบ
การประลองบนสนามจบลงเร็วกว่าที่ซูฮยอนคิดไว้มาก คู่ประลองยืนจ้องตากันและ กันเกือบ 5 นาที แต่ดันใช้เวลาแลกเปลี่ยนกระบวนท่าไม่ถึง 3 นาที แถมการต่อสู้ยังจบลงด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวอีกต่างหาก…
<< ฉันคาดเดาว่า เหตุผลที่พวกเขาทั้ง 2 คน ยืนจ้องตากันเกือบ 5 นาที เพราะกำลังมองหาช่องโหว่ของฝ่ายตรงข้ามและรอจังหวะเหมาะสมเข้าโจมตี >>
ผู้เข้าชมอาจคิดว่าพวกเขาหวาดกลัวกันและกัน เลยไม่กล้าขยับเขยื้อนเปิดฉากต่อสู้ แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้น พวกเขาพยายามมองหาจุดอ่อนของอีกฝ่ายและใช้ช่วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างนิ่งเฉยวางกลยุทธ์ในใจ
ใครก็ตามที่เผยความหวั่นไหวออกมาก่อน คนๆนั้นก็แพ้ไปครึ่งตัวแล้ว ผลลัพธ์สุดท้ายก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็น..
<< คู่ประลองคนต่อไป จะเป็นใครกันนะ? >> ซูฮยอนขบคิด
ซูฮยอนเพ่งสายตามองไปยังผู้เข้าแข่งขันที่กําลังเดินขึ้นไปบนสนามประลอง จากผู้เข้าแข่งขันทั้ง 2 คน เขาเคยเห็นผ่านตาหนึ่งคน แต่อีกคนไม่เคยเห็น หมายความว่าอีกคนลงสนามประลองหลังจากที่ซูฮยอนกลับห้องไปพักผ่อนแล้ว คนที่ซูฮยอนจ่าหน้าได้เป็นชายร่างเตี้ย แต่อย่าได้โดนรูปลักษณ์ภายนอกของเขาหลอกตาเชียว ชายร่างเตี้ยมีพละกําลังไม่ธรรมดา จากผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด ความแข็งแกร่งของชายร่างเตี้ยจัดอยู่ในระดับกลางๆ
<< การประลองนัดนี้ น่าจับตาดูทีเดียว >>
ซูฮยอนคิดสรตะว่าการประลองที่กําลังจะเริ่มขึ้น ต้องเป็นการประลองที่มีความสนุกครึกครื้น สร้างความตื่นตาตื่นใจ ควรค่าแก่การรับชมอย่างยิ่งยวด เว้นเสียแต่ว่าจะมีใครคนใดคนหนึ่งมีฝีมือเหนือกว่าอีกฝ่าย การประลองคงออกมากร่อยเหมือนเดิม..
“เฮ้อ น่าเศร้าใจจริงๆ”ลัสเล็ฑ์เดินมาหยุดอยู่ข้างกายซูฮยอนตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ สายตามองขึ้นไปบนสนามประลอง ปากเผยอพูดด้วยน้ําเสียงเวทนาปนสงสาร
“น่าเศร้าใจ? คุณหมายความว่าไง?”
“นายเห็นคนผิวดาที่ยืนอยู่บนสนามประลองตอนนี้ไหมเล่า?”ฟังจากน้ําเสียงและกิริยาท่าทาง เหมือนลัสเล็ซจะรู้จักคู่ต่อสู้อีกคนดีกว่าซูฮยอน
“บางที ในบรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด คนผิวดาคนนั้นอาจเป็นบุคคลที่มีใจทมิฬหินชาติมากที่สุดเลยก็ว่าได้”