หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 31
“ท่านแม่ ท่านอย่าไปฟังพี่สะใภ้สามพูดเหลวไหล ไหนเลยจะมีข้อห้ามมากเพียงนั้น” ไม่รอให้ทั้งสองคนรับปาก ต่งซูก็ออดอ้อนขึ้นมา “ลูกกับพี่สะใภ้สี่ตั้งแต่เล็กก็โตมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนม ข้าไม่เชื่อเรื่องพวกนี้!”
ซูเอ๋อร์ผู้นี้เหตุใดจึงไม่เข้าใจเจตนาดีของนาง จะต้องทำให้หลวนอวิ๋นชูเสียหน้าต่อหน้าธารกำนัล บอกว่าหลวนอวิ๋นชูมีความโชคร้ายเต็มตัว เป็นดาวหายนะจึงจะดีหรือ นายหญิงใหญ่มองต่งซูด้วยสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า นิ่งเงียบอยู่เป็นนาน
“น้องซูพูดอะไรเช่นนั้น นายหญิงใหญ่ก็ไม่ใช่ถือสา แต่เพราะรักและเมตตาน้องอวิ๋นชูต่างหาก” เหยาหลันน้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา แต่คำว่า ‘ถือสา’ กลับเค้นเสียงออกมาอย่างชัดเจน นางมองต่งซูด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ฉากบังลมที่เจ้าพูดมา ยังไม่พูดถึงวาดภาพบุปผา เพียงพูดถึงการปัก ไม่มีเวลาเดือนสองเดือนก็ปักไม่เสร็จ เพียงเหน็ดเหนื่อยไปอย่างเสียเปล่า เร่งไม่ทันงานแต่งของเจ้า…”
“พี่สะใภ้สี่มือไม้คล่องแคล่ว อดหลับอดนอนสักหน่อยต้องทำเสร็จทันแน่” ต่งซูเอ่ยปากขัดจังหวะเหยาหลัน มองหลวนอวิ๋นชูอย่างเฝ้ารอคอย “ใช่หรือไม่ พี่สะใภ้สี่ เพียงแต่ลำบากท่านแล้ว”
“น้องซู เจ้าดู นายหญิงใหญ่กำหนดฉากบังลมให้เจ้าสี่ฉากแล้ว” เหยาหลันหยิบร่างรายละเอียดใบหนึ่งยื่นให้ต่งซู “ฉากตั้งมีฐานขอบไม้จันทน์ม่วงฝังคันฉ่องทองแดงหนึ่งฉาก ฉากตั้งมีฐานงาช้างแกะสลักลายนกยวนยาง* เล่นน้ำหนึ่งฉาก ฉากบังลมไม้หนานมู่ฝังหยกปักเส้นไหมทองลายหงส์คู่ส่งเสียงขับร้องคลอเคลียหนึ่งฉาก ยังมีฉากล้อมทาสีทองประดับเตี่ยนชุ่ย…ล้วนเป็นของชั้นเลิศ” แล้วชี้มาที่หลวนอวิ๋นชู “ดูพี่สะใภ้สี่ของเจ้าช่วงนี้สิผ่ายผอมมาก ไหนเลยจะอดนอนไหว เจ้าก็อย่าก่อกวนอีกเลย”
“หรือไม่…” ส่วนลึกในดวงตามีความลังเลพาดผ่านจางๆ ต่งซูยังคงยืนหยัด “พี่สะใภ้สี่ปักอย่างอื่น เล็กน้อยก็ได้ จะได้ไม่ต้องกลัวทำไม่ทัน”
เหยาหลันย่นหัวคิ้ว หันหน้าหนีไปเสียเลย ยกน้ำชาขึ้นมาจิบ
ต่งซูผู้นี้เหตุใดจึงได้ตั้งแง่เพียงนี้ คงไม่ใช่รู้แต่แรกแล้วว่าข้าเย็บปักถักร้อยไม่ได้กระมัง หลวนอวิ๋นชูมองต่งซูที่ดื้อรั้นแล้วใจลอยไปครู่หนึ่ง
