เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 726
ตอนที่ 726 การประชุมผู้นําโลกปีศาจ(ตอนปลาย)
“ไม่หรอก ตอนนี้ปัจจัยหลักคือป่าอสูรเพื่อใช้กระจายเกสรพิษของวิชาราชันย์พฤกษาสังหาร ต้นไม่ใหญ่ที เป็นรากฐานของป่าอสูรได้พังพินาศไปหมดแล้ว ส่วนต้นไม่ในป่าอสูรที่พวกท่านเห็นอยู่ตอนนี้คือผลของวิชาเขตแดนพฤกษา บุผผาสวรรค์ มิใช่พฤกษาดั้งเดิมที่เคยมีอยู่จากการเติบโตนับพันนับหมื่นปี”
“พฤกษาที่กําเนิดขึ้นมาใหม่เหล่านี้ เป็นเพียงต้นอ่อนเท่านั้นยากจะเทียบความแข็งแรงกับต้นกําเนิดเดิมได้ หากเราจะล่อให้เผ่าอสูรเข้ามาเกรงว่าเพียงแค่อสูรที่สูงสักสอง สามเมตรเดินเฉียวชนก็คงทําให้ต้นไม้เหล่านี้ล้มระเนระนาดแล้วล่ะ หน้าที่ของป่าอสูรตอนนี้ก็ทําได้เพียงกีดขวางการเคลื่อนขัดขวางมิให้ศัตรูรุกคืบเข้ามาได้ง่าย” จอมผู้ใช้พลังพฤกษากล่าว
“อืม…ปัจจัยหลักของการโจมตีนี้คือภูมิประเทศของป่าอสูร เพราะวิชาพายุนรกที่เป็นแกนกลางมันจะหมุนเป็นวนในลักษณะกระจายตัวออกเพื่อกระจายเกสรพิษเพื่อเป็นชนวนให้แก่ผู้ใช้พลังอัคคี ฉะนั้นหากมิใช่ป่าอสูรที่เป็นป่ารกทึบที่สามารถกักเก็บเกสรพิษคงความหนาแน่นเอาไว้ได้ก็ยากจะสําเร็จ” จ่อเฟิงผู้ใช้พลังวายกล่าวเสริม
“ก็ตามที่พวกเขากล่าวมานั่นแหละ แม้ไม่นับเรื่องสมรภูมิรบ การใช้พลังเพื่อโจมตีเป็นวงกว้างนั้นก็กินกําลังไม่ใช่น้อยๆและผลลัพธ์ก็อย่างที่เห็น จํานวนอสูรที่ตกตายไปอย่างไม่เป็นทางการนั้นมีอยู่ราวหนึ่งร้อยตัว ซึ่งพวกมันเป็นเพียงอสูรวัยเยาว์และรูปร่างเล็ก ในจํานวนนี้ก็นับรวมอสูรหนอนยักษ์ที่ไม่มีคุณสมบัติในการโจมตีอีกด้วย”
“แล้วพวกท่านลืมไปแล้วหรือ? ยังมีสัตว์อสูรมากกว่าครึ่งที่พวกเรายังไม่รู้ความสามารถ พวกท่านจะแน่ใจได้ยังไงว่าในจํานวนนั้นไม่มีอสูรที่สามารถลบล้างพลังโจมตีของวิชาผสานสมรภูมิทําลายล้างได้? อย่างน้อยข้าก็รู้อสูรชนิดหนึ่งที่จะไม่ตายจากแรงระเบิด นั่นก็คือมดไฟที่มีคุณสมบัติธาตุไฟสามารถต้านทานความร้อน พวกมันเป็นปรปักษ์กับเมืองฮัวหงผู้ใช้พลังอัคคีอันดับหนึ่งของเผ่าปีศาจเรามาอย่างช้านาน ฉะนั้นข้าไม่คิดว่าแรงระเบิดเพียงอย่างเดียวจะสามารถฆ่าพวกมันได้หรอก”
“เอาเถอะหากวิธีนี้ได้ผลอย่างที่ท่านว่า มันก็ยังไม่เหมาะแก่การใช้งานจริงอยู่ดี ด้วยอสูรที่มีมากกว่าห้าพันตน นั่นแสดงว่าทัพอัคคี พฤกษาและวายุต้องใช้การโจมตีผสานมากกว่าห้าสิบครั้งกว่าจะกําจัดศัตรูจนหมด หากมันจะได้ผลทุกครั้งละก็นะ…”
