หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 27
ลู่เซวียนพลันรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา เขาหยุดฝีเท้าลง ใบหน้าซีดขาว
จวบจนวันนี้นางยังคงไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามในครั้งนี้ เพราะเรื่องนี้ถังเซียวถึงกับโลหิตสาดท้องพระโรง ถูกปลดเป็นสามัญชน นอกจากนี้มีเพียงเขาที่รู้ ถ้าไม่ใช่เพราะคิดจะเกลี้ยกล่อมพ่อค้าใหญ่ในแคว้นหลวนและที่ปรึกษาในสังกัดของต่งกั๋วกงเพื่อยับยั้งการทำสงครามในครั้งนี้ นางก็คงไม่ยินดีแต่งเข้าจวนกั๋วกง!
เขากับนางก็คงไม่ต้องแยกจากกัน…
มองร่างผอมบางในชุดสีขาวของนาง ในใจของลู่เซวียนมีความฝาดขมผุดขึ้นมาเป็นระลอกริ้ว
“อวิ๋นชูวางมือเถิด อย่าคิดถึงเรื่องพวกนั้นอีกเลย”
“…”
หลวนอวิ๋นชูก็แค่พูดไปตามความรู้สึก เป็นคนแคว้นฉี่ห่วงฟ้า* เท่านั้น ไม่เข้าใจเพราะเหตุใดลู่เซวียนจึงเคร่งเครียดจริงจังเช่นนี้ นางจึงหยุดฝีเท้าลง มองเขาไม่พูดอะไร
“ขุนนางยึดถือกษัตริย์ ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้ว พวกเราเป็นขุนนาง นอกจากทำงานด้วยความจงรักภักดี ก็ไม่มีทางเลือกอื่น”
เสียงแหบต่ำเจือความฝาดขมจางๆ ลู่เซวียนมองหลวนอวิ๋นชูด้วยความเศร้ารันทด
เขาเข้าใจว่านางยังคิดหวังลมๆ แล้งๆ อยากจะยับยั้งการทำสงครามในครั้งนี้อยู่หรือ
จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเหยาหลันเคยพูด บัณฑิตหญิงผู้นี้คัดค้านเรื่องฮ่องเต้จะยกทัพไปตีแคว้นชื่ออย่างหนัก ถังเซียวผู้นั้นยังโลหิตสาดท้องพระโรงเพราะเรื่องนี้…
มุมปากหลวนอวิ๋นชูมีรอยยิ้มเจื่อนผุดขึ้นจางๆ จะอย่างไรลู่เซวียนก็ไม่ใช่นาง ถ้าลู่เซวียนรู้ว่านางไม่ใช่นางในอดีตผู้นั้นแล้ว ยังจะมั่นคงไม่หวั่นไหวเช่นนี้อีกหรือไม่
“พี่เหวินฮั่นกล่าวได้ถูกต้อง เรื่องใหญ่ของบ้านเมืองเหล่านี้ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เราควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
คาดคิดไม่ถึงว่าหลวนอวิ๋นชูจะสงบนิ่งเช่นนี้ ลู่เซวียนเหม่อลอยไปชั่วขณะ มีความรู้สึกคล้ายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ไม่เป็นความจริง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเบาๆ
“อวิ๋นชูปล่อยวางได้ก็ดีแล้ว ดีแล้ว”
“พี่เหวินฮั่นคงไม่รู้ สะใภ้ใหญ่ของจวนกั๋วกงก็คือบุตรสาวของอัครเสนาบดีเหยา” หลวนอวิ๋นชูยื่นมือไปเด็ดใบไม้สีเขียวมาใบหนึ่ง ยกขึ้นมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ “คิดจะขอร้องนายท่าน อัครเสนาบดีเหยาให้พี่สะใภ้ใหญ่ออกหน้าโดยตรงย่อมสะดวกกว่า เหตุใด…”
“ศิษย์น้องจะอย่างไรก็เป็นอิสตรี จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองได้อย่างไร!”