“ว่ากันตามเหตุผลน้องซูจะแต่งงาน ต่อให้ต้องอยู่ถึงเช้าไม่นอนข้าก็ควรปักฉากบังลมออกมาให้เจ้าสักฉาก ให้เจ้าออกเรือนไปอย่างเบิกบานใจ เพียงแต่บังเอิญนัก สองสามวันมานี้ข้อมือของข้าปวดมาก…” หลวนอวิ๋นชูยื่นมือขาวผ่องนวลเนียนดุจหยกไปที่เบื้องหน้าต่งซู “เจ้าดู อย่าว่าแต่งานเย็บปักถักร้อยเลย กระทั่งหยิบตะเกียบยังยากเย็น”
ต่งซูสีหน้าแปรเปลี่ยนทันที แค่นเสียงฮึออกมาคำแล้วเบือนหน้าไปอีกด้านหนึ่ง
ไม่มีใครเชื่อข้ออ้างแย่ๆ พรรค์นี้ แต่กลับไม่มีใครเปิดโปงข้อเท็จจริง ต่างมองไปที่นายหญิงใหญ่ด้วยแววตาแปลกประหลาด
“เอาล่ะ ซูเอ๋อร์อย่าเอะอะอีกเลย เรื่องของต่างๆ ก็ตกลงตามนี้” นายหญิงใหญ่นึกอะไรขึ้นได้ จึงหันไปทางเหยาหลัน “จริงสิ พูดถึงปักลายสองหน้า ข้าจำได้ว่าปีที่แล้วนายท่านพานมอบผ้าไหมที่ทอเป็นภาพมาหลายพับ เปรียบกับการปักสองหน้าแล้ว แม้มีส่วนที่วิธีการแตกต่างกันแต่ได้ผลเหมือนกัน ไม่รู้ยังมีอยู่หรือไม่ หลันเอ๋อร์ลองคิดแล้วไปดู หาออกมาทำฉากบังลมให้ซูเอ๋อร์อีกสักสองฉาก”
“นายหญิงใหญ่ยังจำได้” เหยาหลันยกถ้วยชา เงยหน้าขึ้นขบคิด “เดือนที่แล้วบุตรสาวแม่ทัพใหญ่เลื่อนขั้นขึ้นเป็นซูเฟย ได้รับความโปรดปราน ทรงแต่งตั้งพระราชทานนามให้เป็นเหลียนซูเฟย จึงส่งเข้าไปในวังทั้งหมด ในจวนไม่มีแล้วเจ้าค่ะ” แล้วหันไปมองพานหมิ่น “นายหญิงใหญ่ต้องการ ที่น้องหมิ่นไม่รู้ยังมีเหลืออยู่หรือไม่”
สินเดิมของน้องสามี เหตุใดต้องให้ข้าออกเงินด้วย!
แม้จะบอกว่าฉากบังลมใช้เพียงไม่กี่ฉื่อ แต่นั่นเป็นผ้าไหมที่ทอเป็นภาพ มีคำพูดว่าผ้าไหมที่ทอเป็นภาพหนึ่งชุ่นมีค่าเท่ากับทองคำหนึ่งชุ่น ทอผ้าไหมภาพหนึ่งต้องเปลี่ยนกระสวยนับหมื่นครั้ง ใช้เวลายาวนาน ต้องตั้งอกตั้งใจทออย่างละเอียดประณีต เป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้ พานหมิ่นชายตามองเหยาหลันอย่างไม่ชอบใจทีหนึ่ง ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและไม่ตอบคำ สายตามองไปทางอื่น
สายตาของทุกคนมองไปมาระหว่างนายหญิงใหญ่กับพานหมิ่น มุมปากมีรอยยิ้มประดับอยู่จางๆ
“ข้าก็แค่เอ่ยขึ้นมา ผ้าไหมที่ทอเป็นภาพเวลาทอต้องสิ้นเปลืองแรงกายและเวลา ไม่ได้สั่งไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่คิดจะซื้อก็ซื้อได้จึงได้ถามดู เจ้ากลับทำท่าตกใจเพียงนี้” ในน้ำเสียงเจือความเยียบเย็นอยู่สามส่วน ความไม่พอใจของนายหญิงใหญ่เอ่อท้นออกมาจากคำพูดและสีหน้าท่าทาง “ถ้าเจ้ามีอยู่ก็เอาออกมา ย่อมมีเงินชดเชยให้เจ้า”
พานหมิ่นยิ้มแย้มขึ้นมาทันที