“อีกอย่างตอนนี้ตามที่ได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนม พวกสัตว์อสูรปักหลักอยู่ที่ชายแดนเผ่าอสูรมิได้ย่างกรายเข้ามาในป่าอสูรมิใช่รี? ด้วยระยะการโจมตีมิได้ครอบครุมได้ไกลขนาดนั้นจะทํายังไงล่ะ? ส่งคนไปล่อศัตรูให้มาติดกับ? แบบนั้นมันก็ไม่ต่างจากวิธีแรกเลยมิใช่รึไง หรือจะใช้ทั้งสามทัพย้ายไปปักหลักในป่าอสูร แบบนี้ก็ ดีเลยเราจะได้เป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียเอง…”จ่อฮว่านผู้ควบคุมวารีกล่าว พลพรรคผู้ใช้พลังวารีของมันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการผสานการโจมตีแต่อย่างใด
“อืม…” ผู้ร่วมประชุมผงกหัวอย่างเข้าใจเมื่อได้ฟังคําอธิบายจนละเอียดยิบจากผู้นําทั้งสี่ เจตนาของพวกมัน ชัดเจนว่าไม่คิดใช้แผนการเดิม ทั้งเหตุผลที่พวกมันยกมาก็สมเหตุสมผล
“นี่พวกท่านไม่มีใครคิดจะเสนอแผนการรบใดเลยรี” หนึ่งในผู้ร่วมประชุมกล่าว
“อย่ามองข้า กลยุทธ์อะไรนั่นขาไม่มีหรอก ข้ารู้เพียงแค่วิธีการต่อสู้กับศัตรูในน้ําก็เท่านั้น” จ่อฮว่านเจ้าเมืองวารีกล่าว
“จะคิดมากทําไมให้ปวดหัว พวกเราก็ใช้วิธีที่ธรรมชาตคัดสรรค์ตัดสินกับพวกมันด้วยพลังและกําลังพลเป็นไง
ท่านคิดตื้นเกินไปแล้ว แบบนั้นแม้ฝ่ายเราจะเป็นผู้ชนะก็ยังได้รับความเสียหายไม่ต่างจากผู้แพ้เท่าไหร่หรอก กลับกันหากฝ่ายเราเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ําล่ะ นั่นก็หมายความว่านักรบเผ่าปีศาจของเราได้สูญสิ้นไปจนหมด แล้วพวกเราจะเอากําลังที่ไหนไปตานหากสัตว์อสูรมันยกทัพมาอีกครา”
ใช่แล้ว พวกอสูรเดรัจฉานมันไม่รู้จักคําว่าถอยหรือพ่ายแพ้หรอกนะ
แต่วิธีนี้อาจจะดีก็ได้นะ ข้าคิดว่าจํานวนห้าพันของฝ่ายตรงข้ามคงจะเป็นกําลังทั้งหมดของมันแล้วล่ะ ตอนนี้ ฝ่ายเรามีกําลังทหารเหนือกว่าศัตรูนับร้อยนับพันท่า บางทีนี่อาจเป็นโอกาสที่เราจะได้กวาดล้างเผ่าอสูรให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์เสียที
ท่านมั่นใจได้อย่างไงว่าจํานวนนี้คือทั้งหมดของเผ่าอสูร พวกเรามีแค่ข้อมูลคร่ําครีเก่าพันปี ไม่แน่ตอนนี้ พวกอสูรอาจแพร่พันธ์มีจํานวนมากขึ้นหลายเท่าตัวแล้วก็เป็นไปได้
“พวกท่านคงมิได้มองข้ามอสูรจําพวกสัตว์ปีกใช่ไหม ข้าคิดว่าอสูรที่เคลื่อนไหวบนท้องฟ้าเหล่านี้ควรถูกกําจัดก่อนเป็นกลุ่มแรกเพื่อยึดน่านฟ้า จะทําให้ฝ่ายเราชิงความได้เปรียบอย่างยิ่ง” จ่อเฟิงเจ้าเมืองวายุเตือนสติเหล่าผู้นํา
ตอนนี้เหล่าผู้นําทั้งหลายต่างครุ่นคิดกินเวลาไปไม่น้อยพวกมันก็ยังไม่มีข้อสรุปถึงแผนการรับมือคู่ต่อสู้
การต่อสู้ระหว่างเผ่าปีศาจและอสูรไม่มีกลยุทธ์มากนัก มันมิใช่การเผชิญหน้ากันระหว่างผู้มีปัญญา สัตว์อสูรส่วนใหญ่ใช้เพียงสัญชาตญาณของตนยากจะคาดเดาสิ่งที่พวกมันคิด จึงเป็นเรื่องยากจะใช้แผนการในการสู้รบ
อีกอย่างการเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นการต่อสู้ขนาดเล็กมีสัตว์อสูรแค่ตัวหรือสองตัวอย่างมากสุดที่เจอในคราวเดียวคือสิบตัว วิธีการรับมือกับอสูรพวกนี้ ก็แทบจะเป็นในลักษณะเดียวกันของทุกเมืองนั่น ก็คือใช้นักรบจํานวนมากล้อมและจัดการอสูรจากทุกทิศทางและมีอีกวิธีที่ง่ายกว่านั่นก็คือหนี…
