หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 28
ดวงตาสาดประกายวิบวับ เหยาหลันก็ยิ้มกริ่มแล้วว่า
“น้องสาวไม่รู้ เดิมข้าคิดจะให้เวลาหลี่มามาอีกสักหลายวัน ให้นางตั้งใจอบรมสาวใช้ให้เจ้าสักกลุ่มหนึ่ง ข้าเองก็จะได้ถือโอกาสเลือกสักสองสามคน คิดไม่ถึงว่านายหญิงใหญ่ถึงกับใจร้อน บอกน้องสาวเดิมก็ขาดสาวใช้รุ่นใหญ่ไปคนหนึ่งอยู่แล้ว มาคราวนี้ซิ่วเอ๋อร์ก็ไม่อยู่ กอปรกับนายท่านก็พอใจในตัวซวงเอ๋อร์ในเรือนเจ้าและเอาตัวไปแล้ว กลัวเจ้าไม่มีคนให้ใช้ เร่งรัดข้าวันนี้จักต้องซื้อคนกลับมาให้ได้” แล้วทอดถอนใจบอก “นายหญิงใหญ่รักเจ้ายิ่ง รักจนเข้ากระดูกแล้วจริงๆ แม้แต่ข้าผู้เป็นพี่สะใภ้ เห็นแล้วยังริษยา”
มิน่าถึงได้รีบร้อนเปลี่ยนสาวใช้ให้นางเพียงนี้ ที่แท้ก็เป็นเพราะการตายของซิ่วเอ๋อร์
เปลี่ยนสาวใช้แม้จะเป็นเรื่องที่กำหนดไว้ก่อนแล้ว แต่นึกถึงว่าเป็นเพราะตนตกน้ำที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยนจึงต้องรีบร้อนเปลี่ยนคนใหม่ทั้งหมด หัวคิ้วของหลวนอวิ๋นชูก็กระตุกน้อยๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร
“จริงสิ” เหยาหลันพลันนึกอะไรขึ้นได้ “น้องสาวเลือกสาวใช้ได้ถูกใจหรือไม่”
“เอ่อ…”
หลวนอวิ๋นชูลังเลเล็กน้อย เฉิงชิงเสวี่ยเป็นคนแคว้นหลีและเป็นนักโทษของทางการ ด้วยสัญชาตญาณนางไม่คิดจะเอ่ยถึงเรื่องนี้กับเหยาหลัน
“น้องสาวไม่ต้องเป็นกังวล ถ้าไม่มีคนที่ถูกใจจริงๆ เพียงมาบอกข้า ข้าจะให้หลี่มามาส่งไปให้อีกกลุ่ม” เข้าใจว่าหลวนอวิ๋นชูเลือกคนที่ถูกใจไม่ได้ เหยาหลันจึงบอกอย่างเอื้ออารี “น้องสาวอย่าได้ถูไถเลือกไป จนทำให้ตนเองต้องลำบากใจเป็นอันขาด”
“ทำให้พี่สะใภ้ใหญ่เป็นห่วงแล้ว คนที่หลี่มามาพามา แต่ละคนเฉลียวฉลาดคล่องแคล่ว ข้าดูจนลานตาไปหมด ไม่รู้จะเลือกใครดี สุดท้ายให้สี่จวี๋ออกหัวข้อทดสอบหลายหัวข้อ กล้อมแกล้มเลือกมา ลงนามในสัญญาแล้ว ช่วงบ่ายก็จะส่งไปที่เรือนลู่ย่วน”
พูดไปหลวนอวิ๋นชูก็มองเหยาหลันแวบหนึ่ง คิดจะฉวยโอกาสถามว่าเพราะเหตุใดนายท่านจึงพอใจในตัวซวงเอ๋อร์ได้ พอเงยหน้าขึ้นกลับเดินมาถึงปากประตูห้องโถงแล้ว นางจำต้องหยุดปาก
ดื่มน้ำในทะเลสาบไปไม่กี่คำ นางคงไม่เปลี่ยนเป็นโง่งมกระมัง ไม่รู้หรือว่าสี่จวี๋เป็นคนของนายหญิงใหญ่ เห็นหลวนอวิ๋นชูให้ความสำคัญกับสี่จวี๋เช่นนี้ เหยาหลันในใจรู้สึกแปลกใจพลางมองสี่จวี๋แวบหนึ่ง ช้อนตาขึ้นมาเห็นว่าถึงหน้าประตูแล้วจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
