ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 154
ตอนที่ 154 ถล่ม!
การเดินทางอันแสนทรหดได้เริ่มขึ้น หน่วยนักล่าอสูรได้เริ่มขึ้นบันไดเวียนจากห้องหินหลังประตูสีแดงด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น… ถ้านับจากเวลาเริ่มต้นที่เดินขึ้นบันไดเวียนขั้นแรกแล้วตอนนี้มันก็ผ่านมาประมาณ 24 ชั่วโมง…พวกเขาทั้งหมดพากันเดินและหยุดพักบ้างเป็นครั้งเป็นคราว
และยิ่งนานมากเท่าไหร่ เวลาพักของพวกเขาก็ยิ่งถี่และนานมากขึ้น นั่นเป็นสัญญาณที่เร็วร้ายและบ่งบอกว่าสภาพร่างกายของพวกเขาทุกคนเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ
ถัดจากเรื่องสภาพร่างกายก็เป็นเรื่องเสบียง… กล่าวกันว่าคนสามารถอดข้าวได้นานถึง 3 อาทิตย์โดยไม่ตาย แต่ถ้าหากขาดน้ําไม่เกิน 3 วันคนที่ขาดน้ําก็จะขึ้นสวรรค์ทันที… และดูเหมือนคนที่ขาดน้ําและใกลได้ขึ้นสวรรค์ จะเป็นหน่วยนักล่าอสูรนี้แหละ
น้ําของพวกเขากําลังจะหมด… นี่เป็นปัญหาใหญ่มาก และสิ่งที่แย่ยิ่งกว่ากว่านั้นก็คือน้ําสะอาดที่เอาไว้ใช้ดีมกินได้หมดตั้งแต่ประมาณ 11 ชั่วโมงที่แล้ว…. นั่นก็แปลความหมายได้ตรงๆว่าน้ําของพวกเขาที่เอาไว้ใช้สําหรับกินโดยเฉพาะได้หมดไปแล้วนั้นเอง
ดังนั้นเพื่อความอยู่รอดพวกเขาจึงเอาน้ําที่เอาไว้สําหรับทําความสะอาดเครื่องมือ มากินก่อนเพื่อกันตาย
โดยปกติแล้วน้ําที่เอาไว้ใช้ทําความสะอาดเครื่องมือมักมีส่วนผสมที่เอาไว้ใช้สําหรับฆ่าเชื้อ ดังนั้นจึงไม่เหมาะแก่การเอามากินหรือเอามาแตะต้องตัวใดๆทั้งสิ้น
แต่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าไม่กินก็ต้องตาย… หรือถ้ากินถ้าโชคร้ายหน่อยก็อาจจะตายแต่อย่างน้อยก็ตายแบบไม่ทรมานมาก ดังนั้นพวกเขาก็ได้แต่ต้องปลอบใจตัวเอง เพราะต่อให้กินแล้วติดเชื้อหรือกินแล้วเกือบตายก็ต้อ งกินเข้าไป
ในขณะที่คนบาดเจ็บยังได้รับการดูแลอย่างดี บรรดาสมาชิกของหน่วยนักล่าอสูรพากันยกหลินม่อขึ้นเปลในขณะที่รองหัวหน้าอย่างลู่เสี่ยวหนิงเธอไม่ยอมขึ้นเปลไม่ว่าใครจะกล่อมอย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ ได้ตกลงกันครึ่งทางที่ลู่เสี่ยวหนิงจะเดินด้วยตัวเองแต่ว่าเธอไม่ได้รับอนุญาตให้จับปืนหรือาวุธใดๆอย่างเด็ดขาด
ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้พื้นผิวมากเท่าไหร่ พื้นที่รอบตัวก็ยิ่งแคบลง ในที่สุดช่องว่างระหว่างผนังและบันไดก็กว้างไม่ถึงหนึ่งเมตร
พวกเขารู้สึกเหมือนกําลังเดินผ่านลําไส้เล็กของสัตว์ร้าย พวกเขาทั้งหมดเริ่มมีอาการเวียนศีรษะและมีอาการคล้ายบ้านหมุนอย่างรุนแรง พวกเขาล้วนรู้สึกเหมือนว่าบันไดกําลังสั่นอยู่ใต้เท้าของพวกเขา นอกจากนี้ทุกคน ยังได้ยินเสียงคล้ายกับบันไดไม้เก่าที่ดังเอี๊ยดอ๊าดด้วย
สัญญาณแบบนี้บ่งบอกได้ความหมายเดียวนั่นก็คือที่นี่กําลังจะพังพินาศ… พวกเขามองดูคําแพงและชั้นบันไดหินที่ค่อยๆลดลงและหายไปจากสายตา อีกทั้งเสียงการแตกของหินและอะไรบางอย่างต่อให้ไม่ต้องพูดพวก เขาก็รับรู้ได้… สถานที่แห่งนี้กําลังจะพังทลายดูเหมือนว่าคล้ายว่าที่นี่จะล่มสลายได้ทุกเมื่อ