“ปีที่แล้วบิดาส่งมาจำนวนหนึ่ง ไม่ทราบถูกแต่ละเรือนใช้ไปแล้วหรือไม่ นายหญิงใหญ่เอ่ยถึง ประเดี๋ยวสะใภ้จะไปหาดู ถ้ายังมีอยู่ก็เชิญน้องสามีไปเลือกภาพที่ชอบสักสองภาพ”
หลวนอวิ๋นชูก็ดวงตาเปล่งประกายขึ้นมา ยังมีการซื้อขายเช่นนี้ด้วย ที่เรือนนางยังมีสินเดิมอยู่เต็มสองห้อง ล้วนยังใหม่เอี่ยม ใช่ให้ต่งซูไปเลือกดูด้วยได้หรือไม่ เปลี่ยนเป็นเงินมาบ้าง ความคิดนี้พอผุดขึ้นมา หลวนอวิ๋นชูก็หน้าม่อยคอตกลง
สิ่งของของนางล้วนมีกลิ่นอายความโชคร้าย ถึงแม้ว่าสินเดิมเหล่านั้นจะยังไม่ได้เปิดหีบห่อออกมาก็ตาม
สถานะแม่ม่ายนี้มีแต่กลิ่นอายความโชคร้าย ทำการซื้อขายก็ไม่คล่อง เหมือนกับ ‘นมผงซานลู่’* เมื่อชาติก่อน ไม่ช้าก็เร็วต้องทุบมันให้แหลกละเอียด!
มองปากที่เดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบของทุกคน หลวนอวิ๋นชูแอบกัดฟันแน่น
ออกจากเรือนนายหญิงใหญ่มา แสงอาทิตย์สดใสสาดส่องลงมา กวาดพยับเมฆในใจออกไปหมดสิ้น หลวนอวิ๋นชูเหยียดแขนขาอย่างสบาย นั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยฟังนายหญิงใหญ่จัดการเรื่องราวอยู่ที่นั่น เปรียบกับการฟังอาจารย์สอนในห้องเรียนเมื่อชาติก่อนแล้วกลับเหนื่อยกว่ามาก
“สะใภ้สี่รอที่นี่สักครู่ บ่าวจะไปเรียกจางหมัวมัว”
กวาดตามองไปรอบหนึ่ง ไม่เห็นเกี้ยวของเรือนตนสี่จวี๋จึงเอ่ยขึ้น หลวนอวิ๋นชูก็พยักหน้า
“พี่สี่จวี๋…”
ได้ยินคนเรียก ทั้งสองคนหันหน้าไปพร้อมกัน ก็เห็นสี่จู๋ก้าวเท้าเร็วๆ ไล่ตามมา พอเห็นหลวนอวิ๋นชูก็ทำความเคารพแล้วบอก
“คารวะสะใภ้สี่ จู่ๆ นายหญิงใหญ่ก็นึกถึงลวดลายต่างๆ ที่แพร่ออกมาจากในวังเมื่อหลายปีก่อน จะให้บ่าวหาออกมาให้คุณหนูสามเลือก ของพวกนี้แต่ก่อนพี่สี่จวี๋เป็นคนดูแล บ่าวก็ไม่รู้เก็บไว้ที่ใด จึงอยากให้พี่สี่จวี๋กลับไปช่วยหา สะใภ้สี่ท่านว่า…”
“อ้อ…ข้านึกว่าเรื่องอะไร สี่จวี๋ก็ไปเถิด”
ช่วยจัดเตรียมสินเดิมให้ต่งซูเช่นนี้ นางก็ไม่กล้าขัดขวาง ย่อมเห็นดีเห็นงามด้วยตลอด
“เอ่อ…”
สี่จวี๋หันกลับมามอง มีนางติดตามหลวนอวิ๋นชูอยู่เพียงคนเดียว คนอื่นไม่รู้ไปไหนกันหมด จึงอดลังเลไม่ได้ สี่จู๋จึงยิ้มพลางบอก
“พอดีเลย สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามยังไม่ได้กลับไป สะใภ้สี่ไม่สู้เข้าไปด้วยกัน นั่งอีกสักพัก”
พานหมิ่นกับเหยาหลันยังไม่ไป
หลวนอวิ๋นชูประกายตาสั่นไหวเล็กน้อย เช่นนั้นนางต้องหลบไปให้ไกลหน่อย เรื่องของเรือนชิ่นย่วนยังคงข้องเกี่ยวให้น้อยจะดีกว่า
