เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 728
ตอนที่ 728 ข่าวลือของกบฏ
“เมื่อคืนนี้หลังจากการโจมตีของสี่ทัพทําให้ป่าอสูรราบเป็นหน้ากอง ข้าได้ส่งคนเข้าไปยังพื้นที่สมรภูมิเพื่อเก็บกวาดพื้นที่และช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ หนึ่งในทหารรายหนึ่งได้เข้าพบข้าเป็นการส่วนตัวและส่งมอบป้ายทองแผ่นนี้ที่มันพบอยู่บนซากของสัตว์อสูรตัวหนึ่งให้ข้าเองกับมือ”
จื่อหมิงพลิกป้ายทองไปอีกด้าน พบว่าด้านหลังของป้ายทองแผ่นนี้มีตัวอักษรสลักอยู่ คําที่สลักอยู่นั้นก็คือ ชื่อของผู้ครอบครองแผ่นป้ายแผ่นนี้นั่นก็คือหนิงชวน นามของรัชทายาทนั่นเอง
จักรพรรดิปีศาจที่อยู่ตรงหัวโต๊ะกําลังนั่งกอดอกหลับตา สีหน้าของมันแสดงถึงความเศร้าสร้อย บุคคลที่จื่อหมิงกล่าวถึงนั่นก็คือบุตรชายคนโตของมัน
“ข้าได้ส่งคนไปสํารวจตรวจสอบซากศพของสัตว์อสูรอีกครั้งในป่า และพบว่ามีป้ายที่มีสัญลักษณ์ในลักษณะเดียวอยู่ในตัวของพวกมันอีกหกชิ้น”
“ด-เดี๋ยวก่อนท่านจื่อหมิงตอนนี้ข้างงไปหมดแล้ว ท่านว่าอะไรนะ รัชทายาททรยศ? เขาจะทําแบบนั้นไปเพื่ออะไร” ผู้ร่วมประชุมกลุ่มเดิมกล่าวถามด้วยความสับสน พวกมันเหล่านี้ล้วนรับตําแหน่งปกครองเมืองที่อยู่ไกลโพ้นหลายพันลี้ จึงไม่แปลกที่ข่าวลือเรื่องไร้สาระจะไปไม่ถึงหูพวกมัน ส่วนผู้ร่วมประชุมที่สงบเสงี่ยมเงียบขรึมทั้งหลายต่างระแคะระคายมาตั้งแต่ต้นข่าวลือเกี่ยวรัชทายาทหนาหูอยู่ไม่น้อย
แต่มันเป็นเพียงแค่ข่าวลือ ฉะนั้นแล้วตั้งแต่เข้าเมืองมาจึงยังไม่มีใครปริปากเอ่ยถึงรัชทายาทเลยแม้แต่คนเดียว กระทั่งเมื่อจักพรรดิปีศาจเรียกรวมตัวจัดการประชุมลับในครั้งนี้ ทําให้พวกมันรู้ว่าข่าวลือนั้นมีเคร้าโครงความจริง
“เหตุผลของเขาข้าเองก็มิทราบ” จื่อหมิงกล่าวพลางส่ายหัว
“มันเกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน” ตอนนั้นเองจักรพรรดิปีศาจกล่าวอย่างแผ่วเบา
“สิบปีก่อน?” วาจาของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ดั่งทองคําเหล่าผู้นําทั้งหลายหันมองราชาของตนเป็นตาเดียว
“อืม…ไม่สิอันที่จริงเพียงหนึ่งปีก่อนนี่ล่ะ แต่เรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มต้นที่สิบปีก่อนหน้า เมื่อข้าทราบว่าอันเอ๋อร์เป็นผู้ครอบครองจิตวิญญาณแห่งปัญญาของเทพอสูร ข้าก็หมายมั่นตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะยกตําแหน่งจักรพรรดิให้นางเป็นผู้สานต่ออุดมการณ์ของพวกเราปกครองเผ่าปีศาจทั้งมวล โดยที่หวังว่าอันเอ๋อร์จะนําเผ่าปีศาจของเรารุ่งเรืองดังเช่นปฐมจักรพรรดินี” จักรพรรดิปีศาจกล่าวน้ําเสียงของมันแฝงไปด้วยความผิดหวัง