อิสตรีเป็นอย่างไรหรือ อู่เจ๋อเทียนก็เป็นอิสตรี ทั้งยังนั่งหันหน้าไปทางทิศใต้ ได้รับการยกย่องเป็นฮ่องเต้หญิง** มิใช่หรือไร
หลวนอวิ๋นชูไม่ชอบที่เขาดูถูกอิสตรีเช่นนี้ จึงมองลู่เซวียนด้วยความขุ่นเคือง กลับเห็นสีหน้าเขาเต็มไปด้วยความจริงจัง นางอดที่จะแอบทอดถอนใจไม่ได้ นางลืมไป นี่คือยุคสมัยโบราณ เขาเป็นคนยุคโบราณ ความคิดที่ว่าบุรุษสูงส่งสตรีต่ำต้อยได้หยั่งรากฝังลึกอยู่ในสมอง ระหว่างนางกับเขามีช่องว่างระหว่างกันที่ต้องก้าวข้ามนับพันปี
ความคิดของเขาไม่ใช่สิ่งที่นางจะเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันสั้น
คิดมาถึงตรงนี้ หลวนอวิ๋นชูก็ยกยิ้มขึ้นมา
“พี่เหวินฮั่นกล่าวไม่ผิด เพียงแต่พี่สะใภ้ใหญ่ได้รับความโปรดปรานจากนายหญิงใหญ่อย่างมาก เรื่องทำนองนี้นางเพียงเอ่ยต่อหน้านายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่เป่าลมข้างหมอน*** สักหน่อย ไม่แน่อาจจะสำเร็จก็ได้”
ไม่อาจไม่ยอมรับว่าที่หลวนอวิ๋นชูพูดเป็นความจริง ในใจของลู่เซวียนก็เห็นด้วย แต่เหยาหลันจะอย่างไรก็เป็นอิสตรี เรื่องใหญ่ของบ้านเมืองจะให้นางเข้ามาช่วยหว่านล้อมได้อย่างไร
แม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดของหลวนอวิ๋นชู แต่ลู่เซวียนก็ไม่ได้เอ่ยออกมา
ทั้งสองคนต่างนิ่งเงียบไป กลับไม่อาจตัดใจแยกจากกันไปเช่นนี้ เพียงเดินช้าๆ เคียงคู่กันไป
“อวิ๋นชูช่วงนี้…”
“พี่เหวินฮั่นชอบ…”
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็เดินมาถึงใต้ต้นอิ๋นซิ่ง ทั้งสองหยุดเท้าลงพร้อมกัน ต่างเอามือเกาะต้นอิ๋นซิ่งคนละด้าน เอ่ยปากถามออกมาพร้อมกัน ก่อนหยุดชะงักลง ต่างหันหน้ามามองกันแล้วหัวเราะออกมา ลู่เซวียนกล่าวขึ้น
“อวิ๋นชูอยากพูดอะไรหรือ”
“ได้ยินว่าต้นอิ๋นซิ่งต้นนี้ผ่านการเปลี่ยนแปลงของโลกมาห้าร้อยปีแล้ว เป็นประจักษ์พยานของความเจริญรุ่งเรืองความเสื่อมโทรม ชื่อเสียงเกียรติยศและความอัปยศอดสูของผู้คนมาหลายชั่วอายุคน” ปลายนิ้วลูบไล้ผิวของต้นไม้ที่ดูยับย่นทับซ้อนกันเบาๆ หลวนอวิ๋นชูมองลู่เซวียน “พี่เหวินฮั่นก็ชอบต้นไม้ต้นนี้หรือ”
ลู่เซวียนสีหน้าหม่นขรึม นิ่งเงียบไปนานแล้วจึงเอ่ยปากขึ้น
“ได้ยินคนพูดถึงต้นอิ๋นซิ่งร้อยปีต้นนี้มานานแล้ว เดิมทีก็ไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไร เพียงแต่…”
พูดไปเสียงของลู่เซวียนก็แผ่วลง เขามาเดินเล่นที่นี่อยู่เสมอ ไม่ใช่เพื่อมาดูความเก่าแก่ของต้นไม้โบราณสูงเทียมฟ้าต้นนี้ แต่เพราะนึกถึงว่านางเคยตกลงไปในน้ำจากที่นี่
ครั้งหนึ่ง…ความรักที่นางเคยมีต่อเขา เขารู้
ครั้งหนึ่ง…นางเคยบอกนางไม่ชอบต่งอ้าย ขอให้เขาพานางหนีไป
ครั้งหนึ่ง…คำสาบานที่เคยมีต่อกัน เขายังจารึกอยู่ในใจเสมอมา
ครั้งหนึ่ง…ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น เหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้…
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เคยเชื่อคำพูดที่บอกว่านางฆ่าตัวตายบูชารัก จะต้องเป็นเพราะนางสิ้นหวังแล้ว จึงคิดจะจบชีวิตที่เหลืออยู่ พอนึกว่าเขากับนางเกือบต้องแยกกันอยู่คนละภพชาติไม่ได้พบเจอกันไปชั่วนิรันดร์ หัวใจของเขาก็เหมือนถูกมีดคว้าน
แม้ชาตินี้จะไม่อาจจับจูงมือกันอีก แต่ขอเพียงนางยังมีชีวิตอยู่ดี ถึงจะได้แต่มองนางอยู่ห่างๆ ก็ยังดี
จับจ้องดวงหน้าผ่ายผอมที่อยู่ตรงหน้า สายตาของลู่เซวียนก็ร้อนแรงขึ้นทุกขณะ เขาพลันคว้ามือของนางมากุมไว้แน่น
“อวิ๋นชู รับปากข้า ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป พวกเรา…” นิ่งไปครู่หนึ่ง ลู่เซวียนบอกอย่างไม่ลังเล “ขอเพียงมีชีวิตอยู่ ย่อมมีความหวัง!”