คนสองคนที่จู่ๆ ก็นิ่งเงียบลง มือจับจูงกันประหนึ่งพี่สาวน้องสาวที่รักใคร่สนิทสนมกันคู่หนึ่ง เดินเคียงคู่กันเข้าประตูห้องโถงมา
เห็นสะใภ้สองคนจับจูงมือกันเดินเข้ามาอย่างสนิทสนมแล้วคารวะ นายหญิงใหญ่ที่มีสีหน้ากลัดกลุ้มมุมปากพลันหยักโค้งขึ้น ชี้มือไปยังแถวเก้าอี้ด้านซ้ายมือ
“นั่งลงเถิด”
จวนกั๋วกงเกิดเรื่องขึ้นหรือ
หลังจากลงนั่งเรียบร้อยหลวนอวิ๋นชูมองปราดเดียวก็เห็นนายหญิงใหญ่คล้ายเพิ่งร้องไห้มา สองตาแดงระเรื่อ ทาแป้งบางๆ ปิดไว้ชั้นหนึ่ง ถ้าไม่มองอย่างละเอียดก็จะไม่เห็นความผิดปกติ ดีที่สายตานางดีเป็นพิเศษ
ในใจตื่นตระหนก ทว่าสีหน้ากลับไม่หวั่นไหว หลวนอวิ๋นชูกวาดสายตาไปทั่วสี่ด้าน นายท่านกับคุณชายหลายท่านล้วนไม่อยู่ มีเพียงพวกเฉาเสวี่ย พานหมิ่น ต่งซู และต่งฮว่านั่งเงียบอยู่ฝั่งตรงข้าม
ดูแล้วคงไม่ใช่เรื่องใหญ่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินอะไร หาไม่นายหญิงใหญ่คงไม่เรียกแต่คนในครอบครัวที่เป็นสตรี
หลวนอวิ๋นชูสงบใจลงมา พลันรู้สึกได้ว่ามีสายตาที่ร้อนเป็นไฟพุ่งเข้ามา เมื่อมองไปสายตาของนางก็จับนิ่งไปที่ใบหน้าของพานหมิ่น พานหมิ่นที่กำลังจ้องนางอยู่แค่นเสียงเฮอะออกมาคำหนึ่งแล้วหันหน้าไปอีกทาง
“หืม?” พานหมิ่นหันหน้าไปก็ประจันหน้ากับต่งฮว่าเข้าพอดี ต่งฮว่าอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “พี่สะใภ้สามเป็นอะไรไป ถึงกับร้องไห้จนตาแดงแล้ว!”
ครานี้ทุกคนจึงได้สังเกตเห็น พานหมิ่นสองตาบวมแดง เพียงเห็นก็รู้ว่าเพิ่งร้องไห้มา
เห็นนายหญิงใหญ่ก็มองตน พานหมิ่นขอบตาแดง “วันนี้นายหญิงใหญ่ต้องช่วยจัดการให้สะใภ้ คุณชายสาม…”
“แค่ก…แค่ก…”
เหยาหลันไอออกมาสองที เสียงแหลมเล็กพลันหยุดชะงัก พานหมิ่นสะอึกสะอื้นขึ้นมา
ดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกแล้ว พานหมิ่นหญิงปากร้ายถึงกับกลายเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายไป!
มองพานหมิ่นแล้วก็มองเหยาหลัน ทุกคนต่างประหลาดใจ จากนั้นก็ส่งสายตาเป็นนัยให้กัน ต่างอยากรู้ถึงความลับที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง
หลวนอวิ๋นชูก้มหน้าลงจิบชา เรื่องของฉู่เชี่ยนอวิ๋นยังคงทำเป็นไม่รู้จะดีกว่า
ไม่ต้องพูดนายหญิงใหญ่ก็พอจะรู้เรื่องในเรือนชิ่นย่วน เดิมใจคอก็ไม่สบายอยู่แล้ว เห็นพานหมิ่นไม่พูดต่อ จึงวางเฉยไปเสียเลย ไม่ซักไซ้ ทั้งเอ่ยปากอบรม
“เจ้าดูตัวเจ้าสิ ข้าเคยพูดกี่ครั้งแล้ว เจ้ากับเหรินเอ๋อร์ก็อายุไม่น้อย ควรยอมได้ก็ยอม สามีภรรยากัน แท้ๆ ทะเลาะกันราวกับศัตรูคู่อาฆาตก็ไม่ปาน!”
