เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 729
ตอนที่ 729 แผนรบ
“นี่ ตัวนี้จิ้งจอกตาเดียว เมืองของข้าเคยเจอเจ้าตัวนี้บ่อยๆ ดวงตาของพวกมันบอบบางอย่างยิ่งเป็นเหตุให้พวกมันไม่กล้าปรากฏตัวในตอนกลางวัน วิธีสู้กับมันง่ายแสนง่ายแค่เราจุดคบเพลิงให้สว่างมากๆเจ้าตัวนี้ก็ทําอะไรไม่ได้แล้วล่ะ!” ผู้นํารายหนึ่งเปิดประเด็นทันที
“นกกระเรียนขนเงินตัวนี้ข้าเคยเผชิญหน้ากับมันมาก่อน ตัวมันไม่มีพลังพิเศษอันใดเพียงแต่มีพละกําลังสูงและการป้องกันแทบจะไร้เทียมทาน ปีกของมันแข็งราวกับเหล็กห่อหุ้มทั้งร่างไม่ว่าการโจมตีใดก็ยากจะเจาะทะลุไปได้ ข้าล่ะจนปัญญากับมันจริงๆ” ผู้ร่วมประชุมอีกคนรายงานต่อทันที
“โอ้ะ แบบนี้นี่เอง จิ้งจอกตาเดียว…เมืองเปยหลางจะรับมือพวกมันได้ไหมนะ? พลังของพวกเขาสามารถสร้างแสงสว่างราวกับดวงอาทิตย์…คงต้องลองดู นกกระเรียนขนเงินที่ต้านทานการโจมตีทางกายภาพงั้นหรือ?…คงต้องให้ตําหนักเหลียงจัดการกับพวกมัน วิชาโคลนดินกลืนชีวิตของพวกเขาดูดร่างเจ้ากระเรียนนี้จมลงไปในดินแล้วผนึกมันไว้ชั่วนิรันด์ก็เข้าท่า” จ่อหมิงควักเอาสมุดเล่มน้อยในอกเสื้อออกมาจดบันทึกทั้งยังวิเคาะห์หาคู่ต่อสู้ให้แก่ฝั่งอสูรไปพร้อมเพรียงกัน
ใช้เวลาร่วมหลายนาที่ในการจัดการสัตว์อสูรสายพันธ์แปลกๆทั้งหลาย จ่อหมิงเขียนตัวอักษรลงในกระดาษแผ่นหนึ่งมอบหมายหน้าที่จัดสรรคนตามความเหมาะสม แยกคนกลุ่มนี้ออกจากกลุ่มหลักตั้งเป้าหมายให้พวกมันเน้นความสนใจไปที่สัตว์อสูรที่ความสามารถของพวกมันจะได้เปรียบ
และแล้วก็มาถึงจานหลักอีกครั้ง
“ต่อไปนี้จะเป็นการแสดงความเห็นระดมความคิดแผนการรับมือกับกองทัพอสูร หากท่านใดมีแผนการรับมือกับสัตว์อสูรสามารถเสนอความคิดมาได้เลย แต่ข้าต้องขอเตือนไว้อย่างหนึ่งที่แห่งนี้มิใช่สถานที่ที่ให้พวกท่านมาทะเลาะกัน การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ชีวิตของเผ่าปีศาจทั้งมวลขึ้นอยู่กับพวกเรา”จ่อหมิงกล่าวต่อพลางเดินกลับมานั่งที่ ดึงผู้ร่วมประชุมแต่ละรายมาสนใจแผนที่บนโต๊ะ มันอธิบายรายละเอียดที่ตนทราบให้แก่ผู้นําทั้งเก่าใหม่อีกครา
ภายในห้องเงียบสงัดเหล่าผู้นําก้มหน้าก้มตาเค้นสมองกันอย่างขมักเขม่น บางรายที่อารมณ์ร้อนหน่อยอย่างเช่นผู้นําแห่งอัคคีที่มถูกโฉลกกับผู้นําวารีสักเท่าไหร่ก็ลอบมองหน้าสบสายตากันเป็นระยะ
เวลาผ่านไปชั่วครู่จื่อเฟิงผู้ใช้พลังแห่งวายุที่ตอนนี้ดํารงตําแหน่งจอมพลทัพอากาศยกลุกยืนขึ้น
“ท่านจื่อหมิง ข้าคิดว่าพวกเราควรกําจัดอสูรจําพวกสัตว์ปีกก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อเรายึดน่านฟ้าได้เมื่อไหร่เผ่าปีศาจของเราจะได้เปรียบมากยิ่งขึ้นและมีแนวโน้มสูงที่จะสามารถเผด็จศึกกําชัยชนะในสงครามครั้งนี้”