แต่ตอนนี้ทั้งสองวิธีที่ใช้มาโดยตลอดไม่สามารถนํามาใช้งานได้ พวกมันไม่สามารถอ้อมเข้าไปในแดนอสูร และล้อมศัตรูจากฝั่งของมันเอาไว้ได้ ทั้งยังไม่สามารถหนีทิ้งเมืองหลวงปีศาจที่เปรียบดั่งเมืองหน้าด่านที่สําคัญที่สุดของแดนปีศาจได้ด้วย มิฉะนั้นพวกมันจะสูญเสียพื้นที่ที่สําคัญที่สุดไปอย่างไม่ต้องสงสัย
มุมห้องปรากฏชายชุดดําที่คุ้นเคย มันเดินมากระซิบกระซาบส่งข่าวให้ข้างหูของจอหมิงก่อนที่จะหายกลับเข้าไปในความมืด ตั้งแต่ผู้นําทั้งหลายเสนอความคิดแสดงความเห็น ชายชุดดํารายนี้เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่มาเป็นระยะส่งรายให้แก่จื่อหมิงอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
พรบ
จ่อหมิงลุกจากเก้าอี้พร้อมกับนําแผ่นหนังที่พับทับซ้อนกันหลายชั้นออกมาคลี่กางออกบนโต๊ะทรงรี มันคือแผนที่โดยรอบของป่าอสูร
บนแผนที่หนังสัตว์มีรายละเอียดยิบย่อยส่วนซ้ายสุดของแผนที่มีกําแพงเมืองซึ่งเป็นปราการด่านสุดท้าย ตรงกึ่งกลางมีภาพจําลองของป่าอสูรกินพื้นที่มากกว่าครึ่งนึงตั้งแต่บนจรดล่าง ส่วนขอบด้านบนและด้านล่างเป็นพื้นที่ว่างและมีตัวอักษรเขียนไว้ว่าทะเลซึ่งนั่นก็คือจุดสิ้นสุดของป่าอสูร
ระหว่างกําแพงเมืองจนถึงป่าอสูร ตรงส่วนนี้ถูกขีดเขียนและลบซ้ําแล้วซ้ําเล่าโดยแม่ทัพจอหมิง สิ่งที่ถูกวาดลงไปบนแผนที่คือที่ตั้งฐานทัพที่ระบุรายละเอียดไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นทัพจากเมืองใดอยู่ตรงส่วนไหน ซึ่งจากที่เห็นตอนนี้ระหว่างป่าอสูรจนถึงขอบกําแพงเมืองแทบไม่มีที่ว่างให้แต่งแต้มอีกต่อไป
ข้ามไปฟากขวาของป่าอสูร ตรงจุดนี้เป็นรูปวาดเสียส่วนใหญ่ รูปของสัตว์อสูรและชื่อของมันถูกเขียนไว้ข้างใต้อย่างเป็นระเบียบและยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เป็นรูปวาดแปลกๆ พวกมันก็คือสัตว์อสูรที่เป็นสายพันธ์ปริศนานั่นแล
เหล่าผู้ร่วมประชุมลุกขึ้นจากเก้าอี้ยืนมองแผนที่หนังสัตว์ขนาดใหญ่บนโต๊ะด้วยความสนอกสนใจ ส่วนจื่อหมิงหลังจากนําแผนที่มาแผ่หลาอยู่บนโต๊ะมันเดินอ้อมไปทางหัวโต๊ะอีกฝั่งหยิบเอาก้อนหินสีดําก้อนหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาวาดเขียนลงบนแผนที่ฝั่งทางแดนอสูร
“นั่นเขาวาดตัวอะไรน่ะ?”
“ไอ้ตัวยาวๆนั้นอะไร ไส้เดือนหรอ?”
“ไส้เดือนหรอก ข้านึกว่าเขาขีดเส้นอะไรซะอีก”
“นก ตรงนั้นนกใช่ไหม?”
“หือ? ข้าคิดว่าเขาวาดไก่เสียอีก”
ผู้ร่วมประชุมที่กําลังจดจ่อกับแผนที่มองดูจื่อหมิงอย่างใจจดใจจ่อ
หลังวาดเสร็จกําลังรบของเผ่าอสูรก็ปรากฏสมาชิกใหม่ที่ตัวใหญ่กว่าสัตว์ตนอื่นๆทั้งสิ้นสิบสองตัว มันคือรูปเสมือนของอสูรผู้พิทักษ์นั่นเอง