การกลับมาของฮีโร่ - ตอนที่ 176
ตอนที่ 176
ซูฮยอนสวมเสื้อคลุมบุนวมหนา กันคลื่นลมหนาวที่พัดมาเป็นระลอก นั่งอยู่ในเต็นท์ที่จัดเตรียมไว้
แม้ภายในเต็นท์จะมีฮีตเตอร์ทําความร้อนคอยมอบความอบอุ่นคลายหนาวให้ แต่ซูฮยอนก็ไม่ยอมถอดเสื้อคลุมออก เพราะต้องการให้ร่างกายมีความอบอุ่นมากที่สุดเท่าที่จะทําได้ เขาเชื่อว่าสภาพอากาศที่หนาวเย็น จะทําให้ร่างกายย่อแย่และส่งผลกระทบให้ปฏิกิริยาตอบสนองเฉื่อยชาลง
ยิ่งร่างกายมีความอบอุ่นมาก ก็ยิ่งส่งผลดีต่อเขา
<< ฉันก็อยากนั่งพักให้สบายกายสบายใจอยู่หรอก แต่ว่า… >>
ซูฮยอนกวาดตามองกลุ่มคนจํานวนหนึ่งที่ยืนอยู่ภายในเต็นท์ สายตาของพวกเขาล้วนจับจ้องมายังซูฮยอนอย่างไม่วางตา คล้ายแมวเล็งหนู
<< สายตาและพฤติกรรมของพวกเขา ทําให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจยังไงชอบกล >>
เขานั่งหัวโด่อยู่บนเก้าอี้ ในขณะที่คนอื่น ยืนเรียงรายเป็นแถวอยู่รอบๆ ด้วยใบหน้าขึงขัง ถ้าเกิดมีคนนอกมา เห็นภาพเหตุการณ์นี้ คงงงเป็นไก่ตาแตกและตอบยาก ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าบ้าน? และใครกันแน่เป็นแขก?
สุดท้ายซูฮยอนจึงตัดสินใจเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ การกระทําที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เป็นเหตุให้ชายคนหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นเลขานายกเทศมนตรีเผยสีหน้าตื่นตกใจ เขารีบเดินปรี่เข้าไปหาและกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือนิดๆ
“โปรดนั่งลงก่อนเถอะครับ นายกเทศมนตรีใกล้จะมาถึงแล้ว”
“คุณรู้ไหมว่า การที่พวกคุณยืนเรียงแถวรอบๆตัวผม ทําให้ผมรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจ”
“พวกเราต้องขอประทานโทษด้วยจริงๆครับ แต่ภายในเต็นท์มีเก้าอี้แค่ 2 ตัว อีกอย่างท่านเป็นแขกของทางเรา หน้าที่ของพวกเราคือดูแลต้อนรับท่าน”
“พวกคุณไปลากเก้าอี้ที่อยู่นอกเต็นท์ เข้ามาวางเสริมข้างในก็ได้ ปล่อยให้ผมนั่งหัวโด่อยู่คนเดียวผมรู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ ไม่ต้องเกรงใจผมหรอก พวกคุณนั่งด้วยกันกับผม แบบนั้นยังสบายใจซะกว่า เล่นยืนรายล้อมผม อย่างนี้ใครมันจะไปทนไหว”
ภาษารัสเซียของซูฮยอนไม่ค่อยแข็งแรงนัก แต่โชคดีที่อีกฝ่ายโต้ตอบเป็นภาษาอังกฤษ การสื่อสารจึงไม่มีปัญหา
เมื่อพวกเขายังยืนกรานเสียงแข็งว่าจะไม่นั่ง ท้ายที่สุดซูฮยอนก็เลือกยืนรอเหมือนกับคนอื่น อย่างน้อยมันก็ทําให้เขาสบายใจขึ้นมาได้บ้าง
<< ดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินใจกลางกรุงมอสโก…>>
ซูฮยอนเฟ้นหาดันเจี้ยนที่มีความยากไม่ต่ํากว่าระดับสีเขียว เพื่อปรับร่างกายให้ชินกับความแข็งแกร่งใหม่ ต้องขอบคุณความอนุเคราะห์จากลีจุนโฮจริงๆ ถ้าลีจุนโฮไม่ยื่นมือช่วย เขาคงไม่สามารถหาเป้าหมายที่ต้องกา รได้เร็วขนาดนี้แน่ๆ