ลู่เซวียนพูดไป คลื่นความร้อนก็พลุ่งพล่านอยู่ในช่องอก ตรงบริเวณที่ถูกหลีอู่ทำร้ายบาดเจ็บเมื่อครู่พลันเจ็บปวดขึ้นมาอย่างรุนแรง ในลำคอมีรสคาวเค็ม เขากัดฟันแน่น กลืนความรู้สึกไม่สบายที่พุ่งขึ้นมากลับลงไป ใบหน้าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดอย่างมาก ครู่ใหญ่จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นซีดขาว
หลวนอวิ๋นชูไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของลู่เซวียน ฟังคำพูดของเขาแล้ว นางรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าสดใสขึ้นทันที
ขอเพียงมีชีวิตอยู่ ย่อมมีความหวัง!
หรือว่าเขาก็ไม่ต่างจากข้า มีความคิดที่จะพาข้าหนีไปให้ไกล
คิดได้ดังนี้ หลวนอวิ๋นชูหัวใจหวั่นไหวอยู่ชั่วขณะ ดวงตาสาดประกายเจิดจ้าดุจดวงดาว
“พี่เหวินฮั่นจะบอกว่า…”
แม้จะเป็นคนในยุคปัจจุบัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนในสมัยโบราณจริงๆ คำว่า ‘หนีตาม’ สองคำก็ยังไม่กล้าพูดออกจากปาก นางเพียงมองลู่เซวียนด้วยความตื่นเต้นดีใจ ริ้วแดงค่อยๆ ผุดขึ้นมาสองข้างแก้ม
แต่เห็นเขาสีหน้าซีดขาว ปิดปากไม่พูด หลวนอวิ๋นชูก็รู้สึกผิดหวัง จะอย่างไรก็เป็นคนในสมัยโบราณ เรื่อง ‘ขัดต่อประเพณีและศีลธรรมอันดีงาม’ เช่นนี้ เกรงว่ากระทั่งคิดยังไม่กล้าคิด
หลวนอวิ๋นชูเยือกเย็นลงมา แอบทอดถอนใจออกมาทีหนึ่ง คนที่เขาชอบยังคงเป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคกระมัง
ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ สิ่งที่ข้าหลงใหลก็มีเพียงดวงตาลึกล้ำคู่นี้
หลวนอวิ๋นชูค่อยๆ ดึงมือกลับมาช้าๆ หมุนตัวหันไปมองผิวน้ำกว้างใหญ่ในทะเลสาบที่มีหมอกปกคลุมอยู่ นางทวนคำพูดขึ้นมาเบาๆ
“พี่เหวินฮั่นพูดถูก ขอเพียงมีชีวิตอยู่ ย่อมมีความหวัง”
ไม่ได้ยินเสียงตอบจากด้านหลัง หลวนอวิ๋นชูยิ้มเยาะตนเอง มองนกกระยางคู่หนึ่งที่เอ้อระเหยลอยชายอยู่บนผิวน้ำในทะเลสาบแล้วจมอยู่ในความครุ่นคิด ท่ามกลางความหนาวเย็นในฤดูใบไม้ผลิ ผิวน้ำที่สาดประกายวิบวาวส่องสะท้อนเงาร่างงดงามสูงบางคู่หนึ่ง จากนั้นก็กระเพื่อมไหวแตกกระจายไม่มีชิ้นดี
“สะใภ้สี่ไม่ใช่บอกให้เจ้ากลับไปเรือนลู่ย่วนแล้วหรือ เหตุใดยังตามมาอีก!”