และด้วยมหันตภัยที่แปลกแม้แต่ความตายก็อาจตายได้” จู่จวินก็นึกถึงบทกวีของชายอาหรับผู้บ้าคลั่งนมาได้
เขารู้สึกว่าหินเหล่านี้กําลังจะพังพินาศ บันไดและห้องแห่งนี้กําลังจะพังทลาย…และเหนืออื่นใดก็คือตอนนี้พวกเขาอยู่เหนือจากระดับน้ําทะเลและระดับดินดานที่อยู่ด้านล่างประมาณ 100 เมตร… ถ้าตกลงไปก็มีอยู่เพียงคําตอบเดียวที่รออยู่นั่นก็คือความตาย
ในขณะนี้ขวัญกําลังใจของผู้คนทั้งทีมต่ําที่สุดตั้งแต่เคยมีมา ค่า S ค่า A อะไรทั้งหลายไม่ต้องพูดถึงอีกเป็น ไปได้ว่าค่า S ของพวกเขาอาจจะพังทลายไปแล้ว……
อย่าว่าแต่จิตใจที่ใกล้พังทลายเลย แม้แต่ทางร่างกายของพวกเขาก็แทบแตกสลายเหมือนกัน พลังงานของ พวกเขาหมดไปแล้วเรียบร้อย แค่จะขยับแขนตั้งนิดหนึ่งพวกเขายังได้รับความเจ็บปวดเลยกล้ามเนื้อของพวก เขาทั่วร่างคล้ายเหมือนถูกฉีก แม้กระทั่งลิ้นและปากของพวกเขาก็แห้งแตกระแหงยิ่งกว่าทุ่งกุลาขาดน้ําส้นเท้าของพวกเขาก็แตกแล้วแตกอีกไม่จบไม่สิ้น..
ในขณะที่พวกเขาเดิน…พวกเขาก็ได้รับรู้ได้ถึงความแห้งแล้ง ยิ่งเดินยิ่งเจ็บมากขึ้น… มันเป็นการเดินทางที่แสนจะทรมานและวัดความทรหดอย่างที่สุด พวกเขารู้สึกว่าตัวเองกําลังจะไปอัญเชิญคําสอนของลัทธิอะไรสักอย่างเพื่อกลับมาเผยแพร่ทําให้มันเต็มไปด้วยอุปสรรคและการทดสอบที่อันตราย
แม้แต่ร่างกายของนักรบที่แข็งแกร่งยังต้องเหนื่อยล้า แล้วประสาอะไรกับคนธรรมดาที่ได้รับการฝึกเป็นหน่วยนักล่าอสูร พวกเขาย่อมเหนื่อยเป็นและจิตใจก็อ่อนแอเป็น… แม้พวกเขาจะเป็นหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่ที่แข็งแกร่งแต่นี่มันคือครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกับพื้นที่ผิดปกติที่น่ากลัวและมีอาถรรพ์เช่นนี้
และปัญหาก็คือพื้นที่แห่งนี้ นอกจากทดสอบจิตใจแล้วมันยังทดสอบความตายอีกด้วย พื้นที่แห่งนี้มันเหมือนกับการทดสอบจิตใจของทุกคน ยิ่งเขาขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดมากเท่าไหร่ หนทางก็จะยิ่งแคบลงและหลงทางได้ง่ายมากขึ้น
ภายใต้สถานการณ์ที่กดดันและเต็มไปด้วยความตายที่ห้อมล้อม… พวกเขาได้แต่วิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียวเพื่อหลีกหนีความตาย ในความคิดของทุกคนที่กําลังวิ่งพวกเขาล้วนจินตนาการว่ามียมทูตหน้าตาน่ากลัวกําลังวิ่งไล่ล่าผู้เข้าจากทางด้านหลังเพื่อที่จะกระชากหัวคู่เขาลงไปสู่ห้วงนรก… ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความตายและหนีมันให้เร็วที่สุดพวกเขาจําเป็นต้องดึงศักยภาพความเร็วและพละกําลังในตัวออกมาและวิ่งด้วยความเร็วที่เต็มแรง
ในขณะที่วิ่งนั้นเองหัวหน้าอย่างเสวี่ยป้าเองไม่ใช่สักแต่จะวิ่ง เขาเองก็มีหน้าที่ที่เขาต้องทําด้วยเหมือนกันนั่นก็คือการสํารวจ และผลของการสํารวจก็ทําให้เขาค้นพบอะไรบางอย่างที่น่าสะเทือนใจ… เขาเห็นมันอย่างชัดเจนผ่านกล้องส่องทางไกล
ทางขึ้นนั้นถูกปิดกั้นและมีอะไรบางอย่างปิดทับอยู่… มันทําให้พวกเขาไม่สามารถออกจากห้องที่ใกล้พังทลายแห่งนี้ได้!!