จริงๆ แล้ว [ข้อมูล] ที่ลีจุนโฮบอกกล่าว ไม่ใช่ [ข้อมูล] ลับอะไร เพราะทันทีที่ดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินปรากฏขึ้นในเมืองมอสโก ข่าวก็แพร่งพรายไปหลายประเทศทั่วโลกแล้ว
ซูฮยอนออกจากหอคอยแห่งการทดสอบได้จังหวะเหมาะเหม็ง จากเดิมวางแผนหาดันเจี้ยนระดับสีเขียวปรับร่างกาย นึกไม่ถึงว่าจะได้ดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินซะงั้น ทั้งที่เป็นเรื่องควรดีใจ แต่เขากลับไม่รู้สึกกระดี๊กระด๊าเลย
<< ครั้งนี้รู้สึกจะเป็นครั้งที่ 5 แล้วสินะ >>
ดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินโผล่ขึ้นมาทั้งหมด 5 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, เกาหลีใต้ , จีน อังกฤษ และล่าสุด รัสเซีย
หากอัตราการเกิดดันเจี้ยนยังพุ่งทะยานเช่นนี้ต่อไป คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในอนาคตอันใกล้ จะมีดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินปรากฏขึ้นทุกเดือน..
<< จะว่าไป นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาเยือนต่างประเทศ ภายใต้ชื่อ กิลด์พารากอน >>
ซูฮยอนยืนขบคิดกับตัวเองเงียบๆ มุมปากแย้มยิ้ม เดิมทีเขาคิดว่า หลังจากประกาศจัดตั้งกิลด์ทหารรับจ้างเสร็จ คงมีงานโจมตีดันเจี้ยนไหลมาเทมา แต่เหมือนจะไม่ใช่อย่างที่เคยจินตนาการไว้
ว่ากันอย่างจริงจัง การมาเยือนประเทศรัสเซียครั้งนี้ ซูฮยอนไม่รู้ด้วยซ้ําว่ารัสเซียอยากได้ความช่วยเหลือจากตนหรือไม่ ถึงกระนั้นก็ยังมีความหวังในใจลึกๆว่า รัสเซียต้องการความช่วยเหลือจากเขาไม่ผิดแน่..
<< จากที่ฉันลองสืบค้นข้อมูลมา รัสเซียตอนนี้กําลังประสบปัญหาขาดแคลนกําลังรบผู้ตื่นขึ้น >>
ปัจจุบันประเทศส่วนใหญ่มีคําสั่งเด็ดขาด ห้ามผู้ตื่นขึ้นโจมตีดันเจี้ยนต่างประเทศ เหตุผลที่ทางรัฐบาลออกกฎแบบนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ กําลังรบผู้ตื่นขึ้นออกนอกประเทศ จุดประสงค์ของรัฐบาลคืออยากกักตัวผู้ตื่นขึ้นให้โจมตีดันเจี้ยนที่ผุดโผล่บนแผ่นดินบ้านเกิดก่อน จนกว่าสถานการณ์ดันเจี้ยนในประเทศจะเบาบางลง จึงค่อยส่งกําลังรบไปช่วยเหลือประเทศอื่น
เห็นได้ชัดว่าระบบราชการบังคับให้ผู้ตื่นขึ้นทําตามอําเภอใจไม่ได้ หากคิดอยากโจมตีดันเจี้ยนต่างประเทศต้องเจรจาปรึกษากับรัฐบาลเสียก่อน ระบบราชการทั้งยุ่งยากและเต็มไปด้วยความซับซ้อน มองเปลือกนอกอาจไม่เห็น กว่าจะผ่านไปได้แต่ละขั้นตอน ใช้เวลาดําเนินการค่อนข้างนาน
ถ้าล้มล้างระบบราชการที่ล้าหลังได้ อะไรหลายๆอย่างคงสะดวกขึ้นกว่านี้ แม้สํานักงานผู้ตื่นขึ้นอยากแก้ไขปัญหาตรงจุดนั้นเต็มแก่ แต่พวกเขาไม่มีอํานาจมากพอ กิลด์จึงเป็นคําตอบและมีบทบาทสําคัญขึ้นมา..