“จนกระทั่งหนึ่งปีก่อน ขณะที่ชวนเอ๋อร์เข้าเฝ้า พวกเราพ่อลูกสนทนาปรึกษากันหลายเรื่องและหนึ่งในนั้นก็มีเรื่องของอันเอ๋อร์เข้ามาเกี่ยวข้อง…”
“ตั้งแต่นั้นมา ข้ารู้สึกว่าชวนเอ๋อร์เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน บ่อยครั้งที่เขาอาสานํากําลังทหารส่วนตัวออกไปลาดตระเวณในป่าอสูร” จักรพรรดิปีศาจกล่าวน้ําตาคลอเบ้า สีหน้าของมันซีดลงอย่างรวดเร็ว
“อะแฮ่ม” จื่อหมิงส่งเสียงขัดจังหวะ แม้มันจะกล่าวว่าไม่รู้เหตุผลสําหรับการทรยศของรัชทายาท แต่แท้จริงแล้วมันก็รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอยู่เต็มอก
ครึ่งปีก่อนรัชทายาทที่ใช้ข้ออ้างนําทหารส่วนตัวหนึ่งทัพออกไปสํารวจป่าอสูร ทว่าเวลาผ่านไปกว่าอาทิตย์ นับเดือน ก็ยังไม่มีวี่แววของรัชทายาท ไม่มีการส่งข่าวใดๆกลับมาทั้งสิ้น
ตอนแรกทั้งจักรพรรดิและซื่อหมิงก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเฝ้าอาวรณ์ แต่ยิ่งนานเข้ายิ่งระแคะระคายสงสัย เมื่อหน่วยสอดแนมที่ประจําการอยู่ในป่าอสูรบริเวณแถบชายแดนทางฝั่งแดนอสูร พวกมันล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยพบรัชทายาทผู้นี้เลยสักครั้ง
หน่วยย่อยที่เคยพบกับกลุ่มของรัชทายาท ก็มีเพียงหน่วยลาดตระเวณที่ประจําตําแหน่งส่วนทางเข้าของป่าอสูร
นั่นแสดงว่ารัชทายาทได้หายตัวไปอย่างลึกลับบริเวณส่วนกลางของป่ารกทึบพร้อมกับกองกําลังทหารในมือกว่าหนึ่งแสนนาย ซึ่งในช่วงเวลาการออกลาดตระเวณของรัชทายาทเองก็มีหน่วยย่อยหลายหน่วยหายสาบสูญไปเช่นกัน เดิมทีจื่อหมิงคิดว่าหน่วยย่อยพวกนั้นอาจถูกโจมตีโดยสัตว์อสูร แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปดูท่าหน่วย ย่อยเหล่านั้นบางที่อาจถูกปิดปากปลิดชีวิตโดยคนของรัชทายาทก็เป็นไปได้
“นี่หมายความว่าสัตว์อสูรทั้งห้าพันที่มารวมตัวเปิดสงครามในครั้งนี้ ก็มิใช่เรื่องบังเอิญและมิใช่เผ่าอสูรที่ตัวต้นคิดหนะสิ” ผู้ร่วมประชุมกล่าว
“อืม..มีความเป็นไปได้สูงว่ารัชทายาทคือผู้อยู่เบื้องหลังเป็นตัวการใหญ่ของสงครามในครั้งนี้” จื่อหมิงกล่าว
“ล-แล้วเขาทําไปเพื่ออะไร?” เมื่อได้ฟังต้นสายปลายเหตุแล้วผู้ร่วมประชุมหลายรายก็ยังไม่เข้าใจเจตนาของรัชทายาทรายนี้อยู่ดี
“ไม่ใช่เพราะตําแหน่งรัชทายาทของเขากําลังสั่นคลอนหรอกหรือ?”
“ความหมายของเจ้าคือ เขากลัวจะเสียตําแหน่งไปงั้นรึ?”