“สะใภ้…”
“เหรินเอ๋อร์นิสัยยังไม่เป็นผู้ใหญ่มากพอ มีข้ากับนายท่านคอยดูอยู่ ไม่ให้เจ้าต้องได้รับความไม่เป็นธรรมหรอก แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องตั้งอกตั้งใจบ้าง…เวลาผ่านไปไม่ทันไร เจ้าก็แต่งเข้ามาสี่ปีแล้ว ท้องยังแบนราบ ก็ไม่น่าแปลกใจที่เหรินเอ๋อร์โวยวายจะรับอนุ”
ต่งกั๋วกงมีบุตรชายเจ็ดคนบุตรสาวสี่คน พูดได้ว่า ‘มาก’ แต่มาถึงรุ่นของต่งอ้ายกลับโรยราอย่างน่าประหลาด คุณชายใหญ่แต่งงานเร็วสุด กลับไม่มีบุตรมาโดยตลอด กระทั่งสี่ปีก่อนออกรบและพลีชีพในสมรภูมิ คิดไม่ถึงว่าจะมีต่งเนี่ยนจงที่ถือกำเนิดมาหลังจากบิดาตายไปแล้ว
เฉาเสวี่ยแต่งเข้ามาเมื่อห้าปีก่อน ท้องก็ใช้การได้ พอแต่งเข้ามาก็ตั้งครรภ์ จวนกั๋วกงแขวนโคมประดับผ้าแพรดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายกลับคลอดบุตรสาวมาคนหนึ่ง หลังจากนั้นอนุของต่งเซี่ยวก็ทยอยคลอดบุตรมาอีกหลายท้อง แทบจะพอตั้งโต๊ะเล่นไพ่นกกระจอกได้ทีเดียว แต่กลับไม่มีบุตรชายเลยสักคน
ต่งเหรินยิ่งสะอาดหมดจด แต่งงานสี่ปีก่อนจนถึงตอนนี้ สาวใช้ห้องข้าง อี๋เหนียงที่รวบรวมไว้แทบจะเป็นแถวยาวถึงกับไม่มีใครให้กำเนิดบุตรแม้แต่คนเดียว ในเรือนชิ่นย่วนมีแต่เสียงทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีเสียงเด็กร้องไห้
ต่งอ้ายก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว แต่งงานได้สามวันวิญญาณก็กลับสู่ยมโลก
และด้วยเหตุนี้เองต่งเนี่ยนจงที่เพิ่งอายุสามขวบ แม้จะร่างกายอ่อนแอป่วยบ่อย แต่จนถึงตอนนี้เขาก็เป็นหลานชายเพียงคนเดียวของสกุลต่ง ที่เหยาหลันผู้เป็นม่ายมีฐานะเหนือผู้อื่นในจวนกั๋วกง ไม่เพียงเพราะนางสุขุมมั่นคง ทำงานละเอียดรอบคอบ ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากนายหญิงใหญ่อย่างมาก ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือนางให้กำเนิดหลานชายสายตรงเพียงคนเดียวแก่สกุลต่ง
นึกถึงเรื่องเหล่านี้นายหญิงใหญ่ก็ทอดถอนใจ ต่งเซี่ยวรักษาการณ์อยู่ด่านชายแดน ในช่วงปีสองปีนี้คงไม่มีหวัง ต่งเหรินเป็นความหวังเดียวที่มีอยู่ ทว่าวันๆ เอาแต่ทะเลาะเบาะแว้งกับพานหมิ่น ไม่ได้ทำให้สบายใจเลยแม้ชั่วขณะ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห นายหญิงใหญ่จึงกล่าวอบรมต่อ