เสียงเอ่ยถามดังกังวานเสียงหนึ่งทำให้คนสองคนที่จมอยู่ในความเงียบสะดุ้งตกใจได้สติขึ้นมาและหันหน้าไปพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เพียงเห็นฝูหรงที่อยู่ข้างภูเขาจำลองกำลังยืนหันหลังให้พวกตน ร้องตะโกนออกไปทางด้านนอก เสียงดังกว่าปกติแปดระดับ มือข้างหนึ่งยังเอื้อมมาด้านหลังพยายามส่งสัญญาณมือบอกพวกเขา
หลวนอวิ๋นชูมองลู่เซวียนแวบหนึ่ง แล้วหมุนตัวเดินออกไป
“อวิ๋นชู…”
ลู่เซวียนยื่นมือไปคว้าตัวนางไว้ เรียกเสียงเบา ส่วนลึกในดวงตามีความกระวนกระวายใจจางๆ เผยความในใจของเขาออกมา
หลวนอวิ๋นชูไม่ได้พูดอะไร ชี้มือไปที่ด้านหลังต้นไม้ แสดงท่าทางให้เขาซ่อนตัวให้ดี ส่วนตนเองเดินออกไปรับหน้าด้วยท่าทีเงียบสงบ
“เหตุใดเจ้าจึงอยู่คนเดียว สะใภ้สี่เล่า”
เห็นฝูหรงสีหน้าลนลาน สี่จวี๋พลันสะดุดใจ หันไปสั่งกำชับด้านนอกประตูวงเดือนสองคำ แล้วสาวเท้าเร็วๆ มาที่ริมทะเลสาบ เดินไปพลางเหลียวมองรอบด้านไปพลาง
ฝูหรงพุ่งเข้ามาขวางหน้านางไว้แล้วถามอีกครั้ง
“สะใภ้สี่ไม่ใช่บอกให้เจ้าพาเกี้ยวกลับไปเรือนลู่ย่วนแล้วหรือ ยังจะตามมาถึงที่นี่ทำอะไร”
เห็นฝูหรงเข้ามาขวางทางอย่างผิดปกติ สี่จวี๋ยิ่งสงสัยหนัก
“ถอยไป!” สี่จวี๋ดึงฝูหรงออกไป “สะใภ้สี่เล่า ข้าตามมาย่อมต้องมีธุระ!”
“ข้าถามก่อน เจ้าก็ตอบมาแล้วค่อยว่ากัน!”
ฝูหรงก็ฮึกเหิมขึ้นมา ดึงตัวสี่จวี๋ฉุดรั้งกันไปมา
“คารวะสะใภ้สี่”
ขณะกำลังฉุดรั้งกันไปมาอยู่นั้น สี่จวี๋เงยหน้าขึ้นก็เห็นหลวนอวิ๋นชูยืนอยู่ข้างหลังฝูหรง กำลังมองพวกนางด้วยแววตาเยียบเย็น นางรีบร้องเรียกออกมาเบาๆ ดวงตายังสอดส่ายมองไปด้านหลังหลวนอวิ๋นชูด้วยความสงสัย
“มีเรื่องอะไร ดูพวกเจ้าซิ กลางวันแสกๆ กลับฉุดรั้งกันไปมา นี่มันธรรมเนียมปฏิบัติอะไรกัน”
ได้ยินเสียงของหลวนอวิ๋นชู ฝูหรงก็มีสีหน้าผ่อนคลาย ปล่อยมือจากสี่จวี๋ หลบไปอยู่ด้านข้าง แต่ยังไม่ลืมถลึงตาใส่นาง
“คารวะสะใภ้สี่ เมื่อครู่บ่าวก็เพิ่งถาม” ฝูหรงสบตาหลวนอวิ๋นชู แล้วชิงฟ้องขึ้นก่อน “นางไม่เพียงไม่พูด ยังตำหนิบ่าวอีกด้วย”
“เจ้า…”
สี่จวี๋ชี้หน้าฝูหรง ริมฝีปากสั่นระริก
นางตำหนิฝูหรงตั้งแต่เมื่อไรกัน ไม่ใช่เพราะฝูหรงแสร้งทำเป็นลึกลับ ทำให้นางหลงกลหรอกหรือ
“เอาล่ะๆ” น้ำเสียงของหลวนอวิ๋นชูเต็มไปด้วยความรำคาญ ในแววตาที่มองไปทางสี่จวี๋มีความน่าเกรงขามเพิ่มมาส่วนหนึ่ง “ข้าก็แค่อยากเดินไปเอง แต่เจ้ากลับไม่ยอมให้จบเรื่อง”