“นั่งอุดอู้มาตลอดบ่ายแล้ว ข้างนอกมีลมมีแสงแดดอบอุ่น จะได้สูดอากาศพอดี” เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้ว หลวนอวิ๋นชูก็หันไปทางสี่จู๋ “…จะอย่างไรก็คงใช้เวลาไม่นาน ข้าจะรออยู่ที่นี่แล้วกัน พวกเจ้าไปกันเถิด”
“หรือไม่…บ่าวจะไปเรียกจางหมัวมัวมา สะใภ้สี่นั่งรอบนเกี้ยวก่อน”
“เจ้าไปเถิด” หลวนอวิ๋นชูโบกมือพลางยกเท้าเดินไปข้างหน้า “ไม่ต้องสนใจข้า”
“สะใภ้สี่รอสักครู่ บ่าวจะไปตามคนเดี๋ยวนี้…”
สี่จู๋พูดออกมาได้เพียงครึ่งเดียว เห็นหลวนอวิ๋นชูเดินลงบันไดไปแล้วจึงหยุดปาก กวักมือเรียกหญิงรับใช้สูงวัยคนหนึ่งมา บอกให้ไปเรียกเกี้ยวมาให้หลวนอวิ๋นชู แล้วดึงมือสี่จวี๋เดินเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
หลวนอวิ๋นชูมาถึงหน้าประตู เห็นพวกจางหมัวมัวนั่งสัปหงกเฝ้าเกี้ยวอยู่จึงไม่ได้ปลุก นางก้าวเท้าออกประตูไปเลย เดินไปทางตะวันตกตามถนนสายเล็กที่ร่มครึ้มตามความทรงจำที่มีอยู่
มาอยู่จวนกั๋วกงได้ไม่นานนัก นอกจากทะเลสาบลั่วเยี่ยนกับเรือนลู่ย่วนแล้ว กับสถานที่อื่นๆ หลวนอวิ๋นชูยังไม่ค่อยคุ้นเคย โดยเฉพาะเรือนอิ่นย่วนแห่งนี้ ด้วยกลัวนายหญิงใหญ่จะบ่นว่า ทุกครั้งที่มาหลวนอวิ๋นชูจึงนั่งเกี้ยว ย่อมจะจดจำทางไม่ได้ รู้เพียงเรือนลู่ย่วนอยู่ทางตะวันตก จึงมุ่งหน้าไปทางตะวันตก
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวนางก็หลงทางเสียแล้ว
หลวนอวิ๋นชูหยุดฝีเท้าลงที่ข้างป่าเล็กเงียบสงัดแห่งหนึ่ง เหลียวมองไปทางซ้ายขวา คิดจะหาคนถาม ถึงได้พบว่ารอบด้านเงียบวิเวก ไหนเลยจะมีเงาร่างคน แหงนหน้าขึ้นมองตะวัน เรือนลู่ย่วนอยู่ทางตะวันตก นางเพียงเดินมาตามทิศทางที่ตะวันจะตกดิน ย่อมมิใช่ใจอยากไปทางใต้แต่รถกลับวิ่งไปทางเหนือ* กระมัง
หลวนอวิ๋นชูคิดเช่นนี้และดึงดันเดินไปตามถนนสายเล็กเส้นเดียวในป่ามุ่งหน้าไปทางตะวันตก ดีที่นี่เป็นเขตในจวน ในป่าจึงไม่มีงูพิษสัตว์ร้ายอะไร
หลวนอวิ๋นชูแอบปลุกเร้าใจตนเองให้ฮึกเหิม
มองเห็นที่ด้านหน้ามีภูเขาจำลองที่ทำจากดินและหินอยู่ลูกหนึ่ง หลวนอวิ๋นชูพลันดีใจ จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าในป่าทางด้านเหนือของเรือนลู่ย่วนมีภูเขาจำลองแบบเดียวกันนี้ลูกหนึ่ง นางสาวเท้าเร็วๆ เดินเข้าไป ด้านหลังภูเขาจำลองซึ่งเป็นกำแพงเตี้ยสีเทาเงินแถวหนึ่ง…ไม่ใช่เรือนลู่ย่วนของนางแน่นอน
ได้แต่ผิดหวัง นางลืมไป ในจวนกั๋วกงมีทัศนียภาพในลักษณะเดียวกันนี้ให้พบเห็นมากมาย