“เคารพเชื่อฟังจึงจะเป็นภาระหน้าที่อันพึงกระทำของสตรี สุภาษิตว่าไว้ การปลูกฝังคุณธรรมให้แก่ตนเองไม่มีอะไรดีไปกว่าเคารพ การหลบเลี่ยงความรุนแรงไม่มีอะไรดีไปกว่าเชื่อฟัง บุรุษแข็งกร้าว เจ้าต้องเชื่อฟัง ต้องเคารพ นานวันเข้าเขาย่อมเคารพเจ้า ย่อมไม่อาจเอาแต่หันคมเข็มเข้าหาคมปลายรวงข้าวสาลี* เป็นเช่นนี้ทุกวัน ไม่หยุดไม่หย่อนแม้ชั่วครู่ชั่วขณะ…เจ้าเคารพเชื่อฟังสักหน่อย ให้มีบุตรชายบุตรสาวสักคน พอมีลูก ผูกใจเหรินเอ๋อร์ไว้ได้แล้ว เขาย่อมไม่ไปเหลวไหลข้างนอก ยามข้ากับพ่อสามีของเจ้าช่วยเจ้าขัดขวางเขาไม่ให้รับอนุ ก็จะได้มีคำพูด”
มิน่านายหญิงใหญ่จึงไม่ขัดขวางต่งเหรินรับอนุ ที่แท้ก็เพื่อทายาท หลวนอวิ๋นชูแอบมองไปทางพานหมิ่นแวบหนึ่ง เหนือความคาดหมาย พานหมิ่นที่แต่ไรมาหยิ่งผยองถึงกับดูห่อเหี่ยวประหนึ่งไก่ตัวผู้ที่ไปตีแพ้มา หลวนอวิ๋นชูลอบถอนหายใจ ยุคสมัยโบราณนี้ไม่ว่าสตรีจะแข็งแกร่งเพียงใด ถ้าไม่อาจให้กำเนิดบุตร ย่อมต่ำเตี้ยกว่าผู้อื่นหนึ่งช่วงศีรษะ
ไม่อาจให้กำเนิดบุตรชาย ไม่เพียงพานหมิ่น สะใภ้คนอื่นๆ ก็มีสีหน้าละอายใจ ไม่กล้าเอ่ยวาจา พูดร่ำไรมานานสองนาน ไม่รู้คำพูดคำไหนทำให้สะเทือนใจ นายหญิงใหญ่ถึงกับเหม่อลอย บรรยากาศเงียบสงัดขึ้นมาในฉับพลัน แม้แต่หลวนอวิ๋นชูยังรู้สึกได้ถึงความอึดอัดจางๆ สาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยยิ่งไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ในห้องโถงกว้างใหญ่ เกรงว่ากระทั่งเข็มตกก็ได้ยิน
“แค่ก”
เสียงไอเบาๆ ทำให้ทุกคนต่างสะดุ้ง เงยหน้ามองไปทางเหยาหลันพร้อมกัน
“นายหญิงใหญ่เรียกสะใภ้มา มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
หันไปส่งสายตาให้สาวใช้รุ่นเล็กที่ชะโงกหน้าชะโงกตาอยู่ตรงปากประตู จากนั้นเหยาหลันก็ทำลายความเงียบขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
นายหญิงใหญ่ตื่นจากภวังค์ มองต่งซูแวบหนึ่ง ริมฝีปากขยับไปมา แล้วเปลี่ยนมาพูดว่า
“กินข้าวกันก่อนเถิด”
แม่สามี สะใภ้ และน้องสามีรวมกันเจ็ดแปดคนนั่งร่วมโต๊ะกัน เหล่าคนรับใช้เดินเข้าเดินออกจัดวางชามตะเกียบ ทั้งที่เดินสวนกันขวักไขว่กลับเงียบกริบไร้สุ้มเสียง บรรยากาศชวนอึดอัดจนทำให้หลวนอวิ๋นชูกังวลว่าการกินอาหารภายใต้สภาพแวดล้อมที่เคร่งขรึมน่าเกรงขามเช่นนี้ อาหารจะไม่ย่อย ทำให้เป็นแผลในกระเพาะหรือไม่