สี่จวี๋ตัวสั่นเทา คำพูดที่คิดจะถามว่าเหตุใดพวกนางจึงเพิ่งเดินถึงที่นี่พลันติดอยู่ในลำคอ ก่อนตอบออกมาอย่างนอบน้อม
“เรียนสะใภ้สี่ บ่าวเพิ่งเลี้ยวกลับไปก็เจอซื่อเอ๋อร์มาหาท่านที่เรือนจัดการงาน บอกนายหญิงใหญ่เรียกหาท่าน บ่าวจึงได้รีบร้อนตามมา”
หลวนอวิ๋นชูขยับหัวคิ้วเข้าหากัน แหงนหน้าขึ้นมองตะวัน เห็นใกล้จะได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว นายหญิงใหญ่เรียกหานางด้วยเรื่องใดอีก
“สะใภ้สี่ พวกเรารีบไปกันเถิด ช้าแล้ว นายหญิงใหญ่จะร้อนใจ”
ได้ยินว่านายหญิงใหญ่เรียกหา ฝูหรงก็ร้อนใจขึ้นมา ประการแรกกลัวช้าแล้วนายหญิงใหญ่จะไม่พอใจ ประการที่สองรู้สึกร้อนรนกระวนกระวาย นางอยากไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด สี่จวี๋จะได้ไม่พบเจอลู่เซวียน
ฝูหรงพูดจบก็หันไปทางสี่จวี๋
“เกี้ยวเล่า”
ได้ยินฝูหรงถาม สี่จวี๋ก็ไม่ยินดีจะตอบ จึงมองหลวนอวิ๋นชูแล้วตอบ
“เรียนสะใภ้สี่ ประตูนี้เล็กเกินไป เกี้ยวเข้ามาไม่ได้ บ่าวให้พวกนางรออยู่ข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ”
คล้ายไม่เห็นสาวใช้สองคนประลองกำลังกัน หลวนอวิ๋นชูพยักหน้าแล้วเดินนำไปที่ประตู
สี่จวี๋เลิกม่านเกี้ยวให้หลวนอวิ๋นชูอย่างกระตือรือร้น หลวนอวิ๋นชูที่ค้อมตัวยกเท้ากำลังจะขึ้นเกี้ยวก็หยุดชะงักลงอีก
สี่จวี๋ที่เลิกม่านอยู่เอ่ยถามด้วยความฉงน
“สะใภ้สี่ยังมีอะไรจะสั่งหรือเจ้าคะ”
“อืม” หลวนอวิ๋นชูนิ่งคิดอยู่ชั่วขณะ หันไปทางฝูหรง “เจ้าไม่ต้องตามไปแล้ว ช่วงบ่ายพ่อบ้านเฮ่อจะพาคนไปส่ง เจ้ากลับไปสั่งให้สาวใช้กับหญิงรับใช้สูงวัยทุกส่วนเตรียมตัวให้พร้อม คอยดูพวกนางรับช่วงงานกัน”
“สะใภ้สี่ นี่…”
ให้สี่จวี๋ไปเรือนอิ่นย่วนกับหลวนอวิ๋นชู ฝูหรงไม่วางใจอย่างมาก พอได้ยินคำพูดนี้นางก็ยิ่งร้อนใจแล้ว คำพูดเพิ่งออกจากปากพลันนึกถึงเรื่องที่หลวนอวิ๋นชูพบลู่เซวียนที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยน เวลานี้ไม่อาจให้สี่จวี๋ย้อนไปที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยนได้
“เช่นนั้น…บ่าวจะกลับไปก่อน” ฝูหรงรับคำอย่างไม่ค่อยเต็มใจแล้วมองสี่จวี๋ “สะใภ้สี่เพิ่งสูญเสียความทรงจำ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ลืมไปหมดสิ้นแล้ว อย่าลืมว่าต้องคอยเตือนสักหน่อย ระวังอย่าปล่อยให้สะใภ้สี่ทำอะไรให้คนอื่นตลกขบขัน”
ติดตามหลวนอวิ๋นชูมาหลายวัน ฝูหรงรู้ดีว่าสะใภ้สี่ของนางสูญเสียความทรงจำหนักหนาเพียงใด ถ้าจะใช้สำนวนการพูดของนางก็คือ ‘กระทั่งบรรพบุรุษสกุลอะไรก็ลืมไปหมดแล้ว’