เดินวนรอบภูเขาจำลองไปสองรอบ หลวนอวิ๋นชูไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย ข้างหน้าไม่มีทางให้เดินแล้ว หันไปมองเส้นทางที่เดินมา กำลังคิดอยู่ว่าจะเดินย้อนกลับไปดีหรือไม่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังกระชั้นถี่ขึ้น
ในที่สุดก็มีคนแล้ว หลวนอวิ๋นชูดีใจขึ้นมา มองไปทางเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้น
ต่งซู!
นางมาทำอะไรที่นี่ แม้แต่สาวใช้ก็ไม่ได้พามาด้วย
หรือว่าด้านในกำแพงก็คือเรือนหลันฟาง
เห็นต่งซูกำลังแหวกพุ่มไม้เตี้ย รีบร้อนเดินมาทางด้านนี้ หลวนอวิ๋นชูก็ย่นหัวคิ้ว
แม้จะหลงทาง แต่หลวนอวิ๋นชูก็ไม่อยากพูดคุยกับต่งซู ดีไม่ดีถามทางไม่สำเร็จกลับต้องโมโห เห็นต่งซูเดินมาด้วยสีหน้ารีบร้อนพลางมองมาตรงบริเวณด้านนอกแนวกำแพง ท่าทางมีเรื่องในใจ หลวนอวิ๋นชูพลันเกิดความคิด พุ่งหลบเข้าไปในโพรงถ้ำของภูเขาจำลองที่อยู่ด้านข้าง
ไอเย็นขุมหนึ่งพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า หลวนอวิ๋นชูตัวสั่นสะท้าน เท้าลื่นไถลเกือบจะล้มลงไป นางรีบเกาะผนังถ้ำไว้ ในถ้ำมืดขมุกขมัว ดีที่ประสาทสัมผัสทั้งหกของนางดีกว่าคนทั่วไป ปรับตัวอยู่ครู่หนึ่งก็เก็บภาพทั้งหมดเข้ามาในสายตาได้ ถ้ำหินที่เตี้ยนี้เพียงจุคนได้ราวสองคน บนผนังปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ ทั้งเหนียวทั้งลื่น เหนือศีรษะยังมีน้ำหยดติ๋งๆ ลงมาเป็นระยะ
ที่ทำให้หลวนอวิ๋นชูประหลาดใจก็คือตรงส่วนที่ชิดติดกับผนังด้านในยังมีโพรงเล็กอีกโพรงหนึ่ง มีความกว้างพอให้คนหนึ่งคนคลานไป ไม่รู้ว่าเชื่อมกับที่แห่งใด หลวนอวิ๋นชูรวบเสื้อเข้าหากัน สองมือกอดอกแน่น ความหนาวเย็นเสียดแทงกระดูกทำให้นางนึกเสียใจในการกระทำบุ่มบ่ามของตน
ต่งซูหาใช่เสือ เพื่อจะหลบอีกฝ่ายนางถึงกับต้องมาทนลำบากเช่นนี้ไม่คุ้มกันเสียเลย เวลานี้เหมือนว่านางได้กระทำเรื่องอะไรผิดบาปมาเช่นนั้น
ยกมือขึ้นเช็ดหยดน้ำเย็นเฉียบที่ลำคอแล้ว หลวนอวิ๋นชูก็เบี่ยงตัวหลบผนังถ้ำที่เปียกชื้น มองออกไปข้างนอก ท่ามกลางเสียงฝีเท้าแผ่วเบา กระโปรงยาวลายดอกเล็กๆ สีน้ำเงินตัวหนึ่งส่ายไปส่ายมาอยู่หน้าถ้ำ ไม่ต้องคิดก็รู้ ต้องเป็นต่งซูเดินไปเดินมาอยู่หน้าถ้ำแน่
เห็นต่งซูไม่มีท่าทีจะจากไปในเวลาอันสั้น หลวนอวิ๋นชูพลันกัดฟัน ขณะจะออกไปอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้น
ที่แท้นางกำลังรอคน!