“อาจขึ้น มานี่เรว เธอลองดูที่นี่สิ!” เสี่ยป้าศึกษามันสักพักพร้อมกับเร่งเดินไปด้วยก่อนที่จะยื่นกล้องส่องทางไกลให้กู้จวินผู้ซึ่งยืนอยู่เคียงข้างเขา
แน่นอนว่ากู้จวินยังทําอะไรได้อีก เขาได้แต่รับกล้องส่องทางไกลมาไว้ในมือ จากนั้นก็ใช้กล้องส่องทางไกลนี่แหละส่องไปด้านบนและเขาก็ได้เห็นภาพที่น่าตกใจเหมือนกับหัวหน้าของเขา
นั่นก็คือที่ปลายบันไดเวียนนั้นมันเป็นเพียงแท่นโง่ๆ อันหนึ่งที่ไม่มีบันไดที่ชั้นให้ปืนขึ้น… และเหนือจากพื้นองแท่นนั้นเป็นเพียงเพดานหินที่ไร้ทางออก และตรงกลางของเพดานเหนือแท่นนั้นมีแผ่นดินที่ไม่โดดเด่นอันหนึ่งฝังอยู่ด้านล่างของแผ่นหิน มันถูกปกคลุมด้วยลวดลายแปลกๆ มันคล้ายกับงานแกะสลักที่ทําด้วยมือและลายนั้นมันคล้ายกับดอกไม้ที่หมุนวนกันไปกลายเป็นดอกไม้ที่แปลกประหลาด
ทันใดนั้นกู้จวินก็นึกถึงบ้านเกิดของเพตตร้า! นั่นคือเมืองซาร์สซึ่งเป็นดินแดนและเมืองของดอกไม้แผ่นหินนั้นน่าจะเป็นภาพทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองซาร์ส แต่ยิ่งมองมัน หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ…และนั่นก็เป็นสัญญาณของเบาะแสแห่งการเกิดนิมิต!
“มีอะไรบางอย่างที่สามารถกระตุ้นภาพลวงตาของฉันได้แน่ๆ
เมื่อมีเบาะแสเขาก็พยายามจับจ้องให้มากขึ้น… เพียงแต่การจับจ้องของเขานั้นก็ไม่ได้จับจ้องมากจนเกินไปเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะมีพลังลึกลับอะไรที่คอยขัดขวางและทําลายเขาอยู่หรือเปล่าแต่เมื่อสังเกตได้ว่าไม่มีอะไร…จู่ๆเขาก็กลับรู้สึกสับสนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ที่แท่นหินนั้นไม่มีภาษาต่างโลก ไม่มีเครื่องมือใช้สําหรับล็อคและไม่มีอะไรอย่างอื่นที่ด้านล่างของแผ่นดินแม้แต่น้อยแต่สิ่งที่แปลกประหลาดและไม่เข้าพวกที่สุดเห็นจะเป็นช่องว่างรูเล็กๆ ระหว่างแท่นหินกับเพดานที่ติ ดกันทั้ง 4 ด้าน ดังนั้นเขาจึงเดาว่ามันอาจจะถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้ดึงและผลักเปิดออกบางทีมันอาจจะเปิด ได้ทั้ง 2 ด้านก็เป็นไปได้แต่ถ้ามันเปิดได้มันจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
“หัวหน้าเสวี่ยครับ ผมไม่พบอะไรเลย” กู้จวินส่งกล้องส่องทางไกลคืนให้เสี่ยป้าด้วยท่าที่จริงจัง จากนั้นก็ชี้ “ แต่ผมมีความรู้สึกว่านั่นคือทางออก”
เสวี่ยป้าพยักหน้าและส่งกล้องส่องทางไกลไปให้คนอื่นๆ และในไม่ช้ทุกคนก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและพวกเขากําลังเจออะไรและอะไรขัดขวางพวกเขาอยู่ ถ้าพวกเขาต้องการไปพวกเขาจําเป็นต้องกําจัดแท่นหินนั่นบางทีพวกเขาอาจระเบิดมันด้วย C4 หรือจรวดมิซไซล์?