<< เป็นเหตุผลว่าทําไมกิลด์ทหารรับจ้างถึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในอนาคต และเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหา >>
หน่วยงานจากรัฐบาลไม่อาจห้ามปรามกิลด์ทหารรับจ้างได้ หากคิดจะห้ามแม้แต่นิดเดียว สมาคมผู้ตื่นขึ้น และสํานักงานผู้ตื่นขึ้นคงไม่ยอมนิ่งเฉย ลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลแน่แท้
ด้วยประการฉะนี้ สํานักงานผู้ตื่นขึ้น หรือ กิลด์ จึงสามารถร้องขอความช่วยเหลือจากกิลด์ต่างประเทศ โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางอย่างรัฐบาลอีกต่อไป
“ท่านนายกเทศมนตรีมาถึงแล้ว”
หลังจากซูฮยอนยืนรออยู่ได้ 10 นาที ชายวัยกลางคนอายุประมาณ 50 ปี สาวเท้าเดินเข้ามาในเต็นท์พร้อมด้วยกลุ่มผู้ติดตามจํานวนหนึ่งที่กระหนาบข้าง ชายวัยกลางคนที่เดินตะลีตะลานมาหาซูฮยอน ไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก เดวิด ซอบยานิน นายกเทศมนตรีของเมืองมอสโก
“สวัสดีครับคุณคิมซูฮยอน ยินดีต้อนรับสู่เมืองมอสโก”
เดวิด ซอบยานิน กล่าวทักทายซูฮยอนเป็นภาษาอังกฤษ ทักษะด้านภาษาอังกฤษของเขาไม่ดีเท่าเลขาสําเนียงฟังดูแปร่งหู ติดขัดบางคํา แต่ก็เข้าใจความหมายที่จะสือได้ชัดเจน…
ซูฮยอนจับมือ เดวิด ซอบยานินตามมารยาท “เหตุผลที่ผมมารัสเซีย เพราะได้ยินข่าวเกี่ยวกับดันเจี้ยน”
“งั้นเหรอครับ โลกของเราทุกวันนี้ เป็นยุคแห่งเทคโนโลยี ข้อมูลข่าวสารจึงแพร่ขยายออกไปได้เร็วกว่าเมื่อก่อน”
ถ้อยคําเพียงสั้นๆ ไม่กี่ประโยค เดวิด ซอบยานิน ก็ตระหนักได้ทันที ถึงเหตุผลที่ซูฮยอนเดินทางมายังประเทศรัสเซีย
นักข่าว สถานีโทรทัศน์ เว็บไซต์สื่อสังคมออนไลน์ ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมา คือระบบเครือข่ายกระจายข้อมูลที่แสนน่ากลัว โดยเฉพาะเว็บไซต์สื่อสังคมออนไลน์ บางเว็บไซต์มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากถึงหลายพันล้านคน ความคิดเห็นและข้อมูลต่างๆจึงถูกส่งต่อไปอย่างรวดเร็ว
ในยุคปัจจุบัน ข้อมูลข่าวสารสามารถเดินทางไปยังอีกซีกหนึ่งของโลกได้โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ซูฮยอนจะรับรู้ได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองมอสโกและมาปรากฏตัวที่นี่ปับปับ..
“ผมไม่ขอพูดอ้อมค้อม คุณต้องการความช่วยเหลือจากผมหรือป่าว?”