เพียงแต่ไม่รู้ว่านางรีบร้อนมาที่นี่เพื่อจะพบใคร
ฟังจากเสียงฝีเท้า ผู้มาไม่ใช่อิสตรีแน่นอน ถ้าตนเองจะออกจากที่นี่ก็ควรไปก่อนหน้านี้ ตอนนี้ออกไป เจอต่งซูกับบุรุษผู้หนึ่งนัดพบกันกลับไม่ดี เมื่อคิดได้ดังนี้หลวนอวิ๋นชูจึงเก็บความคิดที่จะออกไปกลับมาพลางเงี่ยหูฟัง
แล้วก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำเจือเสน่ห์ดึงดูดใจเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ไม่ทราบแม่นางต่งรีบร้อนเรียกผู้แซ่เจียงมา มีเรื่องอะไรหรือ”
เจียงเสียน?!
หรือว่าผู้มาก็คือเจียงเสียน…เจียงเหิงจวิน จอมเสเพลแห่งเมืองหลวนเฉิงผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ผู้นั้น!
เจียงเสียนเป็นหัวผักกาดใจแดง* จอมเจ้าชู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือแห่งเมืองหลวนเฉิง นายหญิงใหญ่สั่งกำชับเตือนแล้วเตือนอีกให้สตรีในจวนอยู่ห่างจากจอมเสเพลผู้นี้ให้มาก ต่งซูใกล้จะออกเรือนแล้ว นัดหมายเขามาที่นี่เพื่ออะไร
ในใจหลวนอวิ๋นชูมีความอยากรู้อยากเห็น ยกมือขึ้นยันผนังถ้ำ โน้มตัวมองไปทางนอกถ้ำ
น่าเสียดาย ปากถ้ำต่ำเกินไป ทั้งไม่กล้าโน้มตัวไปข้างหน้ามากเกิน สิ้นเปลืองกำลังอยู่พักใหญ่ เพียงเห็นรองเท้าพื้นนุ่มสีน้ำเงินอมดำคู่หนึ่งหยุดอยู่ในที่ไม่ไกลนัก ได้ยินว่าเจียงเสียนผู้นี้วรยุทธ์สูงยิ่ง หลวนอวิ๋นชูกลัวจะถูกพบเห็นจึงไม่กล้าขยับตัว เพียงกลั้นหายใจฟังอยู่เงียบๆ
นางทายไม่ผิด ผู้มาก็คือเจียงเสียน เวลานี้กำลังหมุนแหวนหยกสีเขียวเข้มที่นิ้วหัวแม่มือ นัยน์ตาหงส์** หรี่ลงเล็กน้อย มองต่งซูด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ถูกมองจนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ต่งซูหน้าแดงเล็กน้อย เอาแต่บิดผ้าเช็ดหน้าไปมา
“ท่าน…”
ผ่านไปพักใหญ่ไม่มีเสียงตอบรับ ต่งซูก็กระทืบเท้า
“ท่านรู้อยู่เต็มอกยังจะถาม!”