สี่จวี๋หัวเราะออกมา ส่วนลึกในดวงตามีแววกระหยิ่มใจหลายส่วน
“เอาล่ะ…เจ้าวางใจเถิด มีข้าอยู่ด้วย สะใภ้สี่ไม่เกิดเรื่องแน่”
เหยาหลันกับพานหมิ่นนั่งเกี้ยวหลังเดียวกันมาที่เรือนอิ่นย่วน เพิ่งลงจากเกี้ยว เหยาหลันเงยหน้าขึ้นก็เห็นเกี้ยวของหลวนอวิ๋นชูเข้ามา นางจูงพานหมิ่นที่ลงจากเกี้ยวมาพร้อมกันพลางยิ้มแล้วบอก
“ประจวบเหมาะเสียจริง น้องอวิ๋นชูก็เพิ่งมาถึง จะได้เข้าไปด้วยกันพอดี นางจะได้ไม่รั้งท้าย นายหญิงใหญ่จะไม่พอใจเอา”
เสียงเบาและนุ่มนวลกลับดังกว่าปกติแปดระดับ ดังเข้าไปในหูของหลวนอวิ๋นชูทุกคำ เกี้ยวยังไม่หยุดนิ่งนางก็มองตามช่องออกไปข้างนอก ทันเห็นพานหมิ่นบิดตัวแล้วสะบัดมือเหยาหลันออก
“จะรอท่านก็รอเอง ข้าไม่มีเวลาว่าง!”
ในน้ำเสียงเจือคำเหน็บแนมอยู่สามส่วน พูดจบพานหมิ่นก็ไม่ต้องให้สาวใช้ประคอง หมุนตัวเดินไปทันที
หลวนอวิ๋นชูหรี่ตามองเงาด้านหลังของอีกฝ่ายแล้วย่นหัวคิ้ว
ชาติที่แล้วตนมีความแค้นกับพานหมิ่นผู้นี้หรืออย่างไร
ผู้คนต่างบอกว่ารับของเขามาต้องยั้งมือ กินของคนอื่นย่อมเสียงอ่อน* ไม่ว่าอย่างไรพานหมิ่นก็เพิ่งรับของจากนาง ไม่ได้คาดหวังให้พานหมิ่นขอบคุณ แต่อย่างน้อยก็ควรแสดงท่าทางที่ดีบ้าง
“สะใภ้สี่ นางก็เป็นคนเช่นนี้ ดีเลวไม่แยกแยะ” สี่จวี๋เลิกม่านเกี้ยวให้หลวนอวิ๋นชู เห็นหลวนอวิ๋นชูกำลังหรี่ตามองพานหมิ่น จึงกล่าวปลอบเสียงเบา “ท่านอย่าไปเอาเรื่องเอาราวกับนางเลยเจ้าค่ะ”
หลวนอวิ๋นชูจึงยิ้มๆ เกาะแขนสี่จวี๋ลงจากเกี้ยว
เหยาหลันเดินเข้ามารับด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า หลวนอวิ๋นชูจึงสบายใจขึ้น
ยังคงเป็นเหยาหลันที่ดี ตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมาคุณหนูและสะใภ้ทั้งหลายในจวนกั๋วกง ถ้าไม่ใช่เป็นแบบต่งฮว่าและเฉาเสวี่ยที่ใช้สายตาเห็นอกเห็นใจมองนางอยู่ห่างๆ ก็เป็นเช่นพานหมิ่นและต่งซู พอเจอหน้าก็เหน็บแนมถากถาง มีเพียงเหยาหลันผู้นี้ ไม่ว่าที่ไหนเวลาใดก็คอยปกป้องนางอยู่เสมอ ทั้งอ่อนหวานละมุนละไมและเอาใจใส่ แต่ไรมาก็เรียกนาง ‘น้องสาว’ อยู่ต่อหน้าสะใภ้คนอื่นๆ ก็เรียก ‘น้องอวิ๋นชู’ ประหนึ่งว่านางเป็นน้องสาวแท้ๆ ไม่เหมือนกับคนอื่นที่ต่างเรียกกันว่า ‘สะใภ้สี่’
โดยเฉพาะทุกครั้งที่เจอพานหมิ่นพาลพาโลไม่ฟังเหตุผล มีเพียงเหยาหลันที่ยอมออกหน้าไกล่เกลี่ย แม้ว่าทุกครั้งล้วนเป็นเพราะเคลื่อนไหวเชื่องช้าจึงไม่อาจต้านอะไรได้ แต่อย่างน้อยก็มีใจจะช่วย…มิใช่หรือ