คําถามที่ยิงตรงมาจากซูฮยอน เป็นเหตุให้เดวิด ซอบยานิน จมดิ่งเข้าสู่ห้วงความคิด พิจารณาตัวเลือกภายในหัวอย่างรอบคอบ
จะดีกว่าไหมหากพวกเขาปฏิเสธความหวังดีจากผู้ตื่นขึ้นชาวเกาหลีใต้คนนี้ ปั้นเรื่องว่าพวกเขามีกําลังรบโจมตีดันเจี้ยนเพียงพอแล้ว ความช่วยเหลือของคุณจึงไม่จําเป็น สมมุติพวกเขาสามารถพิชิตดันเจี้ยนได้สําเร็จ ทรัพยากรที่พบภายในดันเจี้ยนจะตกอยู่ในมือของรัสเซียเต็มเม็ดเต็มหน่วย…
<< ไม่ได้ ฉันไม่ควรเดิมพันอะไรบ้าๆแบบนั้น มันเสี่ยงเกินไป >>
โอกาสมาได้จังหวะเหมาะเจาะ…
หากจะบอกว่าสวรรค์อยู่ข้างพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงนัก ในเมื่อโอกาสลอยอยู่ตรงหน้า คว้าได้ก็รีบคว้า ห้ามให้ความโลภเข้าครอบงําความคิดอ่านจนปล่อยโอกาสดีๆให้หลุดมือ
<< ถ้าฉันโลภโมโทสันเกินควร อาจทําให้เมืองมอสโกลุ่มสลาย…>>
ไม่ใช่สิ ความเสียหายคงไม่หยุดอยู่แค่มอสโกแน่ๆ
บางที เมืองรอบๆอาจได้รับผลกระทบไปด้วย…
หากดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินเกิดการระบาดขึ้น มอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ด้านใน จะแห่แหนออกมายังโลกภายนอกและสร้างความวุ่นวายอาละวาดไปทั่วรัสเซีย ตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจพุ่งสูงถึงหนึ่งแสน หรือาจมากกว่าหนึ่งล้านก็เป็นได้
<< ฉันไม่ควรคิดถึงแต่ผลประโยชน์ >>
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ก็ไม่จําเป็นต้องคิดให้ปวดสมองอีก เดวิด ซอบยานิน ก้มหัวลง “ใช่ครับ ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ โปรดช่วยพวกเราด้วย”
เขากล่าวจบพลันหลุบตาลง อนาคตของเมืองมอสโกขึ้นอยู่กับคําตอบของซูฮยอน สําหรับความช่วยเหลือนี้ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะตั้งเงื่อนไขแบบใด
แต่ทว่า…
<< เกิดอะไรขึ้น? ทําไมเขาถึงไม่ตอบอะไรกลับมาเลย? >>
เดวิด ซอบยานิน เปิดเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย แอบเหลือบมองไปด้านหน้า และภาพที่เห็น ทําให้เขาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ผมมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือคุณอยู่แล้ว คุณไม่จําเป็นต้องก้มหัวให้ผมเลยสักนิด อีกอย่างคุณอายุเยอะกว่าผมหลายปีด้วย”ซูฮยอนพูด
ความหมายที่ซูฮยอนจะสื่อก็คือ ถ้าคุณก้มหัวลง ผมก็จะก้มหัวลงด้วย
เดวิด ซอบยานิน ได้ยินดังนั้นรีบเงยหน้าขึ้น ซูฮยอนเงยหน้าขึ้นตาม เลียนแบบกิริยาท่าทางของฝ่ายตรงข้าม เพ่งสายตามองไปยังนายกเทศมนตรีของเมืองมอสโก
“พวกเรามาตกลงเงื่อนไขกันเถอะ ดีไหมครับ?”
การเจรจาพูดคุยกินเวลาไม่นาน
ตั้งแต่ต้นจนจบ ชาวรัสเซียไม่กล้าพูดจาต่อรองอะไรมาก แม้ซูฮยอนอยากได้หินอีเธอร์ที่พบภายในดันเจี้ยนครึ่งหนึ่ง พวกเขาก็พร้อมจะประเคนให้ แต่ผิดคาดข้อเรียกร้องของซูฮยอน ต้องการแค่หินอีเธอร์กองเล็กๆ กับเงินอีกจํานวนหนึ่งเท่านั้น
เทียบกับความสามารถคับแก้วของ [คิมซูฮยอน] แล้ว การโจมตีดันเจี้ยนครั้งนี้ เหมือนอีกฝ่ายทํางานให้กับรัสเซียฟรีๆ
ข้อเรียกร้องของซูฮยอนเรียบง่ายมาก หลังจากดันเจี้ยนถูกพิชิตลงได้สําเร็จ หินอีเธอร์ที่ขุดพบภายในดันเจี้ยน 30 เปอร์เซ็นต์จะตกเป็นของเขา ซึ่งในมุมมองของ เดวิด ซอบยานิน ข้อเรียกร้องของซูยอน เป็นที่ยอมรับได้ และไม่ส่งผลเสียต่อรัสเซีย เผลอๆบางที่รัสเซียอาจเป็นฝ่ายได้ประโยชน์เสียด้วยซ้ํา
“คุณพอใจแค่นี้จริงๆเหรอ?”