“เหตุใดแม่นางต่งจึงกล่าวเช่นนั้น” นัยน์ตาหงส์หรี่ลงเล็กน้อย เจียงเสียนมองประเมินต่งซูอย่างละเอียด ในน้ำเสียงเจือการขบคิดอยู่สามส่วน “ผู้แซ่เจียงกำลังจะออกไปข้างนอก ถูกท่านรีบร้อนเรียกมา ไม่ทราบสาเหตุอย่างแท้จริง”
“ถ้าข้าไม่เรียกท่าน…” ต่งซูก้มศีรษะเล็กน้อย ในน้ำเสียงที่ตั้งคำถามแฝงเลศนัยอยู่สามส่วน คล้ายคนรักที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก “ท่านก็จะหลบหน้าข้าไปตลอดชีวิต ไม่มาพบหน้าข้าอีกใช่หรือไม่”
รอยยิ้มผนึกค้างอยู่บนใบหน้า เจียงเสียนสีหน้าเยียบเย็นลงเล็กน้อย ในนัยน์ตาหงส์มีประกายคมกริบพุ่งออกมา มองตรงมาที่ต่งซู
ต่งซูไม่ได้สังเกตเห็นว่าเขาเปลี่ยนสีหน้าแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็พึมพำขึ้นอีก
“ฝ่าบาท…ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้ข้ากับคุณชายสวินแล้ว กำหนดวันไว้วันที่สิบสองเดือนหน้า…” เสียงเบาลง ต่งซูพลันเงยหน้าขึ้น ชี้แจงด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ข้าไม่อยากแต่ง! แต่ก็จนปัญญา…ท่านแม่ใช้ความตายมาบีบบังคับ”
นัยน์ตาทั้งสองจับจ้องเจียงเสียนนิ่ง ต่งซูหัวใจเต้นตึกตัก กลัวมากว่าเขาจะตำหนินางที่แต่งกับผู้อื่น
“ขอแสดงความยินดีกับแม่นางต่ง”
ในน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกแม้แต่น้อย ไม่ต่างอะไรกับดวงตาที่เย็นยะเยียบเสียดแทงกระดูก
“ท่าน…” ต่งซูทั่วร่างสั่นเทา ร้องเรียกคำหนึ่ง จากนั้นน้ำตาก็พรั่งพรูออกมาดุจไข่มุก “ในจวนเล่าลือกันว่าพี่สะใภ้สี่ฆ่าตัวตายบูชารักเป็นเรื่องเท็จ วันนั้นที่นางไปทะเลสาบลั่วเยี่ยนก็เพื่อยั่วยวนท่าน ถึงได้เจตนาก้าวพลาด เพื่อจะช่วยปิดบังความอัปยศอดสูให้นาง ท่านแม่ยังตั้งใจปิดปาก…” มองสบตาเจียงเสียนตรงๆ ต่งซูพูดเจือสะอื้น “พูดถึงรูปร่างหน้าตาความปราดเปรื่อง ข้าล้วนสู้นางไม่ได้ ท่านหลบหน้าข้าต้องเป็นเพราะถูกนางทำให้ลุ่มหลง เสียแรงเมื่อก่อนข้าไว้ใจนางเพียงนั้น เรื่องในใจอะไรก็พูดให้นางฟัง คิดไม่ถึงว่านางถึงกับ…”
“เหตุใดแม่นางต่งจึงพูดเช่นนี้!” เจียงเสียนขมวดหัวคิ้ว ตัดบทต่งซูอย่างหยาบคาย “ข้าชอบใครก็ไม่เกี่ยวกับแม่นางต่ง!”