ขณะคิดเช่นนี้หลวนอวิ๋นชูก็เดินเข้าไปจับมือที่เหยาหลันยื่นมาให้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เสียเวลาอยู่ที่เรือนจัดการงาน ข้ายังเข้าใจว่ามาสายแล้วเสียอีก เหตุใดพี่สะใภ้ใหญ่จึงเพิ่งมาถึงเหมือนกันเล่า”
“โธ่เอ๋ย…ยังจะพูดอีก ไม่ใช่เพราะเรื่องที่ไม่อยากยุ่งแต่ก็ต้องยุ่งในเรือนคุณชายสามหรือ” พบว่าตนพลั้งปากไป เหยาหลันก็รีบหยุดปาก เปลี่ยนไปถามว่า “อ้อ…น้องสาวเพิ่งไปเรือนจัดการงานมาหรือ”
พูดถึงเรือนชิ่นย่วน หลวนอวิ๋นชูแทบจะกัดลิ้นตนเองขาด ถึงกับลืมเรื่องฉู่เชี่ยนอวิ๋นไปแล้ว เรื่องที่เรือนชิ่นย่วนเหล่านั้น ยังคงอย่าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเป็นดีที่สุด นางกำลังคิดอยู่ว่าจะเบนคำพูดไปเรื่องอื่นอย่างไรดี เหยาหลันก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้ว หลวนอวิ๋นชูเพียงทำเป็นเลอะเลือน ยิ้มแล้วบอก
“เรื่องนี้ยังต้องขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ ท่านมีงานยุ่งทุกวัน ยังห่วงพะวงถึงเรื่องสาวใช้ที่เรือนข้า”
“เรื่องนี้น้องสาวขอบคุณผิดคนแล้ว” เห็นหลวนอวิ๋นชูไม่ได้สังเกตว่านางเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างฉับพลันกะทันหัน เหยาหลันระบายลมหายใจออกมาทีหนึ่ง “เจ้าต้องขอบคุณนายหญิงใหญ่จึงจะถูก”
เห็นเหยาหลันจงใจไม่พูดให้หมดเปลือก หลวนอวิ๋นชูก็ไม่พูดอะไร เพียงยิ้มน้อยๆ
* คนแคว้นฉี่ห่วงฟ้า หมายถึงกังวลเกินกว่าเหตุ มีนิทานเล่าว่าคนแคว้นฉี่คนหนึ่งหวาดกลัวว่าฟ้าจะถล่มลงมาทับตัวจนไม่เป็นอันกินอันนอน ตรงกับสำนวนไทยว่ากระต่ายตื่นตูม
** อู่เจ๋อเทียน หรือบูเช็กเทียน เป็นจักรพรรดินีหญิงเพียงพระองค์เดียวของจีน จักรพรรดิจีนโบราณเวลาออกว่าราชการจะประทับอยู่ทางทิศเหนือ หันหน้าไปทางทิศใต้
*** เป่าลมข้างหมอน เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงสามีภรรยาพูดจากระซิบกระซาบกัน ลมปากแบบนี้แม้จะเบา แต่บางครั้งอาจส่งผลกระทบรุนแรง ทำให้เรื่องใหญ่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวได้
* รับของเขามาต้องยั้งมือ กินของคนอื่นย่อมเสียงอ่อน เป็นสำนวน หมายถึงรับผลประโยชน์จากคนอื่นแล้ว ย่อมต้องประจบเอาใจอีกฝ่าย แม้อีกฝ่ายจะทำผิดก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายหรือต่อว่าได้