“แค่นี้ก็เยอะแล้วครับ ดันเจี้ยนไม่ได้ใหญ่มาก ใช้เวลาโจมตีไม่นานก็เสร็จ”ซูฮยอนกล่าวจบ ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้
“คุณจะโจมตีดันเจี้ยนตอนนี้เลย?”
“ผมนอนพักระหว่างอยู่บนเครื่องบินหลายชั่วโมง ร่างกายจึงเปี่ยมล้นด้วยพลังงานพร้อมรบ ไม่มีเหตุผลที่ผมต้องเลื่อนการโจมตีดันเจี้ยนออกไป จริงไหมล่ะครับ?”
“ทีมโจมตีที่ย
รไว้ ยังรวบรวมสมาชิกไม่ครบเลย….ช่วยรอก่อนได้ไหมครับ?”
“ผมบอกคุณตั้งแต่ตอนไหน ว่าผมอยากได้ทีมโจมตี?…”
ขณะเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา ซูฮยอนลอบสังเกตสีหน้าของเดวิด ซอบยานิน ไปพลางๆ
สีหน้าของนายกเทศมนตรีบ่งบอกชัดเจน ว่ากําลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้พอสมควร
ด้วยความแข็งแกร่งที่ซูฮยอนครอบครอง ไม่แปลกหากเขาคิดโจมตีดันเจี้ยนตัวคนเดียว โดยไม่หวังพึ่งทีมโจมตี อีกนัยหนึ่งหมายความว่า แม้จะกําหนดค่าตัวและข้อเรียกร้องครบถ้วนกระบวนความแล้ว แต่พวกเขาไม่มีหน้าที่ให้ปฏิบัติเลย นอกจากยืนให้กําลังใจอยู่ด้านนอกเฉยๆ แบบนี้อาจส่งผลให้ค่าตัวและส่วนแบ่งหินอีเธอร์ของซูฮยอนถีบตัวสูงขึ้น
ตามความคิดเห็นของ เดวิด ซอบยานิน ต้องทํายังไงก็ได้ ไม่ให้ค่าตัวของซูฮยอนลุกลามบานปลาย และส่วนแบ่งหินอีเธอร์ 30 เปอร์เซ็นต์ต้องไม่เพิ่มไปมากกว่านี้
ปริมาณหินอีเธอร์ที่ขุดพบได้ในดันเจี้ยนมีอยู่อย่างจํากัด และการมีผู้ตื่นขึ้นชาวรัสเซียเข้าการโจมตีดันเจี้ยน เปรียบเสมือนเป็นหลักประกันอย่างหนึ่ง หากการโจมตียุติลงเมื่อไหร่ ทรัพยากรที่พวกเขาควรได้รับจะเพิ่มขึ้น และมีความสมเหตุสมผล
“แต่ในเมื่อคุณเตรียมทีมโจมตีไว้ก่อนแล้ว ถ้าไม่ใช้เลยคงเสียของเปล่าๆ ผมรออยู่ตรงนี้แหละ คุณรีบรวบรวมสมาชิกให้เสร็จๆเถอะ” ซูฮยอนกล่าวเสียงจืด
ซูฮยอนไม่ซีเรียสเรื่องเงินหรือหินอีเธอร์ที่พบในดันเจี้ยนตั้งแต่แรก เป้าหมายของเขาคือการปรับร่างกายในชินกับความแข็งแกร่งใหม่ อีกอย่างเขาไม่ใช่เจ้าบ้านด้วย เจ้าบ้านว่าอะไร เขาก็ว่าตามนั้น..