“หา! เพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หนะหรือ เขาถึงต้องแปรพักต์ไปเข้าร่วมกับเผ่าอสูรกลายมาเป็นศัตรูกับเผ่าพันธ์ตนเอง”
“ข้ารู้จักรัชทายาทดี เขาเป็นบุคคลหนึ่งที่มีนิสัยโหดเหี้ยมเด็ดขาดไม่สนวิธีการ ตอนที่ข้าเคยร่วมรบในสมรภูมิเดียวกับรัชทายาท เขาใช้ทุกวิถีทางโดยไม่สนใจว่าฝ่ายตนจะบาดเจ็บล้มตายมากเท่าไหร่เพื่อมุ่งหวัง แต่ชัยชนะและเขาก็เป็นผู้หนึ่งที่มีความทะเยอทะยานสูงยิ่ง”
“ตอนนี้เรื่องนั้นจะเป็นมายังไงไม่สําคัญ อย่างที่ข้ากล่าวไป สัตว์อสูรปัจจุบันมิใช่สัตว์เดรัจฉานโง่เง่าเบาปัญญาอีกต่อไป จากการรวมตัวกันของเหล่าอสูรก็เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่านี่มิใช่การเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว หากสิ่งที่ข้าคิดไว้ไม่ผิดตอนนี้สัตว์อสูรกําลังเคลื่อนไหวโดยถูกบงการโดยรัชทายาท”
“ไม่สิ…อดีต อดีตรัชทายาทฮียจอหนิงชวนบุตรแห่งจักรพรรดิปีศาจ คนผู้นี้ถูกยกย่องในเรื่องความเฉลียวฉลาดนับเป็นนักวางกลยุทธ์เป็นอัจฉริยะที่ในรอบร้อยปีจะมีสักคน”
“ทุกกลศึกที่ถูกจดบันทึกในตําราทุกเล่มล้วนผ่านตาเขา ฉะนั้นขอให้พวกท่านลืมวิธีกลยุทธ์ในตําราที่ใช้เวลามากในการจัดขบวนทัพไปเสีย หากอดีตรัชทายาทเป็นผู้กุมบังเหียนอยู่หลังม่านเผ่าอสูรจริง กลยุทธ์ที่ใช้เวลา จัดขบวนรบเชื่องช้าเหล่านี้จะไม่ทันการและมีเสร็จเห็นผล เพื่อมิให้ฝั่งศัตรูได้มีโอกาศวางแผนรับมือ”
“อีกประการ
ให้ทุกท่านปิดเป็นความลับต่อไปอย่าได้แพร่งพรายให้เหล่าประชาชนได้ล่วงกล่าว แน่นอนถ้าเรื่องที่รัชทายาททรยศไปอยู่ฝ่ายศัตรูรู้ถึงหูปวงประชาละก็…เหล่าทหารกล้าย่อมขวัญเสียไม่น้อย
ผู้ร่วมประชุมทั้งหลายสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานพวกมันก็ประติดประต่อทําความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของรัชทายาท
“ด้านหน้าของพวกท่านคือแผนที่สมรภูมิรบปัจจุบัน ข้อมูลที่ขาได้รับมาล่าสุดอสูรทั้งห้าพันตนนี้มีอสูรจําพวกสัตว์ปีกทั้งสิ้น ราวหนึ่งพันตนที่เหลือ เป็นอสูรภาคพื้นดินทั้งสิ้น”
“อย่างที่พวกท่านเห็นข้าได้จําแนกแยกอสูรที่พวกเรารู้จักกันดีโดยวาดภาพเหมือนของพวกมันเอาไว้ ในอสูรจําพวกนี้มีอยู่หลายชนิดที่เมืองหลวงปีศาจมิเคยประมือและไม่มีข้อมูลของพวกมัน เพื่อความสะดวกชิงความ ได้เปรียบมาฝั่งเรา เมืองของพวกท่านเมืองใดเคยเผชิญหน้ากับอสูรพวกนี้และทราบจุดเด่นข้อด้อยและวิธีรับมือ มันให้แก่ข้าด้วย” จื่อหมิงกล่าวพร้อมกับควักเอาก้อนหินสีแดงขึ้นมาวาดวงกลมไว้ตามรูปสัตว์อสูรเป็นหมายเหตุ
มิใช่สัตว์อสูรทั้งหมดที่มีข้อมูล สัตว์อสูรบางตัวแม้จะถูกค้นพบถูกวาดภาพลงไปในจารึกบันทึกข้อมูลของมันลงไปแล้วก็ตาม บางส่วนมีแค่ภาพและชื่อเรียกที่ตั้งกันขึ้นมาเองเท่านั้น ไม่มีข้อมูลเบื้องลึก คุณสมบัติความสามารถของมันกลับไม่ถูกบันทึกเข้าไปด้วย