มองเนื้อปลาที่วางอยู่ตรงหน้านายหญิงใหญ่ หลวนอวิ๋นชูแอบกลืนน้ำลาย ไม่รู้เมื่อไรนางจึงจะสิ้นสุดการใช้ชีวิตแบบแม่ชีนี้ได้เสียที สามารถกินเนื้อไก่เป็ดปลาชิ้นโตๆ ได้ นางแอบถอนหายใจ แล้วคีบอาหารเจที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาส่งเข้าปากด้วยท่าทางสุภาพงดงาม แล้วก็อดตะลึงงันไม่ได้
เหตุใดรสชาตินี้…
ลิ้มรสชาติดูอย่างละเอียด ถึงกับแตกต่างจากที่ตนกินอยู่ทุกวัน แม้จะเป็นอาหารเจเช่นกัน แต่กลับทำออกมาอย่างมีรสมีชาติ อร่อยกว่ามาก
หรือว่าพ่อครัวที่นายหญิงใหญ่ใช้ฝีมืออยู่ในขั้นสูงกว่าผู้อื่น หรือว่า…
สายตากวาดผ่านผู้คนไปทีละคน นอกจากพานหมิ่นแล้ว ในจวนแห่งนี้ยังมีใครกลั่นแกล้งนางแม่ม่ายคนหนึ่งอีก
ขณะกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น นายหญิงใหญ่ก็วางตะเกียบลง เหยาหลันก็ขยับนั่งตัวตรงตาม คนอื่นๆ ก็วางตะเกียบตามไปด้วย หลวนอวิ๋นชูเพิ่งกินได้ครึ่งอิ่ม แต่เห็นทุกคนทำเช่นนี้จึงวางตะเกียบตามไปด้วย
“ข้าอายุมากแล้ว เดิมก็กินไม่ได้มาก” นายหญิงใหญ่มองทุกคน สีหน้าอ่อนโยนมีเมตตา “พวกเจ้าไม่ต้องพะวงถึงข้า กินต่อไปเถิด วันยังอีกยาวนาน อย่าปล่อยให้ท้องหิว”
“ขอบคุณนายหญิงใหญ่ที่เป็นห่วง สะใภ้อิ่มแล้ว”
เหยาหลันพูดจบ ทุกคนรวมถึงพานหมิ่นที่ร่างกายแข็งแรงมีพลังก็พูดออกมาพร้อมกันว่าอิ่มแล้ว หลวนอวิ๋นชูฟังแล้วก็ระมัดระวังตัว จำต้องคล้อยตามไปด้วย
นายหญิงใหญ่ยิ้มอย่างปลื้มใจ
ทางด้านโน้นสี่เหมยพาสาวใช้เอาพวกโถบ้วนปาก ผ้าเช็ดหน้ามาปรนนิบัติทุกคนบ้วนปาก อี๋ไท่ไท่หลายคนสั่งการให้บ่าวไพร่ยกอาหารออกไป แล้วยกน้ำชามา
แม้จะรู้ว่าหลังอาหารดื่มน้ำชาทันทีจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเจือจางลง ไม่ดีต่อสุขภาพ แต่เห็นทุกคนดื่ม หลวนอวิ๋นชูก็ไม่อยากทำตัวแตกต่างเกินไป จึงจิบน้อยๆ ตามไปด้วย
“นายหญิงใหญ่ วันนี้หลี่มามาที่เป็นคนค้าทาสมาแล้ว” เห็นนายหญิงใหญ่อารมณ์ดี เหยาหลันจึงวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “สาวใช้ของน้องอวิ๋นชูก็คัดเลือกเสร็จแล้ว หลังเที่ยงก็จะส่งไปที่เรือนลู่ย่วน”
นายหญิงใหญ่มองมาที่หลวนอวิ๋นชู “คนที่หลี่มามาพามาเป็นอย่างไร เลือกได้ถูกใจหรือไม่”
หลวนอวิ๋นชูกำลังจะเอ่ยปาก สี่จวี๋ก็ขยับเข้ามาก่อนก้าวหนึ่ง
หลวนอวิ๋นชูใจเต้นระรัว สี่จวี๋ผู้นี้คิดจะทำอะไร