หลังได้ยินคําพูดจากซูฮยอน ผิวกายและแววตาของเดวิด ซอบยานิน แพรวพรายระยิบระยับทันตาเห็น แต่ไม่นานเขาก็ค่อยๆก้มหน้าต่ําลง เพราะรู้สึกกระดากอายกับพฤติกรรมของตัวเอง
“ขอโทษด้วยจริงๆ ที่ทําให้คุณต้องเสียเวลา”
“ไม่ต้องใส่ใจหรอกครับ จริงสิ หากสมาชิกทีมโจมตีของคุณพร้อมแล้ว อย่าลืมมาแจ้งให้ผมทราบด้วย เร่งมือหน่อยก็ดีครับ จะได้เริ่มโจมตีดันเจี้ยนเร็วๆ”
“เข้าใจแล้วครับ อาจต้องใช้เวลานานสักหน่อย กว่าพวกเขาจะรวมตัวกันครบ
เดวิด ซอบยานิน หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋า นิ้วกดเบอร์โทรไปหาใครบางคน เขาติดต่อไปยังสํานักงาน ผู้ตื่นขึ้นของรัสเซีย เรียกรวมทีมโจมตีและผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ที่เคยนัดหมายกันไว้ พร้อมกําชับคนที่ฟังอยู่ปลายสาย ให้รีบมาจุดเกิดดันเจี้ยนโดยเร็วที่สุด
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา….
ทีมโจมตีดันเจี้ยนมีสมาชิกทั้งหมด 30 คน ถูกจัดเตรียมขึ้นอย่างเร่งด่วน ว่าก็ว่าเถอะตัวเลขสมาชิกทีมโจมตีน้อยเกินไปสําหรับพิชิตดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงิน..
“พวกเราเตรียมความพร้อมเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ!”
เลขาส่วนตัวของนายกเทศมนตรีคนหนึ่ง วิ่งซื้อไปหาซูฮยอนอย่างรีบเร่ง เพื่อรายงานความคืบหน้า ซูฮยอนที่กําลังนั่งพักผ่อนสบายใจเฉิบ อยู่มุมหนึ่งของเต็นท์ เงยหน้าขึ้นมอง…
เลขายื่นกระดาษรายชื่อผู้ตื่นขึ้นที่รับหน้าที่โจมตีดันเจี้ยนครั้งนี้ให้กับซูฮยอน
เขาเอื้อมมือรับ ก้มหน้าไล่อ่านผ่านตา ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ A 5 คน แรงค์ B 24 คน และแรงค์ S 1 คน
ทั้งหมด 30 คน ไม่ขาดไม่เกิน ความแข็งแกร่งสามารถเทียบเคียงได้กับกิลด์ขนาดใหญ่ 2 แห่งมัดรวมกัน แต่ในสายตาของซูฮยอน แค่นี้ยังไม่เพียงพอในการพิชิตดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงิน
“ไปกันเถอะครับ เดียวพวกเขาจะรอนาน”
กิริยาท่าทางปราศจากความลังเลซูฮยอนเด้งตัวลุกขึ้นยืน ก้าวเท้าเดินไปปากทางเข้าดันเจี้ยนด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ห้วงอารมณ์ของทีมโจมตีดันเจี้ยนทั้ง 30 คน ตอนนี้เต็มไปด้วยความประหม่า สาเหตุเกิดจากจํานวนสมาชิก โจมตีดันเจี้ยนที่รวบรวมมาต่ํากว่าที่เกณฑ์กําหนดเยอะมาก
ทีมโจมตีทุกคนล้วนเป็นผู้ตื่นขึ้นชาวรัสเซีย พวกเขาถูกเรียกรวมพลอย่างกะทันหัน ที่แย่ไปกว่านั้นคือ แต่ละคนมาจากต่างกิลด์ หมายความว่าสมาชิกในทีมโจมตี ไม่เคยร่วมมือประสานงานกันมาก่อน..