ในน้ำเสียงเจือความเยือกเย็นจางๆ ไม่มีความนุ่มนวลละมุนละไมแม้ครึ่งส่วน ต่งซูสีหน้าจากแดงเปลี่ยนเป็นขาว นิ้วเรียวงามขาวผ่องชี้หน้าเจียงเสียน ริมฝีปากสั่นระริก
“ท่าน!” ครู่ใหญ่ต่งซูจึงตั้งสติได้ “ข้าคิดอยู่แล้วว่าท่านต้องเป็นคนไม่มีหัวจิตหัวใจ เสียดายข้ากลับไปเชื่อคำสาบานในคืนนั้นของท่าน รอท่านมาทาบทามสู่ขอกับนายท่านอย่างโง่งม”
พูดแล้วต่งซูก็ยกมือขึ้นปลดสร้อยหยกประดับที่คอ ขว้างใส่เจียงเสียนอย่างแรง
“คืนให้ท่าน นับแต่นี้ไปเรา…เรา…”
ถลึงตาจ้องมองเจียงเสียนด้วยสีหน้าซีดขาว คำพูดตัดขาดความสัมพันธ์ทำอย่างไรก็พูดไม่ออกจากปาก นางซบหน้ากับต้นไม้ ร้องไห้ฮือๆ ออกมา
“คืนนั้น…คืนไหนหรือ” ยกมือขึ้นรับหยกประดับที่ต่งซูขว้างมา เจียงเสียนกล่าวอย่างฉงน “เหตุใดหยกประดับนี่จึงไปอยู่กับท่านได้”
“ท่าน…ท่าน…” ต่งซูมองเจียงเสียนด้วยความคับแค้นใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั่วร่างสั่นเทา “เป็นเรื่องที่ท่านทำเอง แต่กลับไม่ยอมรับ!”
“ผู้แซ่เจียงไม่รู้จริงๆ สิ่งที่แม่นางต่งพูดคืออะไร ขอให้แม่นางต่งพูดให้ชัดเจนด้วย!”
“เรื่องอัปยศอดสูที่ระหว่างข้ากับท่าน…” สายตาตัดพ้อค่อยๆ เปลี่ยนเป็นโกรธแค้น “เป็นข้าที่ไม่รู้จักละอายใจ เป็นข้าที่สมควรตาย! ฝ่าบาทพระราชทานสมรส ท่านก็หลบหน้าไม่เห็นแม้เงา เดิมข้าก็คิดจะตายให้จบเรื่อง แต่ก็จนปัญญา ข้า…ข้าถึงกับมีเลือดเนื้อของท่านแล้ว”
เสียงค่อยๆ เบาลง ต่งซูกัดฟันมองใบหน้าที่อึ้งตะลึงของเจียงเสียนตรงๆ พูดเน้นย้ำทีละคำอย่างเด็ดขาด
“ถ้าคิดจะให้ข้ากับเด็กคนนี้ปลอดภัย ท่านก็เฝ้าอธิษฐานให้ดี คุณชายสวินออกรบครั้งนี้ก็อาจเหมือนพี่ใหญ่…ตายในสนามรบ!”
* นกยวนยาง หรือเป็ดแมนดาริน เป็นนกเป็ดน้ำชนิดหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดในจีน มีนิสัยชอบอยู่เป็นคู่ จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของคู่ชีวิตและความรักมั่นคง
* กรณีอื้อฉาวในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2008 ทางการจีนตรวจพบว่านมผงซานลู่มีสารเมลามีนเจือปนอยู่ ทำให้ทารกเสียชีวิตด้วยโรคนิ่วในไตและทางเดินปัสสาวะซึ่งมีผู้ได้รับผลกระทบกว่าสามแสนคน
* ใจอยากไปทางใต้แต่รถกลับวิ่งไปทางเหนือ เป็นสำนวน หมายถึงการกระทำและเป้าหมายสวนทางกัน
* หัวผักกาดใจแดง หรือ Starburst Radish เป็นหัวไช้เท้าชนิดหนึ่งที่เปลือกสีขาวอมเขียว แต่เนื้อภายในเป็นสีแดงอมม่วงแตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง จึงใช้เป็นคำเปรียบถึงผู้ชายหลายใจหรือต่อหน้าทำอย่างลับหลังทำอย่าง
** นัยน์ตาหงส์ หมายถึงดวงตาเรียวงามที่มีหางตาเชิดขึ้น