คิดจะยับยั้งก็ไม่ทันแล้ว หลวนอวิ๋นชูแอบยื่นเท้าออกไป เหยียบลงไปบนเท้าของสี่จวี๋อย่างแรงโดยไม่เผยพิรุธ สี่จวี๋ไม่ได้ระวังเจ็บจนร้อง ‘โอ๊ย’ ออกมาคำหนึ่ง แล้วรีบยกมือขึ้นปิดปาก ไอเบาๆ ออกมา
“สะใภ้ขอบคุณท่านป้าที่รักและเอ็นดู” หลวนอวิ๋นชูวางถ้วยชาลงเหมือนไม่มีอะไร ฉวยโอกาสนี้ตอบคำถาม “คนที่หลี่มามาพามาแต่ละคนเฉลียวฉลาดคล่องแคล่ว สะใภ้ดูจนลานตาไปหมด”
แอบเห็นการเคลื่อนไหวเล็กๆ ของหลวนอวิ๋นชู เหยาหลันพลันเกิดความคิด หรือว่าเมื่อเช้าตอนเลือกสาวใช้ หลวนอวิ๋นชูยังมีเรื่องอะไรปิดบังนางกับนายหญิงใหญ่
“เมื่อครู่ก่อนได้ยินน้องอวิ๋นชูบอก เมื่อเช้าตอนที่เลือกสาวใช้ สี่จวี๋ก็ช่วยลงแรงด้วย”
เหยาหลันเบี่ยงหัวข้อสนทนาไปที่ตัวสี่จวี๋อย่างแนบเนียน นางแววตาระยิบระยับ หันไปยิ้มให้หลวนอวิ๋นชูอย่างเอาความดีความชอบ
ยังจะขอรางวัลอีก ทำร้ายข้าเช่นนี้ ไม่ยกสองเท้าขึ้นถีบก็นับว่าไม่เลวแล้ว!
พยายามกดข่มความรู้สึกอยากด่าคนเอาไว้ หลวนอวิ๋นชูเผยสีหน้าซาบซึ้งใจ ส่งยิ้มให้เหยาหลัน แล้วหันมากล่าวกับนายหญิงใหญ่อย่างชาญฉลาด
“ใช่เจ้าค่ะ สะใภ้สายตาตื้นเขิน มองคนที่หลี่มามาพามา ไม่ว่าคนไหนก็ดีไปหมด เสียดายไม่ได้ต้องการมากเพียงนั้น สุดท้ายยังเป็นสี่จวี๋ที่คิดหัวข้อทดสอบออกมา ช่วยสะใภ้คัดเลือก”
คำพูดเบาหวิวประโยคเดียวของหลวนอวิ๋นชูก็ผลักภาระหน้าที่ในการคัดเลือกคนไปให้สี่จวี๋ทั้งหมด
สี่จวี๋ในใจคับแค้นใจยากบรรยาย
เฉิงชิงเสวี่ยมีฐานะเป็นนักโทษของทางการ เป็นเหมือนหินก้อนหนึ่งที่กดทับอยู่ในหัวใจของสี่จวี๋ตลอดเวลา ตอนนายหญิงใหญ่เอ่ยถามก็คิดจะชิงตัดหน้าหลวนอวิ๋นชูตอบ ชี้แจงข้อเท็จจริงปัดความรับผิดชอบออกไปก่อนค่อยว่ากัน คิดไม่ถึงว่าจะถูกอีกฝ่ายขัดขวางอย่างไม่เผยร่องรอย
มาบัดนี้หลวนอวิ๋นชูพูดต่อหน้าทุกคนว่านางเป็นคนเลือกสาวใช้ ถ้านางบอกว่าเลือกคนแคว้นหลีที่เป็นนักโทษทางการกลับมาคนหนึ่ง เกรงว่าไม่รอให้นางทันได้อธิบายชัดเจน นายหญิงใหญ่ก็ถลกหนังนางออกมาก่อนแล้ว
เห็นหลวนอวิ๋นชูให้ความสำคัญและพึ่งพาสี่จวี๋เช่นนี้ นายหญิงใหญ่ก็ยิ้มเต็มหน้าออกมาก่อนแล้ว
“เช่นนั้นหรือ สี่จวี๋พูดให้ฟังหน่อยซิ”
หลวนอวิ๋นชูก็ยิ้มและมองไปที่สี่จวี๋
“ท่านป้าถามแล้ว เจ้าก็เล่าไป”
ในรอยยิ้มมีแสงโชติช่วงจ้าตาเจืออยู่ขุมหนึ่ง สี่จวี๋ตัวสั่นสะท้าน นางถูกหลวนอวิ๋นชูจับมัดขึ้นเรือโจรแล้ว เวลานี้คิดจะชี้แจงข้อเท็จจริงก็ไม่ทันการณ์
“บ่าว…บ่าวก็ไม่ได้ออกแรงอะไร เพียงช่วยกันกับฝูหรงคิดหัวข้อออกมาสองหัวข้อ ทดสอบดู แล้วคัดคนที่ทำได้ดีเอาไว้”