“กําลังคนมีแค่หยิบมือเดียว ยังคิดโจมตีดันเจี้ยนอีก ฉันไม่ได้ลงนามโจมตีดันเจี้ยน เพื่อหาเรื่องตายนะโว้ย”
ผู้ตื่นขึ้นคนหนึ่งที่ทํางานให้กับสํานักงาน นามว่า ดมีตรี เปล่งเสียงตะโกนดังลั่น หวังระบายความวิตกกังวลที่อัดอั้นอยู่ในอกให้ออกไป ก่อนที่การโจมตีดันเจี้ยนจะเริ่มอย่างเป็นทางการ สายตาหรี่แคบมองประภาคารแห่งมอสโกที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงิน นัยน์ตาที่ดมีตรีใช้มองสํารวจสมาชิกทีม โจมตีสั่นสะเทือนอย่างสิ้นหวัง
“นายอย่าคิดมากน่า พวกเราไม่ตายง่ายๆหรอก หน้าที่ของพวกเราไม่มีอะไรมาก แค่มาเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย เดินโง่ๆในดันเจี้ยนเป็นพอ”
ใครบางคนเดินเข้ามาประชิดตัวพร้อมตบแผ่นหลัง ดมีตรี เบามือ เสียงพูดและการกระทําที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีกลอง ทําเอาเจ้าตัวสะดุ้งโหยง รีบเลี้ยวคอเหลียวมองไปด้านหลัง
คนที่จู่ๆก็โผล่มาหลังคนอื่นโดยไม่ให้สัมให้เสียง คือ เชอร์นอฟ ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ของรัสเซีย และถือว่าเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในสํานักงานผู้ตื่นขึ้น
ดมีตรีเอ่ยปากถาม “นายเชื่อใจคิมซูฮยอน?”
“เชื่อใจเต็มร้อยเลยแหละ นายรู้หรือป่าว คิมซูฮยอนคนนี้เคยบุกโจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินด้วยตัวคนเดียวมาแล้วนะ”
“แค่ครั้งเดียวเอง มันยืนยันอะไรไม่ได้หรอก อีกอย่างต่อให้ระดับของดันเจี้ยนเหมือนกัน แต่อปสรรคที่แฝงอยู่ด้านในต่างกันคนละเรื่อง นายก็รู้ดีว่ากําลังคนเท่านี้ ไม่เพียงพอในการโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเขียวด้วยซ้ํา”
“นายกําลังจะบอกว่าเรื่องที่คิมซูฮยอนสามารถพิชิตดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินด้วยตัวคนเดียว เป็นเพียงความบังเอิญ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก แต่ว่า…”ดมีตรีกล่าวเสียงต่ํา สายตาเหลือบมองแผ่นหลังซูฮยอนที่ยืนอยู่ด้านหน้าทีมโจมตี อีกฝ่ายกําลังพูดคุยกับเลขาของนายกเทศมนตรีและรอสมาชิกทีมโจมตีคนอื่นๆเตรียมข้าวของให้เรียบร้อย ก่อนที่จะเข้าดันเจี้ยน…
“เหลือดีกว่าขาด นายไม่คิดเหมือนกันเหรอ?”
เชอร์นอฟที่ได้ยินคําพูดของดมีตรี ลอบถอนหายใจออกมาคําหนึ่ง…
ดมีตรี เป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ B ที่ทํางานให้กับสํานักงาน อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะถึงแรงค์ A ความสามารถของเขาไม่อาจดูแคลนได้ แต่ถ้าบังคับให้เชอร์นอฟพูดความจริงว่าจุดอ่อนของดมีตรีคืออะไร ตอบได้เต็มปากว่า อีกฝ่าย [กลัวตาย] มากเกินไป ขวัญอ่อนราวมุสิก
แต่เชอร์นอฟไม่สามารถตําหนิเจ้าตัวเรื่องนั้นได้ เพราะความกลัวสถิตอยู่ในตัวของทุกคน..