“เราสามารถฉวยโอกาศส่งกําลังรบไปทางอากาศอ้อมไปตลบหลังพวกมันได้และยังสามารถนํากําลังเข้าไปในพื้นสมรภูมิเหนือกองทัพสัตว์อสูรและโจมตีมันจากเหนือศรีษะได้อย่างง่ายๆยิ่งกําลังรบที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวแม้เผ่าอสูรจะแข็งแกร่งมากกว่านี้อีกสิบเท่าร้อยเท่านั้นก็ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้หากโดนระดมโจมตีจากนักรบเผ่าปีศาจหลายสิบล้านนายจากทุกทิศทาง”
“และบางที….นักรบของพวกเราจะไม่ได้อันตรายใดๆเลยก็เป็นได้ สัตว์อสูรภาคพื้นดินมีจํานวนน้อยนักที่มีความสามารถโจมตีระยะไกลและถึงมี การโจมตีของพวกมันก็ไม่มีประสิทธิภาพยากจะต่อต้านทัพอากาศที่บินด้วยความสูงหลายพันเมตรได้ทําให้พวกมันทําได้แค่รับการโจมตีเพียงฝ่ายเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย”จ่อเฟิงกล่าว
“โฮ” จ่อหมิงส่งเสียงแห่งความตื่นเต้น
เหล่าผู้ร่วมประชุมตอนนี้มองจื่อเฟิงเป็นตาเดียวด้วยความสนอกสนใจ
“วิธีนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก แต่เราจะจัดการพวกอสูรบนท้องฟ้านี้ยังไงล่ะ จุดเด่นของอสูรจําพวกนี้ส่วนใหญ่อยู่ที่ความรวดเร็วในการเคลื่อนที่มีความคล่องตัวสูงยากจะจับต้อง พลรบฝั่งเราที่พอจะต่อกรกับพวกมันได้ก็มีแต่ทัพจากเมืองฮวางฉือของท่านจือเฟิงเท่านั้น” ผู้ร่วมประชุมรายหนึ่งออกความเห็น
“ก็จริงนะ ทัพอากาศเรามีทั้งหมดสามสิบทัพ เป็นทัพจากเมืองฮวางฉือผู้ใช้พลังวายุทั้งหมดยี่สิบ ส่วนอีกสิบทัพเป็นนักรบจากเมืองหลวงปีศาจที่ได้รับการฝึกฝนมาโดยเฉพาะสําหรับการต่อสู้ทางอากาศ แต่ทว่าทหารจากกลุ่มอื่นมิได้เชี่ยวชาญการรบบนท้องฟ้าสักเท่าไหร่ข้าเกรงว่าคงยากจะรับมือกับอสูรนภาพวกนี้”
“แต่ทัพอากาศเราก็มีจํานวนไม่ใช่น้อยๆนะ นั่นสามสิบทัพ สามล้านคนเลยนะ อัตราส่วนต่อทัพอากาศของเผ่าอสูรเท่ากับหนึ่งต่อสามพันเลยนะ!!
“นั่นสิ พวกท่านกังวลเกินไปรึเปล่า อย่าลืมสิว่าพวกเรามิใช่มีเพียงกําลังพลเท่านั้น ยุทธโธปรกณ์พวกเราก็มี ครบครัน อาวุธสําหรับโจมตีต่อต้านทางอากาศเราก็มีมิใช่รี”
“เออใช่ นั่นไงไอ้เครื่องยิงธนูรุ่นใหม่ล่าสุดที่ผลิตออกมาเมื่อปีที่แล้วหน่ะ เห็นว่ามีประสิทธิภาพสูงเลยนี่”
“ถูกต้อง!! วันนี้ข้าเองก็มีอาวุธใหม่มานําเสนอเช่นกัน” ผู้นําที่พึ่งเข้าร่วมประชุมในกลุ่มใหม่ควักเอาแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ เนื้อหาในกระดาษเป็นรูปวาดอุปกรณ์ชนิดหนึ่งรูปร่างคล้ายกับหน้าไม้ขนาดใหญ่มันคือแบบแปลนนั่นเอง
“นี่คือสิ่งที่เมืองของข้าได้วิจัยขึ้นมา มันมีชื่อว่าหน้าไม้ระเบิด คุณสมบัติของมันสามารถสร้างการโจมตีอานุภาพสูงได้อย่างดีเยี่ยมแถมการใช้งานก็ง่ายแสนง่าย หากผู้ใดสามารถยิงธนูเคยจับหน้าไม้ก็ล้วนใช้ได้กันทั้ง หมดโดยไม่จําเป็นต้องฝึกฝนเพิ่ม!”
“ใช่ข้าลืมไปเลยว่าไม่ใช่มีแต่พวกสัตว์อสูรที่พัฒนาพวกเราเองก็มิได้น้อยหน้าพวกมัน อสูรสายพันธ์ใหม่ที่ ไม่มีข้อมูลงั้น พวกมันเองก็ไม่มีข้อมูลของเราเช่นกัน!!”
“โอ้ แบบนี้แผนของท่านจือเฟิงต้องเป็นไปได้ด้วยดีแน่ๆ”
“ข้าว่าพวกเราต้องมีแผนสํารองเอาไว้เผื่อแผนการแรกใช้มิได้ผล”
“ข้าก็คิดไว้แผนหนึ่งเช่นกัน แบบนี้เป็นไงเรานําน้ํามันเชื้อเพลิงที่ใช้สําหรับจุดไฟให้ทัพอากาศโปรยให้ทั่วป่าอสูรรอให้ศัตรูบุกเข้ามาแล้วเราก็จุดไฟเผาพวกมันให้ไหม้เป็นตอตะโก”
“แผนนี้ไม่เลว คล้ายกับการโจมตีผสานสมรภูมิทําลายล้างของสี่ทัพเมื่อคืนนี้ แต่ครั้งนี้เราจะใช้เป็นน้ํามันเชื้อเพลิงแทนพลังของเหล่านักรบ แถมวิธีนี้ยังใช้ได้ทั้งรุกและรับหากตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินเข้าขั้นวิกฤตยังใช้แผนนี้สกัดกั้นการบุกชลอการเคลื่อนทัพของฝ่ายศัตรูได้ด้วย”
“ข้า ข้าก็คิดไว้แผนหนึ่งเช่นกัน” เหล่าผู้
หลายต่างเสนอความคิดแสดงความเห็นอย่างออกร
สออกชาติ
ใบหน้าของชื่อหมิงมีรอยยิ้มประดับมันผงกหัวรับฟังทุกความเห็น ทั้งยังจดบันทึกแผนการที่มีประโยชน์
กินเวลาล่วงเลยจนอาทิตย์ลับขอบฟ้า เข้าสู่ยามเย็นของสงครามระหว่างเผ่าพันธ์วันที่สองหอโอสถ
หงับ
หลินหยางชายหนุ่มผู้นอนแปล้อยู่บนเตียงอ้าปากคาบเนื้อนชิ้นโตเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยโดยมีเด็กสาวผิงอันคอยปรนนิบัติพัดวี ทั้งสองที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เช้าตรู่ของวันได้เรียนรู้ภาษาซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง
ผู้ที่เฉิดฉายในวันนี้หาใช่หลินหยางไม่ เป็นสาวน้อยผู้ใช้เวลาเพียงครึ่งวันในการเข้าอกเข้าใจภาษาจีนที่ชายหนุ่มใช้จนสามารถพูดต่อเป็นประโยคได้คล่องปรือถูกต้องทุกคําไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่พยางค์เดียว นอกจากคําที่ยังมิเคยร่ําเรียนแล้วละก็นะ
ส่วนหลินหยางผู้ที่ได้อาจารย์ยอดอัจฉริยะสอนให้ตัวต่อตัว ผนวกกับสติปัญญาอันโดดเด่นของมันตอนนี้มันสามารถสนทนาเป็นประโยคง่ายๆได้อย่างราบรื่นทั้งยังได้รับความรู้ใหม่เกี่ยวกับวิชาทางการแพทย์เบื้องต้นซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับสมุนไพรรักษาโรคทั่วไปและการรักษาบาดแผลภายนอก