นายหญิงใหญ่ฟังไม่ออกถึงความจำใจของสี่จวี๋ เพียงเข้าใจว่านางถ่อมตน รอยยิ้มของนายหญิงใหญ่ยิ่งกว้างขึ้น
“ออกหัวข้ออะไรบ้าง”
“บ่าวคิดถึงว่าจะเป็นคนที่อยู่ข้างกายสะใภ้สี่ ย่อมต้องมีกิริยามารยาท งานเย็บปักถักร้อยล้วนต้องอยู่ในเกณฑ์ดี ดังนั้นจึงตั้งสองหัวข้อนี้”
“เหตุใด…”
เหตุใดไม่ออกหัวข้อความสามารถด้านการประพันธ์เล่า?
หลวนอวิ๋นชูเป็นบัณฑิตหญิงที่มีชื่อเสียงเกริกก้อง สาวใช้ของนางย่อมต้องมีความสามารถด้านการประพันธ์
นายหญิงใหญ่ในใจนึกฉงน จากนั้นก็นึกได้ว่าหลวนอวิ๋นชูเป็นแม่ม่าย ถ้าเลือกสาวใช้ที่มีความสามารถด้านการประพันธ์มาจริง แล้วยุยงส่งเสริมให้นางไปร่วมงานชุมนุมกวีอีก ทำเรื่องที่เสื่อมเสียต่อจารีตและศีลธรรมขึ้นมากลับจะผิดต่อท่านน้าหลวนแล้ว คิดมาถึงตรงนี้จึงกลืนคำพูดที่มาถึงปากกลับลงไป
ติดตามนายหญิงใหญ่มานาน เพียงนางเผยอปาก สี่จวี๋ก็เข้าใจความคิดของนางแล้ว จึงเอ่ยขึ้นอย่างชาญฉลาด
“เดิมทีบ่าวคิดจะออกหัวข้อความสามารถด้านการประพันธ์อีกหัวข้อหนึ่ง สะใภ้สี่ได้ช่วยตักเตือน บอกท่านเพิ่งจะพูดไว้ อิสตรีใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน เน้นหนักเรื่องความอ่อนโยนดีงามมีคุณธรรม ไม่นิยมบทกวีโคลงกลอนอะไรนั่น เกรงว่าใช้ความสามารถด้านการประพันธ์คัดเลือกสาวใช้จะขัดกับคำสั่งสอนของท่าน ทำให้ท่านโกรธ จึงยับยั้งไว้เจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่มองหลวนอวิ๋นชูอย่างดีใจ สีหน้าอ่อนโยนมีเมตตาเป็นพิเศษ
“เจ้าเข้าใจความตั้งใจดีของข้าก็ดีแล้ว แต่ก็ไม่ต้องถึงกับใส่ใจไปเสียทุกอย่างเช่นนี้ ทำให้ตนเองต้องลำบาก”
“ท่านป้าสั่งสอนได้ถูกต้อง สะใภ้แต่งมาเป็นภรรยาผู้อื่นแล้ว เรื่องในสมัยก่อนแต่งงานเหล่านั้นควรวางมือนานแล้ว” หลวนอวิ๋นชูยิ้มนุ่มนวลละมุนละไม “ขอบคุณท่านป้ายังแทบไม่ทัน จะลำบากใจได้อย่างไร”
“ดีๆ…ข้าบอกแล้ว อวิ๋นชูรู้หลักทำนองคลองธรรม”
นายหญิงใหญ่ยิ้มแย้มเบิกบาน ผงกศีรษะไม่หยุด
ครองพรหมจรรย์ก็ควรมีหลักของการครองพรหมจรรย์ นางจะต้องส่งเสริมหลวนอวิ๋นชูให้วางมือจากบทกวีโคลงกลอนที่ดึงดูดผีเสื้อและภมรเหล่านั้น