“ฉันเอาหัวเป็นประกัน พวกเราจะไม่พบอันตรายในดันเจี้ยน”เชอร์นอฟมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าเหตุการณ์ที่ดมีตรีกังวลจะไม่มีทางเกิดขึ้น
“ฉันเชื่อแบบนั้น เพราะฉันเคยต่อสู้กับเขามาก่อน แม้จะเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เช่นเดียวกัน ทว่าความแข็งแกร่งของผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S แต่ละคนกลับไม่เหมือนกัน ก็คล้ายๆกับดันเจี้ยนที่นายพูดถึงนั้นแหละ”
เชอร์นอฟสามารถผ่านเข้ารอบลึกในสงครามแก่งแย่งอันดับมาได้ ด่านสุดท้ายที่เขาต้องก้าวข้ามไปให้ได้คือ ซูฮยอนจําได้ขึ้นใจเลยว่าการต่อสู้ครั้งนั้นเขาแพ้ซูฮยอนหมดรูป ความแข็งแกร่งของซูฮยอน เขากระจ่างแจ้งดีกว่าทุกคน แม้สมาชิกทีมโจมตีจะมีแค่หย่อมหนึ่ง แต่เพราะมีซูฮยอนอยู่ในทีมด้วย เขาจึงไม่รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด
“ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S มากกว่า 30 คน ซูฮยอนยังผ่านมาแล้ว นับประสาอะไรกับดันเจี้ยนสีน้ําเงิน ไม่คณามือเขาหรอก”
ดมีตรีถาม “เขาแข็งแกร่งขนาดนั้นเลย?”
“แข็งแกร่งโคตรๆ”
เชอร์นอฟตอบกลับรวดเร็วฉะฉาน ไม่มีทีท่าสองจิตสองใจ
ดมีตรี มีโอกาสพบปะกับ เชอร์นอฟ หลายหน และทุกครั้งที่พวกเขาเจอกัน สีหน้าของผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S มักแย้มพรายให้เห็นถึงความหยิ่งในศักดิ์ศรี แต่ยามนี้ชายที่ไม่ก้มหัวให้ใครง่ายๆ กําลังยกยอปอปั้นคนอื่นออกหน้า ออกตา
“อย่างงั้นเหรอ…”
ดมีตรีได้ยินข่าวลือหนาหูจากปากคนอื่นมาเยอะ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ซูฮยอนสามารถเอาชนะกอร์ดอนโรฮัน หรือ เรื่องที่ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับใครเลยในสงครามแก่งแย่งอันดับ
ไหนจะเรื่องประมือกับกลุ่มผู้ตื่นขึ้นของสหภาพยุโรปที่พยายามลอบทําร้ายเขาลับหลัง ไม่วายยังมีเรื่องที่ไปช่วยเหลือกอร์ดอนโรฮันอีก
และวีรกรรมล่าสุดของซูฮยอนที่ออกข่าวโด่งดังไปทั่วโลก นั่นก็คือ การพิชิตดันเจี้ยนระดับสีน้ําเงินที่โผล่บนแผ่นดินประเทศเกาหลีใต้ด้วยตัวคนเดียว
<< แต่ข่าวลือที่ส่งผ่านปากต่อปาก มักเกินจริงเสมอ >>
ขณะเดินตามหลังซูฮยอนเข้าไปในดันเจี้ยน ดมีตรียังคงรู้สึกวิตกกังวลไม่หาย แม้จะได้รับคําปลอบใจจากเชอร์นอฟ แล้วว่าไม่ต้องพะวง แต่ความไม่สบายใจใช่ว่าจะขจัดออกไปได้ง่ายๆ
ดมีตรี แอบปรายตามองกลับหลังเป็นระยะๆ ลอบวางแผนในใจ สมมุติเข้าไปในดันเจี้ยน แล้วเผอิญเจอเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน เขาจะรีบหันหลังกลับ วิ่งหนีเอาตัวรอดออกจากดันเจี้ยนให้เร็วที่สุด คนอื่นจะเป็นจะตายยังไงก็ช่าง ชีวิตของตนเองสําคัญสุด
เมื่อทีมโจมตีก้าวเท้าเข้าสู่ดันเจี้ยน…
ตูม!!
ภาพแรกที่ต้อนรับสายตาของ ดมตรี หลังก้าวเท้าเข้ามาในดันเจี้ยน คือ ร่างลิงยักษ์ตัวหนึ่งลอยละลิ่วปลิวขึ้นไปบนอากาศ ด้วยแรงหมัดที่ทรงพลังของใครบางคนที่อยู่หัวแถว