“โทษที่แต่นั่นคงไม่ได้ผล” เมื่อหลินมอได้ยินเช่นนั้นเขาก็ปฏิเสธทันที หลังจากเขาถูกตัดขาข้างหนึ่งและถูกหนอนยักษ์ใต้ดินโจมตีจนบาดเจ็บหนักสติปัญญาของเขาดูเหมือนจะแจ่มชัดขึ้นมากขึ้นการวิเคราะห์ของเขาเต็มไปด้วยเหตุและผลที่เหมาะสมแก่การรับฟัง…
ดังนั้นทุกคนจึงฟังเขามากขึ้นเป็นพิเศษ “เห็นไหม?? มันอยู่ใกล้บันไดมากเกินไป ถ้าพวกคุณตัดสินใจวางระเบิดแล้วล่ะก็มันจะกระทบไปที่ตัวบันไดและห้องนี้แน่นอน… แม้สุดท้ายทางออกจากที่นี่จะถูกเปิดออกแต่ถ้าบันไดอันนี้ฟังเราก็จะตกลงไปตายอยู่ที่ด้านล่างอย่างอนาถแม้กระทั่งซากศพอาจจะเหลวเป็นแค่ฝุ่น”
“ฉันเห็นด้วยกับหลินม่อ” แน่นอนว่าทุกคนไม่ได้ตาบอด พวกเขาสามารถมองเห็นความเปราะบางของบันไดหินที่อยู่รอบๆตัวพวกเขาพวกมันอ่อนแอกว่ากิ่งไม้แห้งเสียอีก..ราวกับว่าถ้าเหยียบมันแรงๆมันอาจจะพัง!
“ถ้าอย่างนั้นเราควรขึ้นไปดูทางออกกัน” เสี่ยป้าจัดทีมผู้นําทีมจู่โจมขึ้นมาทันทีและพวกเขาก็นําสมาชิกทั้งหมดไปถึงบันไดขั้นสูงสุดทันที
เมื่อถึงแล้วจากนั้นพวกเขาลองเอื้อมมือไปแตะแผ่นหิน ทว่า! ทันทีที่แตะ ณ ตรงที่นั้นความรู้สึกเวียนศีรษะ ของพวกเขาก็ได้รุนแรงขึ้นและรอยแตกบนหินก็ชัดเจนขึ้น! อย่างไรก็ตามไม่มีแสงใดๆไหลผ่านรอยแตกนั้น…
พวกเขาตัดสินใจลองใช้กระบอกปืนแหย่ผ่านแท่นและผลักแผ่นหินที่อยู่ด้านบนอย่างแรง แต่ถึงจะผลักและถีบแค่ไหน มันก็ไม่ได้เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ดังนั้นพวกเขาจึงหันมาพยายามกดจุดต่างๆ ทางด้านซ้ายให้ขยับมากที่สุดและดูเหมือนว่าแผ่นหินสามารถเปิดได้จากทางด้านซ้ายเพียงอย่างเดียว
“แล้วพวกเราจะใช้มือผลักมันได้อย่างไร? บางทีคนเดียวอาจจะไม่ได้ผล…มาลองหลายๆคนกันเถอะ!” เสี่ยป้าเอ่ยแนะนําคนอื่นทันที เพราะการผลักพร้อมกันหลายๆ คนแน่นอนว่าพลังมันย่อมมากกว่าการผลักคนเดียวมากโข
และที่สําคัญในขณะนี้ทีมนักล่าอสูรของพวกเขาไม่มีอะไรเหลือนอกจากปืน กระสุน น้ําอาหารและเครื่องมือทางการแพทย์เพียงเล็กน้อย และพวกเขาไม่มีอุปกรณ์อย่างอื่นที่จะช่วยพวกเขาได้ในสถานการณ์นี้
และวิธีที่ซ้ําซากที่สุดแต่ก็มีประสิทธิภาพมากที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ก็คือช่วยกันผลักนั่นแหละ! สมาชิกทีมจู่โจมสองคนถูกสั่งให้อยู่ในยามในขณะที่อีกห้าคนหันหน้าไปทางซ้ายของแท่นและเอื้อมมือไปที่ด้านล่างของแผ่นหิน
“สาม สองหนึ่งดัน!”