นายหญิงใหญ่ผู้นี้แม้จะเป็นคนในยุคโบราณ แต่ก็เข้าใจปรากฏการณ์ผีเสื้อขยับปีก* เข้าใจถึงเรื่องเท่าเมล็ดงาก็ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาได้ มองเจตจำนงของนายหญิงใหญ่ได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว หลวนอวิ๋นชูก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงยิ้มน้อยๆ
พานหมิ่นก็มองหลวนอวิ๋นชูอย่างดุดัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม อย่ามาเสแสร้งทำจริตมารยาที่นี่ แน่จริงเจ้าก็อย่าแต่งบทกวีไปตลอดชีวิตสิ!
เหยาหลันก็ไม่สบอารมณ์ ตอนมองสีหน้าสี่จวี๋ก็เห็นชัดว่ามีเรื่องใหญ่จะรายงาน คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะเป็นเรื่องนี้ กลายเป็นทำให้หลวนอวิ๋นชูได้หน้าไป เห็นดวงตานายหญิงใหญ่เต็มไปด้วยความชมเชย หัวใจของเหยาหลันพลันเยียบเย็น ในดวงตามีประกายริษยาพาดผ่านจางๆ
“นั่นสิเจ้าคะ ต้องบอกว่าเป็นบุตรสาวที่ท่านน้าอบรมสั่งสอนมา” ชั่วพริบตาเดียวเหยาหลันก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม “เพียงจิตใจที่มีความกตัญญูนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบได้”
“อืม หลันเอ๋อร์กล่าวได้ไม่ผิด”
เช่นนี้ก็เรียกว่ากตัญญูหรือ
ก็แค่ไม่ได้ใช้ความสามารถด้านการประพันธ์มาคัดเลือกสาวใช้เท่านั้น!
พวกนางสะใภ้เหล่านี้ก็ไม่เคยมีใครใช้ความสามารถด้านการประพันธ์เลือกสาวใช้ เหตุใดไม่เห็นนายหญิงใหญ่ชมแม้แต่คำเดียว โดยเฉพาะพานหมิ่นตั้งแต่เล็กก็ไม่เคยสัมผัสบทกวีโคลงกลอน ฟังคำพูดเหล่านี้แล้ว ยิ่งไม่อาจยอมรับ
นายหญิงใหญ่กล่าวจบ กลับไม่มีใครส่งเสียงเออออคล้อยตามเลยสักคน บรรยากาศเงียบวังเวงขึ้นมาทันที
คล้ายรู้สึกได้ นายหญิงใหญ่กระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง แล้วเอ่ยเหมือนไม่มีอะไร
“ลุกกันเถิด”
พูดจบนางก็ลุกขึ้นยืน
* หันคมเข็มเข้าหาคมปลายรวงข้าวสาลี เป็นสำนวน หมายถึงใช้อารมณ์รุนแรงเข้าหากัน ปลายเข็มและปลายรวงข้าวสาลีล้วนคมเหมือนกัน
* ปรากฏการณ์ผีเสื้อขยับปีก หรือ Butterfly Effect คือแนวคิดที่เกิดจากการสร้างแบบจำลองคณิตศาสตร์เพื่อพยากรณ์อากาศของ ดร. เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน ลอเรนซ์ ในปี ค.ศ. 1961 แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ ที่เพียงเปลี่ยนแปลงนิดเดียวก็จะส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่นจนเกิดเป็นความโกลาหล คล้ายกับคำกล่าว ‘เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว’